เพียงแค่ใครคนนั้นปรากฏกายต่อหน้า หัวใจดวงเล็กพลันกระตุกไหวจนแทบหลุด คนที่เฝ้ามองตลอดมากำลังยืนอยู่ด้านล่างในชุดนักบาสเบอร์ 7 ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ให้ทุกๆ คนที่เดินเข้าไปทัก รุ่นน้องทุกคนต่างยกมือไหว้ทักทาย นับตั้งแต่พี่ชายตัวสูงคนนี้ก้าวเข้ามาในโรงยิม ไม่มีใครไม่ทอดสายตามอง ผิวกายขาวสะอาดสะอ้านหมดจดดูดีสมกับเป็นผู้ดีมีฐานะที่ใครต่อใครต่างร่ำลือ
“โห หล่อจนแสบตาอะไอ้เหี้ย” เจมส์คนล่ำเปรยในขณะที่ตายังคงมองไปยังจุดเดียวกับทุกคน “ใช่เดือนมหาลัยปีสี่ที่เขาพูดถึงเปล่าวะ”
“ไม่รู้ว่ะ” ชะตอบ เขาไม่ได้สนใจนัก เพราะกำลังให้ความสนใจกับมือถือของตัวเอง นิ้วโป้งกดพิมพ์ชื่อเพลงที่เพื่อนข้างกายแนะนำเมื่อครู่ ก่อนจะกดเซฟเอาไว้เพื่อฟังในตอนที่มีเวลาว่าง
“ใช่ค่ะพี่” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา เป็นรุ่นน้องปีหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงบันไดถัดลงไปจากพวกเขา “พี่กว้างขวาง เดือนมหาวิทยาลัยปีสี่ ขึ้นชื่อว่าเป็นเดือนมหาวิทยาลัยที่หล่อที่สุดในประวัติศาสตร์ของมอเราเลยนะคะ”
“เชดดดดคนนี้เองเหรอวะ ที่เขาให้ฉายาว่าเป็นท่านเทพ เทพบุตรมาเกิด เออกูยอมเลยอะแบบนี้” ยิ่งมองยิ่งแสลงใจ รุ่นพี่ตัวสูงนั่นช่างแตกต่างจากเจมส์จี๊ดผู้หล่อล่ำเสียเหลือเกิน “กูได้ยินไอ้พี่เขมพูดมาเว้ย ว่าท่านเทพคนนี้ทั้งรวย ทั้งหล่อ รถที่ขับก็หรูสัดๆ กูยังไปแขวะใส่มันอยู่เลย ว่าจะมีคนที่เพอร์เฟคขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ใช่นิยายนะเว้ย แต่พอมาเห็นตัวจริงวันนี้ กูยอมละ กราบท่านเทพ” ไอ้เจมส์ลุกขึ้นยืนก่อนจะทำท่าซูฮกให้รุ่นพี่ใน ชุดกีฬา
“แก...ดูดิ พี่กว้างเปลี่ยนคนอีกแล้วอะ คราวก่อนพี่แบม ดาวอักษรฯ วันนี้ใครก็ ไม่รู้ แต่สวยฉ่ำมากอะ” เด็กปีหนึ่งคนเดิมพูดขึ้นพลางสะกิดเพื่อนด้านข้างให้ช่วยกันดู
“สมแล้วที่ชื่อกว้างขวาง พี่กว้างเปลี่ยนสาวบ่อยมาก บ่อยจนไม่น่าใช่แฟนกันอะแก...”
“งั้นที่เขาลือกันว่าเป็นแค่คู่...”
“เฮ้อ...ถ้าใช่อย่างที่เขาพูดกันนะ ฉันก็อยากจะเป็นหนึ่งในนั้น ได้สักคืนหนูจะตั้งใจเรียนค่า!”
“อีบ้า ดูแต่ละคนที่พี่กว้างเลือกสิ อย่างน้อยๆ ก็ต้องดาว”
“โอ๊ยยยย แต้มบุญของฉันอยู่หนายยยย พ่อจ๋า แม่จ๋า เสกหน้า เสกนมให้หนูหน่อยยยยย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอน้อง?” ไอ้เจมส์ที่เงี่ยหูฟังมานานก็โผล่หน้าเข้าไป
ร่วมวงด้วย
“พี่กว้างนี่ระดับตำนานของมหาลัยเราเลยนะพี่ ความหล่อ ความรวยว่าเป็นที่เลื่องชื่อแล้ว ยังไม่เท่าเรื่องผู้หญิงอะค่ะ เขาลือกันว่าพี่เขาเปลี่ยนผู้หญิงอาทิตย์ละคน บางวันเช้าคน กลางคืนคน แต่เอาจริงๆ หนูก็ไม่เคยเห็นตำตาหรอกนะคะ เขาก็แค่ลือกัน แต่ก็อย่างที่เห็นนะพี่ หล่อ รวย สูงใหญ่ขนาดนี้ ใครบ้างไม่อยากได้ไม่อยากโดน แค่วันเดียวก็ถือว่าแต้มบุญสูงมากแล้วล่ะค่ะ”
“ป๊าดดดดดด” เจมส์ร้องอุทาน ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม “ไอ้เหี้ย ท่านเทพของจริง เรื่องหล่อเรื่องรวยกูไม่ซีเรียสครับ แต่กูสนใจเรื่องสาวของไอ้พี่กว้างนี่มาก ชาติที่แล้วแม่งคงทำบุญด้วยนมโค กับมะพร้าวลูกตู้มๆ ไอ้สัด สาวที่มาด้วยอย่างขาว อย่างอึ๋ม!”
