ตอนที่ 3.2

3995 คำ
ทักเพียงแค่นั้น กลับทำเอาน้ำตาซึ่งกักเก็บมาตลอดทางที่เดินกลับหลั่งไหล   พร่างพรู ยิ่งตอนที่ชยางกูรใช้สายตากวาดมองไปทั่วร่าง ตั้งแต่ใบหน้าแดงก่ำเกิดจากการร้องไห้ ลำคอมีบาดแผลจากผิวเนื้อผ้าบาด ต้นแขนเต็มไปด้วยรอยช้ำ ยันรองเท้าผ้าใบเขรอะฝุ่นซึ่งไม่รู้ว่าเชือกหลุดลุ่ยตั้งแต่เมื่อไหร่ สองขาอ่อนเปลี้ยเพราะเดินเป็นระยะทางไกลเพื่อกลับมาให้ถึงหอพัก โทรหาใครไม่ได้เพราะมือถือติดอยู่ในรถของรุ่นพี่คนนั้น สุดที่รักส่ายหน้าปฏิเสธแทนคำพูด นาทีนี้เหนื่อยล้าเกินกว่าจะเอ่ยคำใด ชยางกูรตกใจกับน้ำตาบนดวงหน้าขาว นัยน์ตาโศกยิ่งดูเจ็บปวดเมื่อมีน้ำสีใสกลั่นออกมา ที่สุดของความอดทน มือแกร่งคว้าเอาร่างโปร่งเข้ามากอดไว้แน่น สุดที่รัก...เพื่อนสนิทคนนี้มีค่าควรแก่การกอดปลอบ ไม่เหมือนพวกไอ้เจมส์ ไอ้ม่อน ที่ถ้าพวกมันร้องไห้ เขาคงไล่เตะเรียกสติ “มันทำมึงเจ็บตรงไหนบ้าง? พรุ่งนี้กูจะไปเอาคืนให้พันเท่า” เขาปฏิญาณกับตัวเอง มือแกร่งคอยปลอบประโลมเรือนผมนุ่ม แรงสะอื้นของคนในอ้อมกอดยิ่งทำให้เขารู้สึกโมโห ไอ้เหี้ยนั่นจะต้องถูกชำระแค้น เขาไม่ปล่อยมันไว้แน่ “ไม่เอาชะ” สุดที่รักละล่ำละลัก ผลักไสอ้อมกอด “ปล่อยเขาไปเถอะ ต่างคนต่างอยู่ดีกว่านะ เราไม่ได้เป็นอะไร” “ไม่เป็นบ้าอะไร ก็เห็นอยู่ว่าเจ็บ ดูดิ แผลเต็มไปหมด มันเอามึงไปทำอะไรกันแน่” ยิ่งสำรวจบาดแผลก็ยิ่งโกรธ พาลเอาคนเลือดร้อนโผกายจะไปตามแก้แค้นเสียเดี๋ยวนี้ แต่สุดที่รักห้ามเอาไว้ “เขาไม่ได้ทำอะไรเรา เขาแค่เข้าใจผิด ตอนนี้มันจบลงแล้ว ชะอย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ” จังหวะหนึ่งที่ยื้อยุดกัน ชยางกูรนิ่วหน้า พร้อมกับถอยหลบเพื่อไม่ให้สุดที่รักแตะต้องเนื้อตัว สุดที่รักชะงักตาม เห็นความผิดปกติจากอีกฝ่าย ชยางกูรหลบหน้า ขบกัดฟันกรามแน่น เขารีบพยายามถอดเสื้อหนังออกจากร่างสูง เมื่อถอดออกได้ เขาถึงได้รู้ว่า   ชยางกูรมีบาดแผลอยู่หลายที่ ตั้งแต่ต้นแขน สีข้าง ยันข้างขา เสื้อผ้าซีกหนึ่งหลุดลุ่ยเผย   ผิวกาย มันเป็นบาดแผลคล้ายคนหกล้มแล้วลื่นไถลไปกับพื้น “ชะ!” “ปล่อย! กูแค่รถล้ม ไม่มีอะไรต้องห่วง” ชายหนุ่มปฏิเสธมือบางที่หวังจะเอื้อมมาแตะต้อง เขาไม่อยากให้สุดที่รักต้องมาห่วงเขา ในขณะที่ตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่ต่างกัน “แผลเยอะขนาดนี้ยังจะบอกว่าแค่อีกเหรอ เข้าไปทำแผลข้างในก่อน” สุดที่รักรีบไขกุญแจห้อง ก่อนเดินนำคนตัวสูงเข้าไปด้านใน “ห่วงแต่คนอื่น ห่วงตัวเองก่อนไหม?” คนเดินตามเอ่ย หลังจากนั้นสุดที่รักไม่ปล่อยให้คนเจ็บได้พูดอะไรอีก พามานั่งปลายเตียง รีบจัดการหาอุปกรณ์มาทำความสะอาดบาดแผลและรักษาให้เบื้องต้น ในขณะที่ทายาบริเวณข้อศอกแล้วออกแรงเป่าเพื่อให้มันแห้ง สายตาคู่หนึ่งกลับจดจ้องมองการกระทำ    ไม่ลดละ คนถูกมองเพิ่งรู้ตัวว่าถูกมอง ถึงได้ทำหน้าเอ๋อ หยุดอมลมแล้วผละกายออกห่าง “เสร็จแล้ว ชะรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ จะเช้าแล้ว” “มึงอยู่คนเดียวได้เหรอ แผลก็เยอะ มา...