บทที่ 4/2
หลังจากขนของลงจากเกวียนแล้วเฉินหลิงเว่ยก็มาที่บ้านสกุลหวัง เพียงแต่ภาพหญิงสาวหลายนางกำลังต่อแถวขอซื้อสบู่จากหรูซินหนี่ย์ทำให้บรรยากาศหน้าเรือนดูวุ่นวายยิ่งนัก เช่นนั้นก็เอาไว้ค่ำๆหน่อยนางค่อยมาอีกที
“ท่านน้าเฉิน”
หวังซิงซิงวิ่งมาหาเฉินหลิงเว่ย ที่ด้านหลังเด็กน้อยยังมีบิดาของเขาตามมาด้วย เฉินหลิงเว่ยอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแม้นางและเด็กน้อยผู้นี้ไม่ใช่ญาติ ทว่าหลายเดือนมานี้นางกับครอบครัวสกุลหวังกลับเรียกได้ว่าสนิทยิ่งกว่าญาติ
“ซิงซิงเด็กดีวันนี้ท่านน้าซื้อถังหูลู่มาฝาก เจ้าอยากกินหรือไม่”
"ท่านน้าเฉินใจดี ซิงซิงรักท่านน้าเฉินที่สุด"
หวังซิงซิงยิ้มกว้างรับถุงกระดาษมาจากเฉินหลิงเว่ยก่อนกดจมูกเล็กบนแก้มนุ่มของผู้เป็นน้า
“ซิงซิงอย่าเสียมารยาท”
หวังเฮ่อเหรินเอ่ยเตือนบุตรสาวของตนเสียงเข้ม หวังซิงซิงพลันทำหน้ามุ่ยดวงตากลมใสพลันหม่นแสงลงเล็กน้อย
“พี่ชายหวังอย่าดุนางเลย ข้าเอ็นดูซิงซิงดุจบุตรสาวของข้าเอง นางทำเช่นนี้ข้าล้วนยินดียิ่งนัก”
“แม่นาง... เอ่อ... เว่ยเอ๋อร์เจ้าอย่าตามใจนางนักเลย ไปเถิดเข้าไปคุยในเรือน”
เมื่อเข้ามาในเรือนเฉินหลิงเว่ยก็ขอพบหวังไห่เถิง ก่อนเอ่ยบอกเรื่องที่นางตั้งใจจะซื้อที่ดินผืนข้างๆ ให้หวังไห่เถิงทราบ หวังไห่เถิงหันมาสบตาบุตรชายเล็กน้อยเมื่อหวังเฮ่อเหรินพยักหน้ารับเขาจึงลุกไปหยิบโฉนดที่ดินมาให้เฉินหลิงเว่ย
“ที่ดินผืนนี้เจ้าของเดิมฝากข้าขายมาร่วมปีแล้ว หากเจ้าอยากได้ก็ลงนามซื้อขายได้เลย”
เฉินหลิงเว่ยยิ้มกว้างก่อนลงนามซื้อขายที่ดินจำนวน 5 หมู่ในราคา 30 ตำลึงเงิน ซึ่งนับว่าเป็นราคาที่ถูกมากทีเดียวเพราะที่ดินในหมู่บ้านมักซื้อขายกันที่หมู่ละ 10 ตำลึงเงิน อาจเพราะที่ดินผืนนี้อยู่เกือบท้ายหมู่บ้านกระมังหัวหน้าหมู่บ้านอย่างหวังไห่เถิงจึงขายให้นางในราคาที่ไม่แพงนัก
เฉินหลิงเว่ยจากไปแล้วหวังไห่เถิงส่งเงินจำนวน 30 ตำลึงเงินให้บุตรชายแล้วถอนหายใจยาว หวังเฮ่อเหรินก้มศีรษะเล็กน้อยรับเงินมาจากบิดา
……………………………………
ในวันถัดมาฉินอู่ซ่งและมารดาก็มาที่เรือนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เฉินหลิงเว่ยกล่าวทักทายทั้งสองเพียงเล็กน้อยก็มอบหมายงานให้ฉินอู่ซ่งเข้าไปดูแลรดน้ำถอนหญ้าในสวนผัก อีกทั้งยังให้เขาตัดไม้เตรียมทำแนวรั้วรอบพื้นที่ใหม่ของนาง