“ปาดน้ำลายบ้างมึง เดี๋ยวผัวเขาก็มาเอาเรื่องหรอก” ชะยื่นมือไปปาดริมฝีปากเจมส์
“ถุย! หรือมันไม่จริง มึงดูดิ อวบอึ๋ม ขาวสัดๆ หน้างี้อย่างกับพริตตี้ มอเตอร์โชว์”
“เออกูเห็น แบบนี้ก็หาได้ทั่วไปแหละ แล้วจะไปอิจฉาเขาให้ได้อะไรขึ้นมา ไอ้พี่ปีสี่นี่มันหล่อจริง ก็ต้องหาได้ประมาณนี้ปะวะ” ส่ายหน้าเอือมระอากับปฏิกิริยาเกินเหตุของเพื่อน ไอ้เจมส์ทำหน้ายุ่งหันมาหาเพื่อนซี้
“มึงก็พูดได้ดิไอ้ชะ มึงก็หล่อพอๆ กับพี่เขา แต่แม่งเสือกติสต์ไม่ออกสื่อ วันหลังนะ...มึงไปออกเพจของอิพี่การ์ตูนเยอะๆ นะ สาวจะได้มารุมแบบนี้ เผื่อตกมาถึงกูบ้าง”
ชะเอื้อมมือไปตบหัวหยุดสติไอ้เจมส์พลางหัวเราะ ก่อนเหลือบไปเห็นอีกคน เอาแต่นั่งเงียบ เห็นมันเอาตาไปจดจ้องแต่มนุษย์รุ่นพี่คนดัง
“มึงอิจฉากับเขาด้วยหรือไง?”
สุดที่รักเหม่อมองรุ่นพี่หนุ่มจนไม่อาจรับรู้ถึงคำถาม นัยน์ตาหม่นหมองไร้ การแสร้งทำกำลังเอาความสนใจทั้งหมดไปให้กับความประทับใจในวัยเด็ก
ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยรู้จักกัน และกว้างขวางเคยเรียกแทนตัวว่าพี่ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งบ่ายที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันในบ้านตระกูลธารามาลา สุดที่รักไม่แน่ใจว่าตอนนี้พี่กว้างจะยังจำเขาได้อยู่หรือไม่ เพราะหลังจากวันนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย มีเพียงเขาที่เป็นฝ่ายเข้าไปทำความรู้จักกับชีวิตของชายหนุ่ม จากพี่กว้าง นักเรียน ม. 6 โรงเรียนชายล้วน กลายมาเป็นนายกว้างขวาง ศิริไพศาล เดือนมหาวิทยาลัยชื่อดังใจกลางเมืองกรุง ขวัญใจของใครหลายคน
อ้อมกอดอบอุ่นในยามที่สอนให้เล่นบาสกับสายตาคมดุดันหากแต่ให้อารมณ์ น่าเข้าหา ยังติดตาตรึงใจเขามาจนถึงวินาทีนี้
ความประทับใจในวันนั้น สานฝันเด็กชายสุดที่รักให้ตัดสินใจมาเรียนที่นี่ ตรากตรำอ่านหนังสือเพื่อให้สอบได้คะแนนสูงๆ เพราะมหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่นั่นไม่ใช่ความพยายามของเขา พี่กว้างเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาก้าวมาอยู่ตรงจุดนี้ ใช้ชีวิตแต่ละวันเพื่อแอบมองอีกฝ่ายอยู่ห่างๆ
มันเป็นเพียงแค่การแอบปลื้มที่ไม่คิดหวังจะได้เข้าใกล้
แค่ได้ใช้วันเวลาในช่วงชีวิตหนึ่งร่วมกันในรั้วมหาวิทยาลัย ได้รับรู้เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่ายจากคนที่แอบปลื้มเหมือนๆ กัน ได้เข้าไปติดตามดูชีวิตในโลกโซเชียล ได้หัวใจพองโตในตอนที่พบเจอโดยบังเอิญแล้วต้องเดินผ่านกัน
เท่านี้ก็สุขใจเพียงพอแล้ว
ทว่าในความสุขใจนั้น กลับมีห้วงอารมณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นตะกอนขุ่น ตะกอนขุ่นที่ทำให้หัวใจดวงเล็กรู้สึกปวดหน่วง ในยามที่ได้รับรู้ว่าคนที่ตนแอบปลื้มนั้น มีคนเคียงข้างไม่ซ้ำหน้า วันเวลาช่วงหนึ่งปีกว่าที่สุดที่รักเฝ้าตาม เฝ้ามองกว้างขวาง ทำให้เขาได้รู้ว่า คนอย่างกว้างขวาง ศิริไพศาลไม่เคยคบใครได้นานเกินเดือน ผู้หญิงที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ไปรับไปส่ง พาไปทานข้าว ดูหนัง มีมากหน้าหลายตาจนเขานับไม่ไหว