กูใส่ยาให้” ไม่พูดเปล่า มือแกร่งข้างหนึ่งรั้งหัวไหล่คนตรงหน้าให้เข้ามาใกล้ “ไม่เป็นไร เราไม่ได้เป็นอะไรมาก อยู่คนเดียวได้ กลับไปพักเถอะ” “เสียงสั่นขนาดนี้เนี่ยนะอยู่ได้ บอกกูมาเดี๋ยวนี้นะว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างมันกับมึงกันแน่” สุดที่รักอ้ำอึ้งไม่กล้าเล่า แต่กลับถูกสายตาคาดคั้นเตรียมเอาเรื่องจากชายหนุ่ม ถึงได้ยอมเปิดปาก “เขาเข้าใจผิด คิดว่าเราแอบถ่ายรูปตอนเขากับแฟน...แล้วเอาไปแฉ” “บ้าเปล่าวะ คนอย่างมึงเนี่ยนะ?” ชะไม่มีทางเชื่อ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่เชื่อ คนอย่างไอ้สุดมันจะไปทำอะไรใครได้ เห็นวันๆ เรียนเสร็จก็ไปทำงาน แค่นี้ก็หมดวันของมันไปแล้ว มันเป็น  คนไม่มีพิษไม่มีภัยกับใคร เขาไม่เชื่อหรอกว่ามันจะทำอะไรอย่างนั้น “เราไม่ได้ทำนะชะ แต่ตรงนั้น...ตอนนั้นมีแค่เราจริงๆ เขาเข้าใจเราผิดไปแล้ว” “ปล่อยแม่งเถอะ ใครไม่เชื่อ กูนี่แหละเชื่อ แม่งโคตรเกลียดคนที่ตัดสินคนอื่นทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ความจริง อย่าไปกังวลกับคนพรรค์นั้นเลย แต่ที่แน่ๆ แผลมึงพวกนี้ กูต้องไปเอาคืน ส่วนมึงตอนนี้ก็พักผ่อนเถอะ” “อย่านะชะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย” กับคนๆ นั้นในตอนนี้ เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ หรือไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีกแล้ว จะขอปล่อยให้ความรู้สึกที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ความทรงจำในช่วงชีวิตหนึ่ง ได้พบกันแค่นี้คงเพียงพอแล้ว... แม้จะยังคงนึกเสียใจกับความเข้าใจที่ผิดๆ กับสายตารังเกียจเดียดฉันท์ของใครคนนั้นอยู่ก็ตาม แต่สุดที่รักตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ไปยุ่ง จะไม่ไปให้กว้างขวางได้เห็นหน้าอีก เมื่อยังคงเห็นแววตากรุ่นโกรธ สุดที่รักเอื้อมมือไปกระชับต้นแขนของชยางกูร พร้อมช้อนมองอีกฝ่ายด้วยแววตาโศกคล้ายกำลังอ้อนวอน “สัญญานะ” ใจไอ้ชะอ่อนยวบยาบราวขี้ผึ้งลนไฟ จำยอมพยักหน้ารับในที่สุด “สัญญา แต่ถ้ามันมาเข้าใกล้มึงอีก กูไม่รับประกันนะ” สุดที่รักพยักหน้ารับ ก่อนที่ทุกอย่างจะคลี่คลายลงเรียบร้อย ชยางกูรยอมความในที่สุด เมื่อเห็นว่าวันนี้ช่างแสนยาวนาน และสุดที่รักควรได้รับการพักผ่อนเสียที เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากกรอบประตู สุดท้ายหันมามองคนตาโศก “แน่ใจนะว่าอยู่ได้” “อื้ม...” ชะถอนหายใจอย่างคนจำยอม ก่อนจะปล่อยให้สุดที่รักปิดประตูห้อง เมื่อได้อยู่กับตัวเอง คนด้านในถึงกับทรุดเข่า ใช้แผ่นหลังพิงประตู  ก่อนน้ำตาใสที่พยายามสะกดกลั้นไว้นานจะร่วงไหลผุดจากขอบตา ทิ้งตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยล้า การกระทำกับคำพูดหยาบคายที่ออกปากไล่กัน พร้อมกับแววตาคาดโทษจากใครคนนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึก เขาดูเป็น...คนเลวร้ายในสายตาพี่กว้างขนาดนั้นเลยเหรอ คิดเพียงแค่นั้น น้ำตาจากที่ไหลรินก็กลับกลายเป็นพร่างพรู มือบางยกขึ้นมาปกปิดใบหน้าหวังห้ามมันเอาไว้ ร้องไห้สะอึกสะอื้น พลันประตูห้องที่ยังไม่ได้ล็อคกลับถูกกระชากออก นัยน์ตาโศกเบิกกว้าง รีบหันกลับไปมองบุคคลที่คิดว่ากลับไปแล้ว “......” “ถ้าเป็นไอ้เจมส์ ไอ้ม่อน หรือเพื่อนคนอื่นๆ ร้องไห้ให้กูเห็นแบบนี้กูจะเตะให้คว่ำ เพราะดูแม่งโคตรอ่อนแอ ปัญญาอ่อน แต่พอมาเป็นมึง...” ชยางกูรทำสีหน้าลำบากใจอย่างคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความรู้สึกของเขามันสับสนเรรวนแบบนี้มาได้สักพักแล้ว “ทำไมกูถึงอยากกอดวะ” ไม่รู้ทำไม... พูดจบก็กระทำการอย่างที่พูด คนอย่างชยางกูรไม่เคยอ่อนโยนกับใครตั้งแต่รู้จักกันมา ผิดแปลกกับตอนนี้ เขาคว้าต้นแขนสุดที่รักให้ลุกขึ้นมา ก่อนจะดึงร่างโปร่งเข้าสู่   อ้อมกอด “ไอ้กว้างขวางนั่น...มันเป็นมากกว่ารุ่นพี่ร่วมมหาลัยใช่ไหม? ไม่อย่างงั้นมึงคงไม่เสียใจมากขนาดนี้” เพียงเท่านั้นที่ได้ยิน หัวใจก็ยิ่งปวดสะท้านไปทั่วแผ่นอก ม่านตาโศกเต็มไปด้วยน้ำตาคลอหน่วย ก่อนกลั่นออกมาอาบสองข้างแก้มราวกับว่ามันไม่มีวันเหือดแห้ง ทำไมถึงเจ็บได้ขนาดนี้ กับแค่คนที่แอบรักเข้าใจตนผิด แค่โดนรังเกียจแล้วไล่ไม่ให้เข้าใกล้ กายบางแสนอ่อนล้าอาศัยช่วงเวลานี้หลบซุกอยู่ในอ้อมกอดของชยางกูร นานมากแล้วที่ไม่เคยได้รู้สึกแบบนี้ นานแล้วที่ไร้ที่พักพิง นายสุดที่รักตอนนี้กับเด็กชายสุดที่รักในตอนนั้นยังคงโหยหาอ้อมกอดแสนอบอุ่นจากใครสักคน เพื่อมาทดแทนความเหงา เปล่าเปลี่ยวเดียวดายในช่วงเวลาทุกข์ใจ ใครจะรู้บ้างว่าการยืนบนโลกใบนี้เพียงลำพัง มันทรมานมากมายแค่ไหน ไออุ่นจากแผ่นอกกว้างทำให้สุดที่รักเผลอกอดตอบ หลับตาร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ “คืนนี้ให้กูอยู่เป็นเพื่อนเถอะ” เอ่ยเสียงแผ่วริมใบหู ในขณะที่รัดรั้งร่างคนร้องไห้เอาไว้ ฝ่ามือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบเรือนผมเพื่อปลอบประโลม     Rrrrr…. เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่กว้างขวางเพิ่งถอยรถเข้าที่จอดยังชั้นใต้ดินคอนโดเสร็จ เขากดรับสายเมื่อเห็นว่าธีโทรเข้ามา ไม่ทันได้พูดอะไร เพื่อนซี้ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “มึงเข้าใจผิดอย่างแรงเลยว่ะไอ้กว้าง คนที่ถ่ายรูปมึงกับน้องมายด์ในห้องน้ำผับไม่ใช่ไอ้สุด” “มึงแน่ใจได้ยังไง?” กว้างขวางชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรถ พลันสายตาเหลือบไปเห็นมือถือของคนที่เขาเพิ่งจะปล่อยทิ้งไว้ข้างทาง เขาก้มหยิบมันมาถือเอาไว้ “กูเคลียร์กับแอดมินเพจให้ลบรูปมึงแล้วนะ แล้วเขาก็ยืนยันว่ารูปที่ส่งมาไม่ใช่ไอ้สุดแน่นอน แต่เป็นคนรู้จักที่เข้าห้องน้ำในตอนนั้นพอดี ก่อนที่มึงจะพาเด็กเข้าไป เขาเปิดเผยไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่ยืนยันว่าไม่ใช่เฟซบุ๊กที่ชื่อ Sudtheerak A.” เมื่อได้ยินความจริง กว้างขวางถึงกับนิ่งงัน หวนนึกถึงดวงหน้ากับนัยน์ตาโศกคู่นั้น แววตาและคำพูดเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดของเขากลับมาตรึงอยู่ในสมองอีกครั้ง เขาคิดผิด... มือแกร่งลูบไล้ใบหน้าเพื่อคลายความตึงเครียด จริงๆ มันก็เป็นไปได้ที่จะมีคนอื่นอยู่ตรงนั้น แต่ตอนนั้นมันเงียบมากจนไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ ประตูห้องน้ำทุกห้องก็เปิดค้างไว้หมด แล้วจะให้เขาเข้าใจว่าอย่างไรกัน แต่ในเมื่อรับรู้แล้วว่าไอ้เด็กชื่อแปลกนั่นไม่ได้ทำ ตอนนี้เขาเหมือนคนลุแก่โทษ และไปต่อไม่ถูก ชายหนุ่มวางสายหลังคุยกับธีอีกไม่นาน เมื่อมาถึงหน้าห้อง เขาเห็นชุดสูทสีเทาอ่อนถูกหุ้มด้วยพลาสติกกันเปื้อนแขวนอยู่ตรงลูกบิดประตู ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยอย่างคนหงุดหงิด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครให้มา เขาหยิบซองจดหมายที่แนบมาด้วยแล้วแกะอ่าน    มีเพียงประโยคสั้นๆ ซึ่งเขียนด้วยลายมือของผู้เป็นมารดา “เสาร์หน้าตรงเวลาด้วยนัดแขกไว้หลายคน” เรื่องเดิมๆ ที่พ่อกับแม่บังคับให้เขาต้องทำตาม คือการนัดให้เขาไปร่วมงานขอบคุณลูกค้า คราวนี้คงเป็นการปิดจ๊อบงานขายคอนโดที่ไหนสักที่ กว้างขวางเบื่อหน่ายกับเรื่องที่ต้องทำตามคำสั่งของพ่อกับแม่เต็มทน เข้าไม่ชอบปั้นหน้าแสร้งยิ้มเข้าหาผู้คน ประจบประแจงใครต่อใครเหมือนอย่างพ่อกับแม่  ยิ่งพักหลังๆ มานี้ยิ่งถี่จนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้น การพบปะลูกค้ายังไม่ทำให้เขาระอาเท่านัยแอบแฝงของคนเป็นพ่อแม่ นัยที่ว่าคือการให้เขาไปเลือกว่าที่ลูกสะใภ้จากหลายตระกูล งานขอบคุณลูกค้าเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้าเท่านั้น ยิ่งใกล้เรียนจบ เขายิ่งถูกตามตัวให้ไปพบปะกับหญิงสาวมากหน้าหลายตาที่มาพร้อมความร่ำรวยและนามสกุลดัง