มารดาของฉินอู่ซ่งนั้นมีนามว่าซูลี่ผิง อายุประมาณ 38 ปี ตอนที่เฉินหลิงเว่ยพบนางนั้นในใจพลันนึกถึงคำของฉินอู่ซ่ง ท่านแม่ข้าอายุมากแล้ว ใบหน้าของนางก็ชาไปเล็กน้อยเพราะตัวนางนั้นเดิมทีในภพก่อนอายุก็ไล่เลี่ยกับซูลี่ผิง หญิงสาววัยนี้ผู้ใดกล่าวว่าเป็นคนอายุมากกัน เขาเรียกว่าวัยมั่นคงต่างหากเล่า
ซูลี่ผิงมองวัตถุดิบมากมายในห้องโถงแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น หญิงแซ่เฉินผู้นี้กำลังทำอันใดกันเหตุใดข้าวของจึงมากมายนัก
“แม่นางเฉิน เจ้าจะให้ข้าทำงานอะไรหรือ”
“บอกท่านป้าตามตรง งานที่ข้าจะให้ท่านช่วยนั้นไม่ยากแต่ท่านห้ามเอ่ยบอกแก่ผู้ใด ไม่เช่นนั้นในภายหน้าเกรงว่าพวกเราอาจมีปัญหา”
“ห้ามบอกผู้ใดหรือ”
“นี่เป็นข้อแม้เดียวของข้า หากท่านไม่อาจตกลงเกรงว่างานนี้คงไม่อาจมอบให้ท่านช่วยเหลือได้”
“ตกลง! ตกลง! แม่นางเฉินเจ้าอย่าพึ่งขุ่นเคืองใจ ข้าสัญญา เอ่อ... สาบาน! สาบานต่อฟ้าดินเรื่องเหล่านี้จนตายจะไม่บอกผู้ใด”
“ขอบคุณท่านป้าที่เข้าใจเจ้าค่ะ”
เฉินหลิงเว่ยเอ่ยเสียงอ่อนโยนก่อนจะให้ซูลี่ผิงลงนามในหนังสือสัญญาว่าจ้าง ไม่ใช่นางไม่ไว้ใจซูลี่ผิงแต่เรื่องเหล่านี้ป้องกันไว้ก่อนย่อมเป็นสิ่งที่ดี ซูลี่ผิงนั้นแม้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง แต่เป็นผู้ที่มีความละเอียดและมีฝีมือ อีกทั้งยังฉลาดไหวพริบดีเฉินหลิงเว่ยเอ่ยบอกเพียงรอบเดียวนางก็จดจำขั้นตอนการทำสบู่ได้อย่างแม่นยำ
“แม่นางเฉิน”
ซูลี่ผิงเอ่ยเรียกเฉินหลิงเว่ยด้วยน้ำเสียงท่าทางสุภาพ ตัวนางเคยเป็นสาวใช้สกุลใหญ่ในเมืองหลวง ครั้งแรกที่พบเจอเฉินหลิงเว่ยนางยังหลงคิดว่าเด็กสาวผู้นี้คือคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ด้วยท่าทางกิริยาที่สุขุมนิ่งสงบของอีกทั้งผิวพรรณหน้าตาก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าธรรมดา หากไม่ใช่ว่าบุตรชายนางเล่าถึงเด็กสาวผู้นี้บ่อยๆ นางย่อมไม่เชื่อว่าเฉินหลิงเว่ยจะเป็นเพียงหญิงปลูกผักเท่านั้น
“ท่านป้าเรียกข้าเว่ยเอ๋อร์ก็ได้เจ้าค่ะ”
“แต่ข้าเป็นเพียงลูกจ้างของเจ้า...”