ข่าวลือต่างๆ นานาหนาหูขึ้นเรื่อยๆ แถมความจริงก็ยังประจักษ์ให้เห็นอยู่บ่อยๆ กว้างขวางจึงขึ้นแท่นเป็นคาสโนว่าตัวพ่อของมหาวิทยาลัยไปโดยปริยาย
ไม่รู้ว่าเงื่อนไขการคบกันในระยะเวลาอันสั้นเป็นอย่างไร พี่กว้างให้พื้นที่แก่ผู้หญิงพวกนั้นด้วยคำพูดแบบไหน พวกผู้หญิงเหล่านั้นถึงยังยินยอมพร้อมใจให้แก่เขา อาจด้วยเพราะรอยยิ้มอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่ตอนคบกัน ความร่ำรวยพร้อมจ่ายให้ทุกอย่างที่อยากได้
กว้างขวางให้คำนิยามความรักว่าอย่างไร ผู้หญิงเหล่านั้นจะใช่ความรักสำหรับ พี่กว้างหรือเปล่า สุดที่รักนั้นยากจะคาดเดา
นึกย้อนกลับมาถามนิยามความรักในแบบฉบับของตัวเองบ้าง...ความรักของเขาคงเป็นใครสักคนที่มาเติมเต็มให้หัวใจดวงนี้ไม่เงียบเหงา มาเป็นดั่งที่พึ่งพิงในยามทุกข์และยามสุข มาเป็นคนที่ทำให้ดวงตาคู่นี้เลิกหม่นหมองเสียที
คนที่ยื่นมือมากอบกุมกันเพื่อทำให้ไม่รู้สึกว่าโดดเดี่ยว
คนที่ยิ่งใหญ่กว่าฝ่ามือ กว่าท้องฟ้า...เขารอคอยคนๆ นั้น
“ทำบ้าอะไรของมึง? กูถามได้ยินป้ะเนี่ย?”
แว่วเสียงชยางกูรดังกระทบโสตประสาท ทำให้รู้ว่าตัวเองกำลังเผลอทำอะไรแปลกๆ ลงไป มือเรียวที่กางออกไปยังสนามบาสลดลงโดยอัตโนมัติ
“มึงปล่อยพลังเชียร์คณะมึงไง๊? ไอ้เพี้ยนนนนน” ไอ้เจมส์ร่วมสมทบ พลางเอื้อมมือไปตบหัวสุดที่รัก
คนถูกตบหน้าแทบคว่ำได้แต่หัวเราะแห้ง ก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น
ช่วงเวลาแข่งขันดำเนินไปอย่างเข้มข้น เมื่อปีนี้คณะพาณิชยการ ที่ยังถือว่าอ่อนชั้นกว่าคณะครุศาสตร์ในปีที่แล้ว กลับโชว์ผลงานและฝีไม้ลายมือได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะเมื่อมีรุ่นพี่ปีสี่อย่างกว้างขวางเข้าร่วมทีมด้วย นอกจากจะเป็นเดือนมหาวิทยาลัยแล้ว รุ่นพี่หนุ่มยังเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลตัวมหาวิทยาลัย
อีกด้วย
การแข่งขันสูสีเบียดเสียดกันแต้มต่อแต้มโดยไม่ทิ้งห่างกันมาก มีบ้างที่พาณิชยการขึ้นนำ แต่ด้วยครุศาสตร์มีนักกีฬาตัวมหาวิทยาลัยที่มากกว่า จึงทำให้ถูกตีตื้นขึ้นมาได้ไม่ยาก เสียงเชียร์จากกองเชียร์ทั้งสองคณะดังกระหึ่มไม่ยอมกัน สร้างสีสันและความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ผลสุดท้ายของการแข่งขัน อยู่ที่หนึ่งนาทีสุดท้ายในเวลานี้
พาณิชยการได้ลูกหลังจากที่ครุศาสตร์โยนบาสเข้าห่วงได้สองคะแนนไปสำเร็จ คะแนนนำเป็น 67 ต่อ 65 รุ่นน้องปีสามเบอร์เก้าเด้งบอลกับพื้นพลางกวาดตามองเพื่อนร่วมทีมที่วิ่งไปออกันอยู่ตรงใต้แป้นครุศาสตร์ แน่นอนว่ารุ่นพี่ปีสี่อย่างกว้างขวางถูกกันท่าจากฝ่ายตรงข้ามเพราะเป็นตัวทำคะแนน แต่ถึงอย่างนั้นรุ่นน้องเบอร์เก้าก็คิดที่จะส่งลูกไปให้ เพื่อตนจะได้ใช้ช่วงเวลาทีเผลอรอรับลูกส่งจากกว้างขวางอีกทีหนึ่ง ในจังหวะที่ทำเกมบุก ลูกบาสถูกส่งให้รุ่นพี่เดือนมหาลัยซึ่งยืนรออยู่ทางปีกขวาของฝั่งครุได้อย่างแม่นยำ กว้างขวางรับลูกบาสไว้ เวลาไม่กี่วินาทีก่อนจบเกม เขาที่ยืนอยู่ตรงจุดสามคะแนนจึงตัดสินใจกระโดดชู้ตบาสหวังชัยชนะ ทว่าทันทีที่ส่งลูกบาสขึ้นไป สองเท้ายังไม่ทันได้แตะถึงพื้น กลับถูกคู่ประกบตัวสูงใหญ่จงใจพุ่งกระแทกกาย ร่างสูงถลาหงายหลัง แผ่นหลัง เสือกไสกับพื้น
เสียงฮือฮาดังกระหึ่มไปทั่วโรงยิม ด้วยเพราะเห็นรุ่นพี่สุดหล่อถูกจู่โจมต่อหน้า ต่อตา เด็กผู้หญิงบางคนถึงกับกรีดร้อง เด็กผู้ชายบางคนถึงกับโวยวายไม่พอใจ รวมไปถึงสุดที่รักที่ผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเป็นกังวล กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลา พร้อมกับผายมือให้ทางพาณิชยการเป็นฝ่ายชนะ เพราะลูกบาสที่รุ่นพี่สุดหล่อส่งสามคะแนนลงห่วง อย่างสวยงามก่อนหมดเวลาเพียงเสี้ยววินาที เกิดเสียงโห่ร้องดีใจจากสแตนด์ฝั่งพาณิชยการ รุ่นน้องในสนามรีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงกว้างขวางให้ลุกขึ้นมาร่วมรับชัยชนะ
ผลการแข่งขัน คณะพาณิชยการชนะคณะครุศาสตร์ด้วยคะแนน 68 ต่อ 67
สุดที่รักที่เอาแต่เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของกว้างขวาง แต่เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ตัวสูงลุกขึ้นยืนพร้อมกับยิ้มกว้างดีใจได้จึงหมดห่วง เผลอยืนตบมือให้ไม่ขาด ดวงหน้าเผยรอยยิ้มดีใจอย่างที่สุด เรียกสายตาทุกคู่จากทีมผู้พ่ายแพ้อย่างครุศาสตร์ให้หันกลับมามอง รวมไปถึงเด็กสถาปัตย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วย เมื่อรู้ตัวถึงกับทำหน้าเหวอ ก่อนจะรีบทรุดกายนั่งกับที่
การกระทำทุกอย่างไม่พ้นสายตาของชยางกูร
“ตกลงมาเชียร์ครุ หรือมาเชียร์อีกทีมกันแน่”
“นั่นดิ มึงนี่ไส้ศึกป่ะวะ ขนาดกูยังหงุดหงิดแทนคณะมึงเลย ไอ้นี่หนิ” ไอ้เจมส์ชะโงกหน้าไปใส่อารมณ์ใส่สุดที่รักบ้าง
สุดที่รักเถียงไม่ออก เขาทำเกินหน้าเกินตาจริงๆ แหละ ก็คนมันเผลอตัวนี่ เขาเลือกที่จะนั่งอยู่เงียบๆ ก่อนจะหันไปเขม่นให้สายตาของชะ สายตาคอยจับผิดนั้นทำเอาเขาไม่พอใจเท่าไหร่
“อะไร?” คิ้วเรียวขมวดมุ่นใส่
“เดี๋ยวน่ะเชียร์กูให้ได้แบบนี้บ้างนะ”
“บอกว่าจะเชียร์ก็เชียร์สิ แล้วไม่ต้องมองแบบนั้นเลยนะ จะไปกันยังล่ะ?” พูดจบก็ผุดลุก เดินไปตรงบันไดด้านข้างก่อนจะจ้ำอ้าวลงไปไม่คิดรอ
“เฮ้ย! รอด้วยดิวะ ไปไอ้เจมส์” ชะรีบกุลีกุจอหยิบกระเป๋าผ้าร่มมาพาดบ่า แล้วรีบตามหลังร่างโปร่งที่เดินนำห่างไปเรื่อยๆ
ขาเรียวก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงบันไดสองขั้นสุดท้ายขณะรอให้คนอื่นที่ยืนอออยู่ตรงนั้นเดินออกไป เป็นช่วงเวลาที่ทำให้สายตาหม่นหมองได้เผลอลอบมองใครอีกคนอย่างใจต้องการ
ท่ามกลางกลุ่มคนโห่ร้องดีใจ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตรงนั้นคือพี่กว้าง...กับแฟนสาว
สุดที่รักก้าวเดินตามหลังใครหลายๆ คนออกมาจากสแตนด์ ก่อนจะผ่านหน้าผู้ชายคนนั้นอย่างเชื่องช้า เวลาแออัดและวุ่นวายนี้ กลายเป็นช่วงจังหวะที่เขาสามารถมองพี่ชายคนนั้นได้โดยที่ไม่มีใครคอยจับผิด ร่างโปร่งของเขายืนอยู่ห่างจากกว้างขวางเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
“กว้างงงง กว้างขวางงง กว้างขวางจ๊ะ เราขอสัมภาษณ์หน่อยได้ไหม?” เสียงเ**การ์ตูนดังแหลมปรี๊ดฝ่าฝูงชนผ่านหน้าเขา ก่อนจะแทรกแซงจนเข้าไปถึงตัวเพื่อนร่วมรุ่น สุดหล่อได้
กว้างขวางเลิกคิ้วน้อยๆ มองหาต้นตอของเสียง ก่อนจะยกยิ้มให้
“ว่าไง?”
“เราขอสัมภาษณ์นายเอาไปลงเพจคิวต์บอยหน่อยได้ไหมอะ?”
“ได้สิ ไปตรงนั้นไหม คนน้อยดี” คนใจดีกับทุกคนยิ้มอบอุ่น พลางชี้ไปตรง ริมกำแพง ด้านหลังสแตนด์ที่ยังคงมีนิสิตมากมายทยอยกันลงมาเรื่อยๆ เพื่อเตรียมตัวไปเชียร์กีฬาอื่น
ระหว่างที่กำลังจะเดินไปยังจุดนั้น เ**การ์ตูนก็ดูจะรีบเกินไปจริงๆ เพราะสายตาเหลือบไปเห็นคนที่ตั้งใจจะสัมภาษณ์อีกนับสิบกำลังเดินออกประตูโรงยิมไป ถ้าพลาดเธอคงต้องเสียเวลาวุ่นตามหาทีละคนแน่ๆ เธอจึงรีบเดินนำพลางอธิบายโปรเจกต์ให้คนตัวสูงฟังไปด้วย
“คืองี้นะ มันเป็นโปรเจกต์แนะนำเพลงจากคิวต์บอย ให้ชาวเพจได้รับรู้ว่าเพลงโปรดคืออะไร พวกเพลงที่ฟังบ่อยๆ อะไรอย่างนี้น่ะจ้ะ”
“อ๋อเหรอ ขอคิดก่อนนะ” คนตัวสูงพยักหน้ารับ ขณะก้มเก็บของใส่กระเป๋า โดยมีแฟนสาวหุ่นดีอวบอัดยืนกดมือถืออยู่เคียงข้าง
เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จ ขายาวก็เริ่มก้าวเดิน แต่ในจังหวะที่ทิ้งน้ำหนักข้อเท้า ข้างหนึ่งซึ่งมีอาการเคล็ดจากเหตุการณ์ปะทะในสนามเมื่อครู่ลงพื้นกลับเกิดอาการ เจ็บแปลบอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ร่างทั้งร่างถลาล้มไปด้านหน้าไร้ซึ่งการทรงตัว
ทว่าจังหวะนั้นเอง...กลับมีมือหนึ่งยื่นเข้ามารับไว้ได้ทัน
สุดที่รักคว้าข้อศอกกว้างขวางเอาไว้ มีคนอยู่บริเวณนั้นตั้งมากมาย แต่กลับเป็นเขาที่พุ่งตัวเข้ามาหาด้วยความว่องไว
วินาทีนั้นดวงตาสองคู่สบประสาน พลันหัวใจของคนเผลอตัวกระตุกไหว สุดที่รักไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเข้ามาปรากฏกายให้กว้างขวางเห็นได้อย่างไร กว่าจะรู้ตัว ก็มายืนจ้องตากันอยู่ตรงนี้เสียแล้ว ดวงตาคมของพี่กว้างยังคงดูเรียบเฉยดุดัน ทว่ากรุ่นไปด้วยเสน่ห์ที่ยากจะคาดเดา
เขาหาคำพูดแก้ตัวไม่ได้ เหมือนคนเป็นใบ้
หัวใจร้อนรุ่มดั่งไฟแผดเผา เมื่อสายตาคมกล้าของคนที่แอบเฝ้ามองมาตลอด กำลังเอาแต่จ้องมองดวงหน้าของเขาไม่ละสายตา จากที่เข้ามาหากลับกลายเป็นว่าตอนนี้เขากำลังพยายามบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยง มือเรียวปล่อยแขนชายหนุ่มไปนานแล้ว หากแต่กลับถูกคนตรงหน้าจับเอาไว้แทน
พี่กว้างจะจำเขาได้ไหม
“กว้างจ๋า! ทางนี้เลยจ้ะ” พี่การ์ตูนกวักมือเรียกหยอยๆ รีบร้อนอยากจะทำให้มันเสร็จๆ ไป พลันวินาทีนั้นเสียงอื้ออึ้งรอบกายก็ดังเซ็งแซ่กลับคืนดังเดิม
“ขอบใจนะ” กว้างขวางเอ่ย ก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากแขน แล้วเดินกะเผลกไปหาหญิงสาว
“ไปกันยัง ได้เวลากูลงแข่งแล้ว” ชะเดินเข้ามาประชิดตัว เห็นท่าทางของสุดที่รักเปลี่ยนไป ใบหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อ
“อ...อืม” สุดที่รักพยักหน้ารัวๆ ก่อนจะรีบก้มหน้างุดเดินออกจากโรงยิม
ปล่อยให้ชะยืนอยู่ตรงนั้น มองแผ่นหลังบางเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง
สุดที่รักก้มหน้าก้มตา เดินผ่านผู้คนมากมายโดยไม่สนใจสายตาใครทั้งสิ้น ถ้าสนใจคนรอบข้างสักนิด ร่างโปร่งจะได้รู้ ว่ามีสายตาจากคนสองคนคอยมองตลอด การเดิน ชยางกูรคือหนึ่งในนั้น และอีกคน...
“ตกลงเพลงอะไรจ๊ะกว้าง?”
สายตาคมมองตามร่างเด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาโศกเด่นชัด ใครคนนี้ คนที่เขาลืมไปแล้ว ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่กลับนำความทรงจำในครั้งวัยมัธยมฟื้นคืนขึ้นมาในสมองอีกครั้ง มันไม่ใช่ความทรงจำสวยงามที่น่าจดจำอะไร หากแต่เป็นเพียงความทรงจำธรรมดาๆ ที่เขาหวนนึกถึง
“ไอ้กว้าง กูสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารติดแล้วนะเว้ย”
“เฮ้ย! จริงดิ เอาจริงเหรอเนี่ย พ่อมึงอยากให้เป็นเหรอ ถึงได้พยายามจนเข้าได้”
“กึ่งๆ ว่ะ บางทีกูก็มีฟีลอยากใส่ชุดตำรวจติดดาวเท่ๆ” ไอ้อิ่มยืดอกยกมือปัดบ่าไปมาอย่างภาคภูมิใจ
“เอาดีๆ” กว้างขวางหัวเราะ
พวกเขากำลังยืนคุยกันบนสะพานใหญ่แห่งหนึ่งที่พาดผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างทางกลับบ้านพวกเขามักจะแวะที่นี่หลังเลิกเรียนเสมอ เสียงรถราดังจอแจอยู่เบื้องหลัง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นบรรยากาศอันคุ้นเคย
“กูเห็นพ่อทำงานแล้วเหนื่อยว่ะ จับผู้ร้าย ทำคดี ลงพื้นที่ ไม่มีเวลากิน ไม่มีเวลานอนที่แน่นอน ลูกน้องอีกเป็นร้อยที่ต้องดูแล หนี้สินท่วมหัวจนพ่อกูต้องไปเคลียร์ให้ เคลียร์ให้ไม่ทันบางทีฆ่าตัวตายก็มี บางครั้งไปออกลาดตระเวนก็ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย เข้าป่าเป็นสิบๆ วัน จะมีชีวิตรอดกลับมาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่มึงรู้ไหมทุกครั้งที่กูเห็นพ่อกลับมา กูกลับเห็นเขาเท่ขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ลูกน้องทำงานให้โดยที่พ่อกูแทบไม่ต้องสั่ง โคตรแมน แมนฉิบหายเลย กูอยากลองสัมผัสชีวิตแบบนั้นดูบ้าง เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องไว้วางใจ จับคนชั่วเข้าคุก ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน”
“เท่สัดอะ ว่าที่ร้อยตำรวจตรี ธารา ธารามาลา ฟังดูก็เข้าทีดีนะ” กว้างขวางแซว มองเสี้ยวหน้าของเพื่อน ไอ้อุ่นมันกำลังทอดมองออกไปข้างหน้า ดวงตาของมันเป็นประกาย เขาหวังว่าสักวันหนึ่งความฝันของเพื่อนจะเป็นจริง
“เข้าเตรียมสองปี เรียนนักเรียนนายร้อยตำรวจต่ออีกสี่ปี อีกนานเลยว่ะ แล้วมึงอะ ตกลงจะต่อที่ไหน?”
