บทที่ 6/2
นับจากวันนั้นมาเฉินหลิงเว่ยก็ให้ฉินอู่ซ่งขับรถม้าไปรอรับไป๋มู่หลันที่กลางทางเช่นเดิม โดยทุกวันจะขยับระยะทางถอยลงมาสองลี้ ขณะที่เฉินหลิงเว่ยจะเตรียมมื้อเช้าไว้รอรับสหายที่เรือน แน่นอนว่าทุกวันสหายของนางมักนั่งหลับมาตลอดทาง และจะลืมตาตื่นก็ต่อเมื่อได้กลิ่นอาหารลอยมา
“ข้ากับท่านป้าช่วยกันเก็บผักเสร็จแล้ว เจ้าไปขนขึ้นเกวียนแล้วเอาไปส่งที่โรงเตี๊ยมเถ้าแก่ต้าได้เลย”
เฉินหลิงเว่ยเอ่ยสั่งความกับฉินอู่ซ่งก่อนที่จะหยิบเถาอาหารเดินขึ้นรถม้า ให้อาซานเป็นผู้บังคับม้าเดินกลับเข้าเมือง
“เว่ยเอ๋อร์ ข้าปวดขาจัง”
“อีกหน่อยก็ชิน”
ไป๋มู่หลันที่ตื่นเพราะกลิ่นอาหารเอ่ยเสียงอ่อนแรงออดอ้อนสหาย ทว่าไม่เพียงสหายคนดีของนางไม่เห็นใจยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบตัดรอน
“วันนี้ข้ามีธุระ จะขอยืมคนของเจ้าสักคนได้หรือไม่”
“10 เหรียญทองแดง”
“เช่นนั้นอาหารในเถานี้ข้าจะยกให้เสี่ยวซี”
“อ่า... มื้อเช้าของข้าจะยกให้ผู้อื่นได้อย่างไร เจ้าอยากได้คนกี่คนก็ไปบอกเสี่ยวซีได้เลย”
ไป๋มู่หลันเอ่ยจบก็ดึงเถาอาหารมาจากมือสหายแล้วเปิดออกทานในทันที อาหารของเฉินหลิงเว่ยนั้นแม้จะธรรมดาแต่รสชาติกับเลิศเสียยิ่งกว่าเหลาอาหารดังในเมืองหลวง แม้แต่ผักกาดลวกก็ยังอร่อยจนยากจะลืมเลือน
หลังจากส่งไป๋มู่หลันที่ร้านสกุลไป๋แล้ว เฉินหลิงเว่ยก็ขอคนของสหายช่วยบังคับรถม้าไปส่งนางที่โรงเตี๊ยมชวีทางทิศใต้ ดวงตากลมมองโรงเตี๊ยมสามชั้นตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วเล็ก เพียงประเมินด้วยสายตาก็บ่งบอกได้ว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ใช่คนชั้นธรรมดาจะมานั่งดื่มกิน หรือนางจะมาผิดที่กันที่นี่อาจไม่ใช่โรงเตี๊ยมที่พี่ชายหวังเอ่ยบอก เฉินหลิงเว่ยเดินไปหาชายที่ยืนต้อนรับลูกค้าที่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมก่อนเอ่ยเสียงนุ่มนวลสุภาพ
“พี่ชายข้าขอรบกวนสอบถามสักหน่อยเจ้าค่ะ”
“ถามอะไร”
ชายตรงหน้ามองสำรวจเฉินหลิงเว่ยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแล้วเอ่ยน้ำเสียงแข็งกระด้าง เพียงมองจากสายตาที่อีกฝ่ายส่งมาดูเฉินหลิงเว่ยก็รู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไร ทว่าเพื่อการค้าครั้งนี้นางจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาดูแคลนนั่นแล้วปล่อยผ่านไปก็แล้วกัน เมื่อคิดเช่นนั้นใบหน้าวานก็ฉาบไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ที่นี่ใช่โรงเตี๊ยมของเถ้าแก่ชวีหรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่แล้วอย่างไร หลีกไป!”