“แม้ท่านป้าและอู่ซ่งจะมารับจ้างทำงานให้ข้า แต่ข้าไม่เคยมองพวกท่านในฐานะลูกจ้างเลยเจ้าค่ะ”
ฉินอู่ซ่งที่เข้ามาดื่มน้ำได้ยินถ้อยคำของเฉินหลิงเว่ยในใจก็พลันตื้นตัน หัวใจอิ่มเอม ใบหน้ามีรอยยิ้มระบายเด่นชัด เรี่ยวแรงที่หายไปก่อนหน้าคืนกลับมาจนเต็มกำลัง มือหนาหันไปหยิบมีดเล่มโตเดินขึ้นเขาไปตัดไม้ด้วยกำลังที่มากกว่าเดิม
“อาซ่งได้พบเจ้านับเป็นวาสนาที่ดียิ่งนัก”
“ได้คบหาคนดีเช่นเขาเป็นสหายก็นับเป็นวาสนาของข้าเช่นกันเจ้าค่ะ”
เฉินหลิงเว่ยเอ่ยด้วยท่าทางราบเรียบสุภาพ แต่ผู้ที่ผ่านชีวิตมามากเช่นซูลี่ผิงกลับเข้าใจเจตนาของนางเป็นอย่างดี ดูแล้วหยกงามชิ้นนี้บุตรชายของนางคงมิอาจครอบครอง
“ตะวันตรงหัวแล้ว ข้าจะเข้าครัวไปปรุงอาหารนะเจ้าคะ”
เฉินหลิงเว่ยเอ่ยจบก็เข้าครัวปรุงอาหาร ใช้เวลาไม่นานนักอาหารสามอย่างก็ถูกยกออกมาที่โต๊ะหน้าเรือน จะอย่างไรฉินอู่ซ่งก็เป็นบุรุษเข้าไปในเรือนของนางย่อมไม่สมควร
“ข้าตัดไม้มาแล้ว อีกสามวันรั้วน่าจะทำเสร็จ”
“ข้าอยากจะปลูกเรือนสักหลัง เจ้าหาคนให้หน่อยได้หรือไม่”
“ได้สิ”
“แต่งานค่อนข้างด่วนเจ้าหามาหลายคนหน่อยได้หรือไม่”
“ข้าจะปรึกษาอาเหรินดู เขาเป็นคนกว้างขวางน่าจะรู้จักช่างฝีมือดีๆ หลายคน”
เฉินหลิงเว่ยพยักหน้าเห็นด้วย นึกถึงคราวที่เขาสร้างเล้าไก่และโรงเลี้ยงแพะให้นางใช้เวลาไม่ถึงชั่วยามก็แล้วเสร็จ เช่นนั้นเรื่องเรือนหลังใหม่คงไม่น่ากังวลนัก
เป็นเช่นที่ฉินอู่ซ่งเอ่ยบอก ในวันถัดมาเฉินหลิงเว่ยเข้าเมืองไปส่งผักเมื่อกลับมาในตอนเย็นโครงเรือนก็ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พี่ชายหวัง”
“พะ... อ่า...เว่ยเอ๋อร์เจ้ากลับมาแล้วหรือ พวกเจ้าวางมือก่อน วันนี้พอแค่นี้พรุ่งนี้ค่อยมาทำใหม่”
เฉินหลิงเว่ยมองบุรุษร่วมห้าสิบคนต่างทยอยเก็บของจากไปโดยไม่เอ่ยวาจาแล้วขมวดคิ้วเล็ก นางอยู่ที่นี่มาเกือบสี่เดือนแล้วคนในหมู่บ้านแม้ไม่รู้จักคุ้นเคยแต่ก็พอจะจดจำใบหน้าได้ ทว่ากับบุรุษเหล่านี้นางกลับไม่เคยเห็นพวกเขาเลย
“พวกเขาเป็นสหายในเมืองของข้า”
“อ่อ...เป็นเช่นนี้นี่เอง พี่ชายหวังเรื่องค่าใช้จ่าย”
“ข้าเจรจาตกลงกับพวกเขาในราคาเหมาจ่ายที่ 15 ตำลึงเงิน”
เฉินหลิงเว่ยขมวดคิ้วเล็กประเมินจากวัสดุที่ใช้และขนาดเรือนจะอย่างไรก็ไม่ต่ำกว่า 30 ตำลึงเงิน หวังเฮ่อเหรินมองท่าทางสงสัยของนางแล้วในใจก็พลันหวาดหวั่นขึ้นมา
“ข้าบอกว่าเจ้าเป็นน้องสาวข้า พวกเขาล้วนเป็นสหายข้าจึงเต็มใจมาช่วยโดยไม่คิดค่าแรง เจ้าเองก็อย่าได้บอกใครเชียว”
เฉินหลิงเว่ยพยักหน้ารับคำแล้วยิ้มกว้าง นางส่งตะกร้าผลไม้ให้เขาเอ่ยฝากไปให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อเอ่ยว่าเป็นของฝากไปให้ผู้อาวุโสที่เรือนแน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจปฏิเสธน้ำใจครั้งนี้
“พี่สาว!”
……………………………………