“กูก็คงเรียนบริหารตามใจพ่อเหมือนกันนั่นล่ะ” เขาตอบเสียงเรียบ พลางหันไปมองแม่น้ำกว้างใหญ่ มีเรือขนทรายแล่นผ่านเอื่อยๆ
ไอ้อิ่มมันยังมีความฝัน แล้วความฝันของเขาล่ะ?
“ไหนว่าจะลงคัดเลือกบาสทีมชาติ?”
“เขาไม่ให้ ทำไงได้วะ เขาอยากให้เรียนบริหาร จบไปจะได้ไปคุมงานที่บริษัท”
ชีวิตกว้างขวางไม่เคยเป็นของตัวเอง เขาจดจำและให้คำจำกัดความชีวิตของตัวเองได้เท่านี้ ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตอนนี้ ไม่มีสิ่งไหนที่เป็นของเขา ไม่มี
สิ่งไหนที่เขาชอบมัน ทุกอย่างที่เป็นกว้างขวาง ศิริไพศาล เป็นของตระกูลศิริไพศาลทั้งหมด
อิ่มหันมามองเพื่อนร่างสูง เขาเห็นเพียงแค่แววตาว่างเปล่า
เพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของเขา ชีวิตของมันช่างอาภัพ มีเงินทองมากมาย ตระกูลมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นทายาทมหาเศรษฐี แต่กลับไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง ถูกตีกรอบเส้นทางเดินตามความต้องการของตระกูลไว้หมดแล้ว
ตอนแรกนึกว่าจะมีแค่ในนิยายหรือละคร ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตจริงก็มีอยู่เหมือนกัน
“ก็ดีนี่หว่า เป็นผู้บริหารรูปหล่อที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม
ดีซะอีกไอ้กว้าง พ่อมึงเขาหวังดีกับมึง ปูทางให้มึงตั้งแต่เด็ก ไม่รักเขาคงไม่ทำถึงขนาดนี้หรอก”
“อืม” คำตอบรับช่างเรียบเฉย คนตอบไม่แน่ใจนักว่าพ่อของเขาหวังดีกับเขาจริงๆ
“แล้วเย็นนี้จะไปไหนเปล่าวะ?”
“ไม่อะ คงไปร้านเกม ขี้เกียจกลับบ้าน”
“วันศุกร์นะเว้ย ไม่กลับไปกินข้าวกับที่บ้านหน่อยเหรอ?”
“ไม่ว่ะ ไม่มีใครอยู่บ้าน กูกลับไปก็อยู่คนเดียว ขนาดอยู่คนเดียวยังอึดอัดสัดๆ” เจ้าตัวหัวเราะเจื่อน พลางใช้เท้าเขี่ยพื้นคอนกรีตปัดเศษทรายเล่น
อิ่มพยักหน้ารับ ทำไมจะไม่รู้ ว่าไอ้กว้างเพื่อนเขามันอยู่คนเดียวมา
แต่ไหนแต่ไร บ้านแม่งอย่างกับคฤหาสน์ ดูร่ำรวยล้นฟ้าก็จริง แต่ครอบครัวมันไม่อบอุ่นเลยสักนิด ต่างคนต่างอยู่ กินคนละเวลา นอนคนละเวลา ใครกลับบ้าน ไม่กลับบ้านก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครถามไถ่อะไรกันเลยสักนิด
กว้างขวางเข้าข่ายคำว่าขาดความอบอุ่น
“งั้นเอางี้ เย็นนี้ไปกินข้าวบ้านกู ถือซะว่าไปเลี้ยงส่งกู เพราะพรุ่งนี้กูต้องไปรายงานตัวที่โรงเรียนละ”
“ไวขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” กว้างขวางหันมาถามด้วยความตกใจ
อิ่มพยักหน้า ก่อนเอื้อมมือมากอดคอพากันออกเดิน
“พี่ไม่อยู่ อย่าเหงานะจ๊ะน้องกว้าง”
“ไอ้สัด มึงไปแค่นครนายกป่ะวะ ใครจะไปเหงา เดี๋ยวกูก็ต้องยุ่งเรื่องเข้ามหาลัยละ” กว้างขวางปฏิเสธพลางหัวเราะร่วน
“จ้าๆๆ นี่ก็เดาไว้แล้วนะ ว่ามึงได้เป็นเดือนมหาลัยชัวร์”
“มั่นใจเบ้าหน้ากูขนาดนั้นเลย?”
“ดีนะ กูไม่เข้ามหาลัยเดียวกับมึง ไม่งั้นมึงคงไม่ได้เป็นเดือน”
“ถุย!” ส่ายหน้าระอา ก่อนจะยกมือผลักหัวมัน อิ่มหัวเราะขึ้นบ้าง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“เออนี่ๆ กูมีเรื่องอยากจะฝากมึงหน่อยว่ะ”
“อะไรวะ?”
“ครอบครัวกูไปรับเด็กคนนึงมาเลี้ยงเมื่อสองเดือนก่อน เขาเป็นลูกเพื่อนพ่อกู ชีวิตแม่งโคตรน่าสงสาร พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุรถชนตายคาที่ ทิ้งลูกคนเดียวเอาไว้ พ่อน้องกับพ่อกูเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกัน เห็นว่าญาติเขาเกี่ยงจะไม่เอา พ่อกูแม่งเฟี๊ยวสัด ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมไปรับจากเหนือมาเลี้ยงแม่งเลย กูฝากดูแลน้องเขาหน่อยนะ ตอนกูไปเรียนที่นู่นคงไม่มีเวลามาดูแล อายุก็เท่ายัยอุ่นนั่นแหละ”
“ทำไมต้องฝากฝังกับกู พ่อ แม่ น้องมึงก็อยู่”
“ก็เผื่อได้เจอกัน น้องเขาเป็นคนที่น่าสงสารมากนะ ชีวิตแม่งไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ครั้งแรกที่เจอกัน กูแม่งใจสั่นสัดๆ คนเหี้ยอะไรนัยน์ตาแม่งสื่ออารมณ์สลดได้อย่างน่าใจหาย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” กว้างขวางเลิกคิ้ว
“เป็นแววตาที่หม่นหมองมากกกกก”
“เขาคงยังเสียใจที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว”
“นั่นแหละ กูว่าน้องเป็นดวงดาวลึกลับที่ห่างไกลจากเราว่ะ นิสัยเงียบๆ กับนัยน์ตาเศร้าๆ ชวนให้หดหู่ แต่น่าแปลกที่ในขณะเดียวกันก็สวยจนหยุดมองไม่ได้”
“เว่อร์ซะ กูว่าเดี๋ยวสมภารต้องแดกไก่วัด” กว้างขวางมองเพื่อนรักด้วยแววตาจับผิด ลองมันได้ชมใครโอเวอร์แบบนี้แล้วล่ะก็ ไม่พ้นว่าไปสนใจเขาแน่ๆ
“ม...ไม่ใช่อย่างงั้นเว้ย” อุ่นพูดตะกุกตะกัก “เดี๋ยวมึงไปดูเลย ว่าจะเห็นด้วยอย่างที่กูพูดไว้ไหม”
“เออ ไปดิวะ กูจะไปดูดวงดาวลึกลับห่างไกลที่ว่าของมึง”
บ่ายแก่ในวันนั้นเขาก็ได้พบกับคนที่ไอ้อิ่มคุยโม้ไว้ พูดตามตรงตอนแรกเขาคิดว่ามันพูดถึงเด็กผู้หญิง ที่ไหนได้กลับกลายเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กกะเปี๊ยกเดียว เอาจริงๆ หน้าตาเมื่อมองผ่านๆ ไม่ได้สะดุดตาอะไรมากสำหรับเขา แต่เวลาที่ได้มองแววตานั้น... แววตาหม่นหมองที่ไอ้อิ่มพูดถึง มันกลับตรึงให้เขาเอาแต่จ้องมอง และจดจำฝังไว้ในสมองตลอดมา
มีเรื่องให้ทุกข์ใจอะไรมากมาย แววตาถึงได้ดูโศกเศร้าขนาดนั้น
หลังจากวันนั้น เด็กชายสุดที่รัก ที่เขาเคยสอนเล่นบาสให้ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็เลือนหายไปในความทรงจำ ครั้งหนึ่งเดียวที่พบกันนั้น กว้างขวาง ศิริไพศาล แค่นึกเชื่อมโยงความเหมือนเล็กๆ อยู่ในใจระหว่างเขากับเด็กชาย
พวกเขามีสิ่งที่ขาดหายเหมือนกัน
ชีวิตมันขาด
มันว่างเปล่า เลื่อนลอย
เพียงแค่นั้นที่จดจำเอาไว้ แล้วมันก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขาได้ก้าวเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัย ที่ๆ เปรียบเสมือนโลกใบใหม่ให้เรียนรู้และทำความรู้จัก มีผู้คนมากหน้าหลายตาที่เข้ามาหา จนคนในความทรงจำหลายๆ คนค่อยๆ ลบเลือนหายไป
จวบจนกระทั่งวันนี้...
เขาจำได้
แววตาหม่นหมองในตอนนั้น ไม่แตกต่างอะไรกับตอนนี้
“พลูโตที่รัก”
“เพลงอะไรนะจ๊ะ?”
“พลูโตที่รัก”
จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล แต่ว่างเปล่า ว่างเปล่า...เหงาเหลือเกิน โอ้ที่รัก...วันนี้เพราะไม่มีเธอ