มือหยาบกร้านผลักที่ไหล่เล็กของเฉินหลิงเว่ยจนนางเซถอยหลังไปหลายก้าว ทว่าก่อนที่ร่างนางจะล้มลงแผ่นหลังเล็กก็ชนเข้ากับอกแกร่งของใครบางคนเสียก่อน ในใจของเฉินเว่ยหลงนั้นอาบไปด้วยโทสะจนแทบอยากจะพุ่งข้าไปจัดการบุรุษมารยาทต่ำตรงหน้า หากแต่เอวบางถูกโอบรัดเอาไว้แน่น
“เจ้าชื่ออะไร”
บุรุษผู้หนึ่งเดินมาเบื้องหน้านางแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบจนชวนขนลุก เฉินหลิงเว่ยรับรู้ได้ถึงลางร้ายนางรีบขยับตัวหนีการจับกุมของอีกฝ่าย ก้มหน้าลงเอ่ยเสียงแผ่วเบา สายตาจดจ้องสังเกตบรรดาเท้าบุรุษตรงหน้า แน่นอนว่าหากมีผู้ใดก้าวเข้ามาคิดจับตัวนางอีกครั้ง นางจะวิ่งหนีทันที
“ข้า...”
“ข้าหมายถึงเจ้า”
บุรุษหน้าโรงเตี๊ยมพลันตกใจจนตัวสั่น ยิ่งยามที่สบเข้ากับสายตาดุดันของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ทั้งตัวหนาวสะท้านราวถูกแช่อยู่กลางหิมะ
“ข้า... ข้า...”
“ส่งไปอยู่ที่โรงล้างด้านหลัง”
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบเจ้าของเสียงเยือกเย็นก็เอ่ยสั่งการเสียงลั่น เฉินหลิงเว่ยเห็นชายสองคนวิ่งขึ้นมาจับแขนบุรุษที่เคยทำหน้าที่ต้อนรับลากจากไปในทันที เมื่อประเมินสถานการณ์ตรงหน้าแล้วว่าไม่สู้ดีนักนางจึงค่อยๆ ถอยเท้าออกห่าง เพียงแต่ยังไม่ทันวางเท้าก็ถูกเรียกเอาไว้เสียก่อน
“แม่นางเฉินเชิญด้านในเถิด”
เฉินหลิงเว่ยพลันสะดุ้งจนไหล่ยก ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มแห้ง เหตุใดบุรุษน่ากลัวตรงหน้าจึงรู้จักนางได้กัน
“เรา... รู้จักกันหรือเจ้าคะ”
“เจ้าไม่ใช่เฉินหลิงเว่ย น้องสาวของหวังเฮ่อเหรินหรือ”
น้ำเสียงที่่ใช้เอ่ยกับนางอ่อนโยนแตกต่างจากเมื่อครู่ราวฟ้ากับดินทำให้เฉินหลิงเว่ยรู้สึกหวาดระแวงในที
“จะ... เจ้าค่ะ เป็นข้า”
“ข้า ชวีกงจื่อ เป็นสหายของเขา”
ชวีกงจื่อ เจ้าของโรงเตี๊ยมทิศใต้แห่งนี้น่ะหรือ เฉินหลิงเว่ยขมวดคิ้วสงสัยมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาสลับกับโรงเตี๊ยมที่ใหญ่โตอย่างช่างใจ อายุไม่ถึง 30 ก็ดูแลกิจการจนรุ่งโรจน์ได้ถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถมากทีเดียว
“เข้าไปคุยกันด้านในเถิด”
ชวีกงจื่อยิ้มอ่อนโยนก่อนเดินผายมือเชิญเฉินหลิงเว่ยเข้าไปด้านใน เฉินหลิงเว่ยยิ้มบางเดินตามเขาเข้าไปอย่างว่าง่าย นางยังจดจำน้ำเสียงและท่าทางดุดันของเขาก่อนหน้าได้เป็นอย่างดี แม้นางจะไม่ใช่คนขี้ขลาดแต่การสร้างศัตรูที่ทรงอำนาจก็ดูไม่ใช่หนทางที่ดีนัก
“อาเหรินบอกว่าเจ้าปลูกผักไว้จำนวนมาก”
“เจ้าค่ะ”
“หากข้าจะขอผูกขาดซื้อขายกับเจ้าจะได้หรือไม่"
"ผูกขาด!"
"ใช่! ต่อไปข้าจะให้คนไปช่วยดูแลสวนผักของเจ้า ตลอดจนช่วยเก็บเกี่ยวและขนมาส่งที่นี่ เจ้าเพียงทำหน้าที่ช่วยดูแลก็พอ”
เฉินหลิงเว่ยขมวดคิ้วเล็กในใจนึกหวาดระแวงขึ้นมา ข้อเสนอของเขาไม่ใช่ว่าไม่ดีแต่มันดีเกินไปจนนางอดสงสัยไม่ได้ ชวีกงจื่อเห็นแววตาหวาดระแวงของคนตรงหน้าแล้วในใจก็พลาดหวาดหวั่นขึ้นมาหรือนางจะปฏิเสธข้อเสนอของเขากัน
“คุณชายชวี ข้อเสนอนี้ดูคล้ายข้าจะเอาเปรียบท่านไปสักหน่อย”
มือของชวีกงจื่อพลันชุ่มเหงื่อในใจนึกโมโหตัวต้นคิดนัก ข้อเสนอที่ดีเกินไปเช่นนี้หากเอ่ยแก่ผู้ไร้ปัญญาหรือผู้ที่มีใจละโมบย่อมไม่ยากที่อีกฝ่ายจะตกลงโดยไร้ข้อกังขา แต่หญิงสาวตรงหน้าเขาเป็นใครกันด้วยสติปัญญาของนางเรื่องที่มีพิรุจมากมายเพียงนี้นางย่อมมองเห็นและเกิดความหวาดระแวง
“แน่นอนว่าถ้าเจ้าตกลง ข้าย่อมไม่อาจซื้อผักของเจ้าได้ในราคาปกติ"
"หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ"
"แม่นางเฉินราคาผักที่เจ้าต้องส่งให้ข้านั้นข้าจะซื้อในราคาครึ่งหนึ่งของท้องตลาด อีกทั้งต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์และการดูแลอื่นๆ ล้วนเป็นเจ้าที่ต้องจ่าย”
“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อาจผูกการค้ากับท่าน บอกท่านตามตรงก่อนหน้านี้ข้าได้เจรจาขายผักให้โรงเตี๊ยมเถ้าแก่ต้าแล้วและคงไม่ยกเลิกการค้ากับเขาเพื่อผูกขาดกับท่าน”
“ไม่มีปัญหา เส้นทางจากบ้านเจ้ามาโรงเตี๊ยมของข้าต้องผ่านโรงเตี๊ยมของเถ้าแก่ต้าข้าจะเป็นธุระส่งผักให้เจ้าเอง”
เฉินหลิงเว่ยขมวดคิ้วเล็ก แม้รู้สึกว่าทุกอย่างมันดูลงตัวและง่ายดายจนเกินไป แต่สุดท้ายนางก็ยอมตกลงลงนามในสัญญาซื้อขาย
“อ่อ... อย่าหาว่าข้ายุ่งเรื่องในบ้านเจ้าเลย แต่ในเมื่อเจ้ามีคนของข้าช่วยงานในสวนแล้วเจ้าก็ไม่ต้องเสียเงินไปจ้างคนนอกอีก”
เฉินหลิงเว่ยเงยหน้าขึ้นสบดวงตาคมของคู่สัญญาแล้วยิ้มบาง ก่อนวางพู่กันในมือลงแล้วเก็บสัญญาฉบับหนึ่งใส่อกเสื้อ
“ขอบคุณคุณชายชวีที่หวังดี แต่เรื่องในบ้านข้า ข้าย่อมตัดสินใจเองได้ วันนี้หมดธุระแล้วข้าขอตัวก่อน”
ชวีกงจื่อถอนหายใจยาวมองร่างบางที่จากไปแล้วยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ใครกันที่กล่าวว่านางเป็นสตรีอ่อนหวานและนุ่มนวลและเชื่อคนได้ง่าย เพียงแต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับครั้งนี้เขาเจรจาไล่คนไม่สำเร็จ
“ไม่ได้ความ!”
เสียงเข้มทรงพลังดังมาจากหลังฉากกั้น ชวีกงจื่อพลันสะดุ้งจนเหงื่อไหลชุ่มตัว ก่อนเร่งหมุนกายลงทรุดนั่งคุกเข่า
ปัง!
เสียงถ้วยชาเนื้อดีถ้วยหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะ ยามที่เจ้าของถ้วยชานั้นยกมือขึ้นบนโต๊ะกลับเหลือเพียงฝุ่นผงไร้ซึ่งถ้วยชาราคาสูง
………………………………………………