มันเป็นแบบนี้มาพักใหญ่แล้วที่คนทั้งสองยัดเยียดอะไรแบบนี้ให้ และเขาเองก็เหนื่อยเต็มทีกับการถูกบังคับคลุมถุงชนอยู่กรายๆ ตั้งแต่เกิดจวบจนทุกวันนี้ ชีวิตของเขาไม่เคยมีอะไรเป็นของตัวเอง ครอบครัวของเขาอยู่กันแบบตัวใครตัวมันมาเนิ่นนานตั้งแต่จำความได้ พ่อกับแม่อยู่ร่วมชายคากันก็จริง แต่ไร้ซึ่งความรักฉันท์สามีภรรยา พวกเขาไม่ยอมหย่า อาจเพราะมีผลประโยชน์ทางธุรกิจเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และแน่นอนว่าลูกชายเพียงคนเดียวอย่างเขาก็คงเป็นแค่ทายาทที่มีไว้เพื่อสืบสานธุรกิจของตระกูลเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ทายาทที่เกิดมาจากความรักใคร่ เขาไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นจากคนทั้งสอง ทั้งหมดของกว้างขวางคือการถูกกดดันคาดหวังให้เป็นไปในทิศทางที่พวกเขาวางไว้ ไม่เคยมีอ้อมกอดหรือการจูบเพื่อปลอบประโลมในยามที่โดดเดี่ยว เหมือนมีเพียงตัวเขาเพียงลำพังที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แม้มีเงินทองมากมายกองอยู่ตรงหน้า ทว่ากว้างขวางกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด ในวัยเด็ก...ก้นบึ้งของหัวใจมันแค่โหยหา ต้องการใครสักคนมาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหาย เพื่อมาทดแทนความรักที่ควรจะได้รับจากบุพการี แค่การสวมกอด แค่การหอมแก้ม แค่การลูบหัวจนผล็อยหลับ...เท่านั้นเองที่เขาต้องการ และเขาก็ได้พี่เลี้ยงมาเล่นด้วย เธอดูแลเขาดีประหนึ่งเป็นน้องชายของเธอเอง นั่นอาจเป็นความอบอุ่นเดียวที่เขาเคยได้รับ และเขาพึงพอใจความรู้สึกนี้ราวกับคนถูกเติมเต็ม จนล่วงเลยเข้าสู่วัยเริ่มโต...เมื่อความรักของพี่เลี้ยงที่เปรียบเสมือนพี่สาวแท้ๆ จบลงด้วยการลาออกเพื่อไปแต่งงาน ตอนนั้นเขาเคว้งคว้างไร้จุดยืน จึงหาทางออกโดยการออกไปตามหาความอบอุ่นจากโลกภายนอก วัยรุ่นเป็นวัยคึกคะนอง เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ความรู้สึกสุขสมทางกายทดแทนความรู้สึกอ้างว้าง มากกว่าจะใช้ความรักความเข้าใจพูดคุยกับใครสักคน นานวันเข้าความสัมพันธ์ทางกายกับใครหลายคนจึงนำไปสู่การเสพติดในเรื่องอย่างว่า กว้างขวางตอนนั้นเริ่มติดเซ็กซ์ ทุกคืนจะต้องหาคนมาสนองความต้องการให้เขา มันเป็นเหมือนการบำบัดความเก็บกดและปมที่มีอยู่ภายในใจ จะว่าขาดความอบอุ่นก็คงไม่ผิดนัก บัดนี้เขาเติบโตกลายมาเป็นชายหนุ่มใจด้านชา การโหยหาความรักจากใครสักคนนั้น กลับรางเลือนเต็มที ความอ้างว้างโดดเดี่ยวหล่อหลอมให้เขากลายมาเป็นคนที่มีกำแพงหัวใจสูงเสียดฟ้า ไม่รู้จักรัก ไม่รู้จักใส่ใจใคร เขารู้จักแต่ความสุขที่ได้มาจากการมีเพศสัมพันธ์ เมื่อกายสุขสม ความรักจึงกลายเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน ฉะนั้นการแต่งงานไม่ใช่วิถีทางของเขา เขาเป็นโรคเสพติดเซ็กซ์ และแน่นอนว่าการแต่งงานเพื่อมีคู่ครองเพียงคนเดียวมันดูน่าเบื่อและผูกมัดเกินไปสำหรับเขา ชายหนุ่มทิ้งชุดสูทไว้บนโซฟาหลังเปิดประตูเข้ามาในห้อง ห้องชุดสุดหรูบนชั้นสูงสุดกว้างขวางเงียบเชียบ ไม่เคยมีใครได้รับเกียรติให้ขึ้นมาบนนี้ ไม่มีคู่นอนที่เขาเรียกว่าแฟนคนไหนได้รับอนุญาตให้ขึ้นมา เขาหวงความเป็นส่วนตัว หวงแม้กระทั่งริมฝีปากและอ้อมแขนของตัวเอง เขาไม่เคยจูบใคร แล้วก็ไม่เคยมีใครได้จูบเขา เขาไม่เคยมอบอ้อมกอดให้ใครอย่างรักใคร่ แล้วก็ไม่เคยตอบรับอ้อมกอดจากใครด้วยเช่นกัน เขาตั้งกฎให้คู่นอนแบบนั้นเสมอ ไม่มีจูบ ไม่มีกอด มันเป็นความหวงบ้าบอตั้งแต่เด็ก ขนาดพ่อแม่ยังไม่เคยจูบหรือกอดเขาเลย แล้วทำไมเขาจะต้องมอบสิ่งพิเศษสุดนี้ให้กับใคร ยังไม่มีใครควรค่าได้รับจูบและอ้อมกอดของเขา สำหรับกว้างขวางจูบและกอดคงเป็นเพียงสองสิ่งที่แสดงออกถึงความรักอย่างแท้จริง ร่างกายแสนเหนื่อยล้าทิ้งตัวนอนหงายลงบนที่นอนหลังใหญ่ ชายหนุ่มหลับตาพลางผ่อนลมหายใจปัดเป่าความตึงเครียด พลันสมองกลับฉายภาพใคร  อีกคนขึ้นมาในห้วงความคิด ไอ้เด็กชื่อแปลกกับท่าทางแปลกๆ ที่มีต่อเขาทำให้เขารู้สึกแย่ ทว่านัยน์ตาโศกคู่นั้นกลับตรึงให้เขาเอาแต่นึกถึง กว้างขวางถือวิสาสะหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องเก่าของเจ้าเด็กนั่นขึ้นมาเปิด คงเป็นเพราะประสิทธิภาพที่เริ่มแย่ลง หน้าจอแตกเป็นลายดูแทบไม่รู้เรื่อง ทำให้เจ้าของไม่ได้ติดรหัสปลดล็อคเอาไว้เพื่อง่ายต่อการใช้งาน เขาไล่กดเข้าไปดูตาม  แอปพลิเคชันต่างๆ ไม่มีอะไรผิดแผกแปลกไปจากปกติ จะมีก็แค่โฟลเดอร์รูปของเขาที่เจ้าตัวเซฟเก็บไว้นับพันรูปเท่านั้นที่แปลก ดูท่ามันจะชอบเขาเอามากๆ ชายหนุ่มเหยียดริมฝีปากอย่างคนนึกรังเกียจ ผู้ชายที่เซฟรูปผู้ชายด้วยกันนี่มันชวนขนลุกขนพองไม่น้อย นี่มันเข้าขั้นโรคจิตไปแล้วมั้ง รูปเขาแต่ละรูปมีเครดิตเป็นชื่อแฟนเพจที่คุ้นเคย อิริยาบถของเขาก็แตกต่างหลากหลาย บางรูปก็เป็นตอนเขานั่งคุยกับเพื่อนในชุดนักศึกษา บางรูปก็เป็นตอนเขากำลังนั่งเรียนในห้องเลคเชอร์ ยิ่งดูก็ยิ่งหงุดหงิด เขาเลยเลิกดู ทิ้งมือถือของสุดที่รักไว้บนเตียง ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูเพื่อเช็คความเป็นไปบ้าง เข้าไปดูเพจก๊อสซิปก่อนเป็นอย่างแรก รูปเจ้าปัญหาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหายไปเรียบร้อยอย่างที่ไอ้ธีบอก หลังจากนั้นก็กดดูแจ้งเตือนที่มีมากมายเยอะแยะเต็มไปหมด เหมือนอย่างเคยล่ะ ทุกวันจะมีคนมากมายส่งรีเควสขอเป็นเพื่อนเขาในเฟซ คิดว่าคงตามมาจากเพจแฟนคลับ ไม่ก็เพจยูบอยอะไรนั่น บ้างก็มากดไลค์โพสต์ที่ตั้งเป็นสาธารณะ ยอดติดตามตอนนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากหลักพันกลายเป็นหลักหมื่นเข้าไปแล้ว กดเข้าไปดูแจ้งเตือนจากเพจยูบอยที่แท็กเขาไว้ ก็พบโพสต์เพลงที่แนะนำพร้อมรูปเขาเมื่อบ่ายถูกปักพินเอาไว้ มียอดไลค์เกือบหมื่นเฉียดไปไม่กี่สิบ นิ้วเรียวกดจิ้มอ่านคอมเมนต์ไปเรื่อยเปื่อย พลันสายตากลับเหลือบไปเห็นข้อความโพสต์สุดท้าย เป็นไอ้เพื่อนซี้ที่หายหน้าหายตาไปนานมาก ตั้งแต่เข้าไปเรียนเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ “โอ้โห เพื่อนกู ขาวเนียนจังวะ ต่างจากกูอย่างกับฟ้ากับเหว” เขาพรูลมหายใจพรืดนึกขำ ป่านนี้เพื่อนรักของเขาคงตัวดำเมี่ยม สิวเขรอะ หัวเกรียนอยู่เป็นแน่ นานแล้วที่เขาไม่ได้เจอมัน ความคิดถึงยังผลให้เขากดเข้าไปดูเฟซอิ่มเพื่อดูการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม หน้าวอลไอ้อิ่มไม่ได้มีอะไรมาก คงเป็นเพราะเจ้าตัวไม่มีเวลาที่จะเล่น มีก็แค่แชร์เพลง แชร์เกม ไม่ก็สเตตัสสั้นๆ พร้อมรูปทรงหัวเกรียนกับกล้ามหน้าท้องสีแทน เมื่อเลื่อนลงไปเรื่อยๆ จนเกือบหมดความสนใจ สายตากลับเห็นโพสต์หนึ่งซึ่งนานมาแล้ว เป็นรูปมันถ่ายคู่น้องสาวซึ่งทั้งสองกำลังนั่งอยู่ภายในรถยนต์คันหรูด้วยกัน แต่ก็เผื่อที่ว่างตรงกลางไว้ให้คนที่นั่งข้างหลังด้วย ไอ้เด็กนัยน์ตาเศร้ากำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ตรงเบาะหลัง ไอ้อิ่มใส่แคปชั่นว่า “กินอิ่ม นอนอุ่นคัมแบค ส่วนคนข้างหลังยังไม่คัม ทำงานเหนื่อยจนหลับคารถ สุดที่รักของพี่” แล้วก็แท็กชื่อทั้งอุ่นและมัน กว้างขวางนึกยังไงไม่รู้ ถึงได้กดเข้าไปดูต่อในเฟซของเจ้าเด็กหน้าเอ๋อ มันตั้งสถานะเฟซเป็นส่วนตัวเอาไว้ มีเฉพาะเพื่อนกันเท่านั้นที่จะดูได้ ไม่มีอะไรเกินไปกว่ารูปโปรไฟล์ที่ตั้งไว้นานเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เป็นรูปเจ้าตัวกำลังยิ้มกว้างอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างโปร่งกำลังนั่งยอง สองแขนโอบไหล่เด็กๆ ทั้งชายและหญิงวัยประถมในชุดนักเรียนมอซอ ในมือถือขนมกันคนละถุงสองถุง ใบหน้าเปื้อนดินยิ้มร่า พื้นดินที่เหยียบย่ำกันนั้นเป็นดินลูกรัง ด้านหลังมีเสาธงชาติเก่าๆ และอาคารไม้ผุใกล้พังเต็มที ไม่รู้นึกสนใจอะไรถึงได้กดเข้าไปดูรูปภาพนั้นต่อ “เป็นสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก การแบ่งปันคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ ขอบคุณที่นี่ ขอบคุณครูใหญ่ คุณครูทุกท่าน และเด็กๆ ที่น่ารักทุกคน ที่สอนให้ผมรู้จักความรัก เพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้น สิ่งอื่นก็ไม่ต้องการอีกแล้ว สักวันจะไปเป็นครูอีกคนของที่นี่ ถึงเวลานั้นค่อยเรียกครูสุดที่รักก็แล้วกันนะ” ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้เป็นที่ฮ็อตฮิต เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาๆ แถมนัยน์ตายังหม่นหมองยากเกินบรรยาย ยอดไลค์จึงไม่ได้เยอะเหมือนอย่างเขา ที่แค่โพสต์อิโมห่าเหวอะไรก็มีใครไม่รู้มากมายมากดไลค์ให้หลักพัน ภาพนี้มีเพียงแค่ไม่กี่สิบคนที่กดไลค์กดหัวใจให้ คอมเมนต์ก็ช่างแตกต่างจากของเขา แต่พอได้ลองไล่อ่านแล้ว มันกลับเกิดความอบอุ่นขึ้นในใจจนเผลอยิ้มออกมา “ทั้งโรงเรียนมีกี่คนเนี่ย เล็กมาก” “โอ๊ยย อยากไปด้วย กลุ่มฉันลงใต้ ร้อนมากเว่อร์ เด็กๆ แหลงเร็วจนตามไม่ทันนาจา” “ครูที่รักคะ ยิ้มเก่งแบบนี้ วันหลังยิ้มเยอะๆ นะ” “สุดที่รัก โปรเจกต์นี้ได้คะแนนจากอาจารย์ไปเต็มๆ” “ทริปนี้สนุกมากกกก ฉันอยากไปอีกกกก” สายตาคมไล่อ่านคอมเมนต์ทีละอัน แต่ละครั้งก็จะเลื่อนขึ้นไปมองดูรูปซ้ำไปมา มันเกิดความรู้สึกแปลกท่วมท้นในหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยามเมื่อได้เห็นว่าเด็กคนนั้นยิ้ม ทั้งๆ ที่แววตายังเจือไปด้วยความโศกเศร้า กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนพบกับด้านสดใสที่เขาไม่เคยเจอจากใคร จู่ๆ หัวใจมันกลับเต้นแรงแบบแปลกๆ ... เขาไล่สายตาจนมาสะดุดตรงคอมเมนต์ด้านล่างสุด Chayangkul Kittikarn “เด็กๆ ยิ้มกว้างมาก คงเพราะมีคุณครูน่ารักอย่างนี้” เขาสบถเสียงในลำคอเมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ว่าเป็นใคร ไอ้หมาบ้าที่ต่อยเขาเมื่อกี้นี่เอง เขาไม่นึกใส่ใจมันเพราะกำลังให้ความสนใจกับรูปโปรไฟล์ของเด็กหน้ามึน ไม่รู้อะไรทำให้เขาสนใจ แต่ยอมรับว่าเขารู้สึกดีกับรอยยิ้มนี้ และอยากที่จะเห็นของจริงสักครั้ง นิ้วเรียวกดไลค์ให้ ก่อนจะเลื่อนไปตามหน้าฟีดของสุดที่รักอีก ได้รู้ประวัติเล็กๆ น้อยๆ ว่าสุดที่รักเป็นคนเหนือ เรียนอยู่โรงเรียนอะไรสักอย่างในตอน ม.ต้น ส่วน ม.ปลาย เข้ามาเรียนในกรุงเทพ โรงเรียนเดียวกันกับเขา โพสต์ล่าสุดที่คิดว่าเจ้าตัวคงเผลอกดเป็นสาธารณะ ซึ่งเป็นรูปเดียวที่อยู่บนหน้าวอลล์ถูกโพสต์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เป็นรูปหลังมือชูขึ้นบนฟ้าซึ่งย้อนแสงกับดวงอาทิตย์ แคปชั่นสั้นๆ แต่ทำให้หัวใจของเขากระตุกไหว “คิดถึงคนบนฟ้า”  เขาจงใจกดไลค์ให้อีก สุดท้ายไม่มีอะไรอื่น นิ้วโป้งจึงเลื่อนไปตามหน้าจอขึ้นจนสุด ก่อนจะตัดสินใจจิ้มลงที่ปุ่มเพิ่มเป็นเพื่อน ท่าทางเซื่องซึมกับนัยน์ตาโศก กำลังทำให้หัวใจด้านชากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม