ตอนที่ 1.1 พลูโตที่รัก

4938 คำ
“ลูกรู้ไหม? ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพ่อกับแม่คืออะไร?” คำถามหนึ่งถูกตั้งขึ้นด้วยรอยยิ้ม เธอกำลังสวมกอดแก้วตาดวงใจเอาไว้แน่น เด็กชายยิ้มเมื่อได้รับอ้อมกอดของแม่ เพราะมันทำให้เขารู้สึกปลอดภัยเป็นที่สุด นัยน์ตาใสมองบนท้องฟ้ากว้าง ยามสายวันนี้ท้องฟ้าก็ยังดูสดใสเหมือนอย่างเคย        เสียงจิ้งหรีดเรไรดังระงมไปทั่วบริเวณสวนกว้าง คิดหาคำตอบเพียงชั่วครู่ก่อนจะผินหน้ามองปลายคางคนเป็นแม่ ความคิดในวัยเด็กไม่ได้สลับซับซ้อน คำตอบที่ออกมาจึงทั้งซื่อ ทั้งบริสุทธิ์ “ผมหรือเปล่า...” น้ำเสียงแผ่วราวกับไม่มั่นใจนัก คนเป็นแม่หัวเราะร่วนก่อนจะรัดร่างลูกชายเอาไว้แน่นมากยิ่งขึ้น “ใช่แล้วจ้ะ ใช่แล้ว สุดที่รัก คือสิ่งสำคัญที่สุดของพ่อกับแม่ เพราะรักที่สุด แม่กับพ่อถึงได้ตั้งชื่อเราว่าสุดที่รัก สุดที่จะรัก จนหาใครมาเทียบไม่ได้อีกแล้ว ดูนู่นสิ...” พลันจับมือของลูกชายกางขึ้นไปด้านบน น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นราวกับว่ากำลังจะเล่าเรื่องอัศจรรย์ให้ลูกชายฟัง ก้อนเมฆสีขาวเกาะกลุ่มเคลื่อนตัวใต้แผ่นฟ้าใสฉาดฉายเต็มสองตาเด็กชาย “ท้องฟ้าใหญ่กว่าฝ่ามือของสุดที่รัก มันใหญ่เทียบเท่ากับความรักของพ่อกับแม่ที่มีให้” “ผมก็รักพ่อกับแม่” คนฟังส่งยิ้มให้ลูกชาย ก่อนจะลูบเรือนผมของเขาแผ่วเบา “ถ้าวันใดวันหนึ่งที่ไม่มีพ่อกับแม่อยู่แล้ว ขอให้สุดที่รักรู้เอาไว้ ไม่ว่าจะยังไงพ่อกับแม่ก็จะรักลูก ทุกครั้งที่คิดถึงกัน ให้ส่งฝ่ามือไปที่ท้องฟ้านะ ลูกจะรู้ว่ารักมากมายยังมีอยู่บนนั้น” แม้จะไม่เข้าใจดี แต่เด็กชายก็เลือกเก็บคำพูดของแม่เอาไว้ฝังใจ เขาคิดว่านั่นเป็นเพียงคำบอกเล่าของแม่ที่คงไม่มีวันเกิดขึ้น ไม่คิดเลย...วันใดวันหนึ่งที่ไม่มีพ่อกับแม่อยู่ จะเกิดขึ้นในเย็นวันเดียวกัน พ่อกับแม่จากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีหัวข้อข่าวเล็กๆ บนหน้าหนังสือพิมพ์ในเช้าของอีกวัน ท่านนายพลกับคุณนายตระกูลอัคราวงษ์ประสบอุบัติเหตุระหว่าง       การเดินทางกลับจากงานมอบของใช้จำเป็นให้ชาวเขาบนดอยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ อุบัติเหตุในครั้งนั้นคือการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของเด็กชายสุดที่รักจากครอบครัวแสนอบอุ่น มีพ่อ แม่ และลูกชาย กลับเหลือเด็กชายเพียงคนเดียวที่ยังใช้ชีวิตอยู่บนโลก   ใบนี้ ไม่มีอีกแล้วครอบครัวที่พร้อมหน้า ทุกอย่างในวันนั้นถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจาก  หน้ามือเป็นหลังมือของสุดที่รัก บรรดาญาติต่างถกเถียงกันว่าใครจะเป็นผู้ปกครองให้เด็กชาย ...เขาเคว้งคว้าง เพราะดูเหมือนไม่มีใครต้องการ โชคชะตายังพอปรานีอยู่บ้าง เมื่อวันงานสวดอภิธรรมคืนสุดท้ายเขาได้พบกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชายคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มเศร้า ยื่นมือลูบผมเขา       ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเด็กอย่างเขาตามไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ถูกรับ ไปเลี้ยง เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลธารามาลาไปแล้ว รู้ภายหลังว่าผู้ชายคนนี้ คือเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจร่วมรุ่นของพ่อ ซึ่งถือเป็นเพื่อนตายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาในครั้งที่ยังเรียนอยู่ในรั้วสีแดงเลือดหมู ชีวิตหลังจากนั้นไม่ได้แย่ เพราะมีพี่อิ่มกับอุ่นคอยอยู่ใกล้ๆ พวกเขาใจดีกับเขามาก นั่นทำให้เด็กชายสุดที่รัก อัคราวงษ์หายเศร้าใจไปได้บ้าง “แม่ ทำไมแววตาน้องถึงได้ดูหม่นหมองอย่างนั้นล่ะ?” เขาเคยได้ยินพี่อิ่มพูดกับแม่ หม่นหมองยังไงนะ? “น้องเจอเรื่องร้ายในชีวิตขนาดนี้ก็ต้องเศร้าหมองเป็นธรรมดา อิ่มต้องดูแลเอาใจใส่น้องนะลูก ต้องทำให้เขารู้สึกว่าเราคือครอบครัวของเขา สุดที่รักไม่มีใครอีกแล้ว” ใช่...เขาไม่มีใครอีกแล้ว ไม่มี ฝ่ามือบางกางออกกว้าง ก่อนยื่นมันขึ้นไปทาบทับบนแผ่นฟ้าที่วันนี้ ก็ยังคงดูสดใสเหมือนเช่นเคย นัยน์ตาติดหม่นหมองหรี่มองท้องฟ้าผ่านร่องนิ้วเรียว        แสงดวงอาทิตย์แยงตาจนแสบพร่า แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของร่างผอมโปร่งก็ยังเลือก ที่จะยืนมองมันอยู่อย่างนั้น เพียงเพราะกำลังคิดถึงบุพการีผู้ล่วงลับทั้งสอง มองได้สักพักก็ล้วงเอามือถือเครื่องเก่าขึ้นมากดถ่ายรูปหลังมือที่เอื้อมไปจนสุด ก่อนโพสต์มันลงในเฟซบุ๊กของตัวเอง แม้จะมีธารามาลามาเติมเต็มในชีวิต แต่บางครั้งเขาก็อดที่จะรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ เขาคิดถึงพ่อกับแม่ คนที่คอยโอบกอดและเป็นทุกสิ่งในชีวิต เมื่อท่านทั้งสองได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ บางครั้งมันเลยเหมือนกับว่าโลกทั้งใบของเขาได้หมดความหมายลงแล้ว บางเวลาของทุกวันเขามักรู้สึกเช่นนี้ โดยเฉพาะในตอนที่ต้องอยู่เพียงลำพังกับตัวเองอย่างเดียวดาย ชีวิตนี้ช่างแสนเศร้า สูญเสียบุคคลสำคัญไปถึงสองคนในเวลาเดียวกัน ต่อจากนี้ไป...เขาคงต้องอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง แล้วเขาก็ทำได้จริงๆ เมื่ออย่างน้อยเขาก็อยู่คนเดียวมาได้หนึ่งปีกว่าแล้ว ปีนี้เข้าสู่ปีที่สองกับการเป็นนิสิตในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาขออนุญาตคุณลุงกับคุณป้าออกมาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง หลังจากที่อยู่กับตระกูลธารามาลาได้สามปีในช่วงมัธยมปลาย การใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสุขสบาย เพราะธารามาลาเลี้ยงดูเขาราวกับเป็นคนในครอบครัว เป็นลูกเป็นหลานแท้ๆ แต่ถึงอย่างนั้น            คนขี้เกรงใจอย่างเขาก็เลือกที่จะขอแยกตัวออกมาอยู่หอพักเล็กๆ ใกล้มหาวิทยาลัย โดยให้เหตุผลว่าบ้านธารามาลาอยู่ไกลจากที่เรียน หากแต่แท้จริงแล้วเขาเกรงใจมากกว่า เขาไม่อยากรบกวนครอบครัวนั้นไปมากกว่านี้ สิ่งไหนที่พอจะทำได้ด้วยตัวเอง ก็ต้องเรียนรู้และปรับตัว ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียนตระกูลธารามาลาเป็นผู้ดูแลซึ่งพวกเขาไม่ยอมให้ปฏิเสธ อย่างถึงที่สุด ส่วนเรื่องค่ากินค่าอยู่นั้นเขาขอเลี้ยงตัวเองโดยการหางานพิเศษทำ การหาเลี้ยงตัวเองในตอนแรกนั้นลำบากยากเข็ญเลือดตาแทบกระเด็น           ด้วยเพราะเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างมีกินมีใช้ พ่อเป็นถึงนายพล มีลูกน้องคอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง จึงทำงานอะไรแบบนั้นไม่เป็นเลย แต่พอได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มที่จะเอาตัวรอดเป็นขึ้นมาบ้าง แรกเริ่มไปสมัครงานเป็นพนักงานเสิร์ฟควงกะเป็นว่าเล่น ก่อนจะมีงานแจกใบปลิว งานเด็กปั๊มน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมา ทำงานควบเรียนเหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่ก็ยัง     ฝืนทน บอกแล้วว่าจะอยู่บนโลกนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง สุดที่รัก...นายต้องเข้มแข็งนะ จะมาอ่อนแอไม่ได้แล้วนะ “ที่รัก” เสียงหนึ่งแว่วเข้ามา เรียกร่างโปร่งให้เงยหน้ามอง หญิงสาวในชุดนักศึกษากำลังโบกมือทักทายเขา “มาทำอะไรตรงนี้ ไม่ไปเชียร์บาสเหรอ วันนี้ครุเจอกับบริหารนะ” “พอดีเราเพิ่งเอาหนังสือไปคืนห้องสมุดมาน่ะ ว่ากำลังจะไปอยู่พอดี แล้วนี่มีนทำไมใส่ชุดนี้ล่ะ?” “ก็เป็นลีดอะ เขาให้ไปเชียร์บาสนั่นแหละ” “อ๋อ เออลืมไปว่ามีนเป็นลีด” สุดที่รักเกาหัวยิ้มแหย เรื่องเพื่อนในคณะนี่เขาแทบไม่รู้อะไรเลยแฮะ “งั้นไปด้วยกันเลยไหม เรากำลังจะไปพอดี” สุดที่รักพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปพร้อมกัน หากแต่ก้าวได้ไม่กี่ก้าว กลับถูกหยุดเอาไว้ด้วยเสียงเรียกของใครอีกคน “ไอ้สุด! มึงจะไปไหนวะ สนามบอลอยู่ทางนี้” คนถูกเรียกหันหลังกลับไปก็พบใครอีกคนที่ยืนมองพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม     ร่างสูงใหญ่สะพายกระเป๋าผ้าร่มใบโตไว้ข้างเอว มือข้างหนึ่งถือรองเท้าสตั๊ดเขรอะดิน ชะ ชยางกูร กิตติกานต์ นิสิตปีสอง ภาควิชาสถาปัตย์ เด็กหนุ่มร่างสูง หน้าตาหล่อเหลาคมคายเข้าขั้นเดือนคณะ แต่เพราะเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก และคงมากพอให้มีนิสัยพูดตรงไปตรงมา ปีก่อนเลยปฏิเสธกับพวกรุ่นพี่คัดเดือนดาวตั้งแต่พวกนั้นยังไม่ได้ทันได้อ้าปากชวนเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังไม่วายโดนขอร้อง  ให้ลองดู ก็เลยจำต้องลอง ทำได้ไม่กี่วันก็ต้องขอถอนตัว เพราะมันไม่ใช่แนวจริงๆ อีกอย่างเจ้าตัวคิดว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาดีพอที่จะไปสายกิจกรรม สวยๆ งามๆ อะไรแบบนั้น ถ้าถามว่ากิจกรรมที่ชอบมากที่สุดเป็นอะไร ก็คงจะเป็นการตั้งวงดื่มเหล้ากับแก๊ง เย็นย่ำมาทีไรก็มักจะชักชวนกันไปเสียตังค์ลงขวดเป็นประจำ แบบนี้สิ ถึงเป็นแนวชยางกูร “เออ! ไหนบอกจะไปเชียร์พวกกูไงครับ แล้วนั่นจะไปไหน อะหูยยย...มีน ลีดครุ” พูดถึงแก๊ง อีกคนหนึ่งในแก๊งก็มาทันที ไอ้เจมส์ นิสิตสถาปัตย์ ในชุดบอลเดินเข้ามาสมทบ พอตัดพ้อสุดที่รักได้ไม่ทันจบประโยค สายตากลับสะดุดเข้ากับร่างบางของมีนที่ยืนอยู่ข้างเพื่อนต่างคณะ ความน่ารักกระแทกตาเข้าอย่างจัง เลยส่งสายตากรุ้มกริ่ม       ยิ้มกว้างไปให้สาวเจ้า “คือเรากำลังจะไปเชียร์บาสให้คณะ นายบอกเราว่าแข่งตอนห้าโมงไม่ใช่เหรอ?” “ก็จริงของมันนะไอ้ชะ มึงแม่งจะรีบไปทำไมวะ เพิ่งจะบ่ายสอง กูว่า...ไปเหล่สาวคณะไอ้สุดเหอะ สาวครุสวยๆ ทั้งนั้นเลยนะเว้ย” ไอ้เจมส์ยิ้มกริ่ม พลางกระซิบสองประโยคสุดท้ายให้ได้ยินกันแค่สองคน “ก็ไปวอร์มไง เจอวิศวะไม่ใช่ขี้ๆ แชมป์เก่าปีที่แล้ว กูไม่อยากให้รุ่นพี่ต้องเสียหน้าว่ะ” “จย้า!!! พ่อคนเก่งงงง บอลแม่งต้องเล่นสิบเอ็ดคน มีมึงคนเดียวจะชนะได้ไง ไปตอนนี้แม่งก็ยังไม่มีใครมาหรอกเชื่อกูเหอะ กูยังเห็นไอ้ม่อนพาสาวไปแดกบิงซูที่สยามอยู่เลย ไปดูบาสก่อนเหอะ นะๆๆๆ กูอยากได้! เอ๊ย! กูอยากดูววว” “ไอ้ขี้หม้อ” ชะอดค่อนแคะไม่ได้ ทำไมจะไม่รู้ ว่าไอ้ท่าคันยิกๆ นี่คืออาการของคนเสี้ยนสาว “อย่าบอกนะว่ามึงไม่อยากดู ถ้ามึงปฏิเสธ เอาตีนมาเหยียบหน้ากูได้เลย” “โอเค กูขอใส่สตั๊ดแป๊บ” “ว้อยย!!” ไอ้เจมส์โวยวาย ก่อนจะเลิกสนใจคนตัวสูงข้างๆ เพราะกลัวมันจะใส่รองเท้ามีปุ่มทัน ก่อนจะวิ่งมาหาสุดที่รักกับมีน “ไปดิ ครุแข่งกับอะไรอะ?” ปากมันถามกับสุดที่รัก แต่สายตากลัดมันเอาแต่มองลีดสาวไซส์เล็กขาวโบ๊ะ จนสาวเจ้าเกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ ถึงกับขยับไปประชิดตัวสุดที่รัก พร้อมกับสอดมือกำแขนบางเอาไว้ “ครุเจอบริหารน่ะ” สุดที่รักตอบ “โหยยกูว่าสบายยย ปีที่แล้วบริหารไม่ติดหนึ่งในสาม แถมครุยังได้ตั้ง ที่สองแน่ะ อีกอย่าง...มีลีดสวยๆ แบบนี้ ยังไงก็ชนะชัวร์ ขนาดกูเป็นกองเชียร์กูยังรู้สึกกระชุ่มกระชวยเลยเนี่ย” ไอ้เจมส์ทำท่าดุ๊กดิ๊กตัวสั่น พูดจาเอาใจคนสวยตรงหน้า สีหน้าหื่นกามเต็มสตรีม “อ...เอ่อ สุดที่รัก งั้นเราไปก่อนแล้วกันนะ คือพวกเพื่อนลีดคงอยากซ้อมท่ากันก่อน” มีนถอยผละ พูดตะกุกตะกัก “เฮ้ยเธอ ไปพร้อมกันดิ เดี๋ยวเราไปส่งให้ถึงกองลีดเลย หรือจะให้ช่วยซ้อมท่าให้ไหม? เราได้หลายท่านะ” ไอ้เจมส์ผู้หน้าด้านรีบเสนอตัว ก่อนเดินนำอย่างแข็งขันด้วยกล้ามน่องแข็งปูด    ไม่วายหันมายักคิ้วยิ้มกว้างให้ลีดครุศาสตร์ ทำอย่างกับหล่อเสียเต็มประดา รูปร่างเตี้ยล่ำนั้นคงห่างไกลกับคำว่าหล่อไปมาก มีนถึงกับหน้าเหวอเมื่อเห็นท่าทาง “สุดที่รัก ธ...เธอไปเป็นเพื่อนกับพวกนี้ได้ยังไง คณะอะไรน่ะ เถื่อนชะมัด” น้ำเสียงสั่นเครือ ไม่เคยพบเคยเจอผู้ชายกลัดมันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเปียกเหงื่อแถมนิสัยยังดูเพี้ยนๆ ยังไงบอกไม่ถูก “เพื่อนเราอยู่คณะสถาปัตย์น่ะ เห็นเป็นอย่างนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนดีนะ” สุดที่รักแก้ต่างให้เจมส์ แต่ดูท่าจะไม่ได้ผล เพราะมีนกลัวมันไปเสียแล้ว เรื่องรู้จักกันได้ยังไงนั้น ต้องเท้าความไปช่วงซ้อมเชียร์กีฬาเฟรชชี่ปีก่อน ตอนนั้นเขามีหน้าที่สวัสดิการ คอยแบกถังน้ำ เสิร์ฟน้ำให้พวกกองเชียร์ วันนั้นเป็นบ่ายแก่ที่ร้อนอบอ้าวมาก จนร้านขายน้ำตรงโรงอาหารคณะมีน้ำให้ไม่เพียงพอ เขากับเพื่อนอีกสามคนเลยต้องเดินไปซื้อที่คณะข้างๆ ซึ่งก็คือคณะนิเทศ ยอมรับว่าตอนนั้นซื้อเยอะเกินตัวไปมาก    ลืมไปเสียสนิทว่ากองเชียร์กับโรงอาหารนิเทศอยู่ไกลกัน ผลที่ออกมาคือหิ้วกลับกันไม่ไหว เพื่อนอีกคนที่พยายามหิ้วถุงก็ดันขาดอีก ขวดน้ำชาหลายรส หลายสีตกกระจายเกลื่อนพื้น สร้างความอับอายเป็นอย่างมาก จู่ๆ ก็มีแก๊งนี้นี่ล่ะที่ปรี่เข้ามาช่วย หลังจากนั้นมาพวกเขาก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน ตั้งแต่นั้นแก๊งป่วนจึงมีสมาชิกเพิ่มจากสามเป็นสี่คน นั่นก็คือ ชะ, เจมส์, ม่อน, แล้วก็สุดที่รัก ที่ชื่อแก๊งป่วนนั้นเขาไม่ได้ตั้งให้หรอกนะ ไอ้พวกนี้มันตั้งกันเอง ป่วนในที่นี้ไม่ใช่ทำให้คนอื่นยุ่งวุ่นวาย แต่ป่วนนี่มาจากปั่นป่วน ทำให้สาวปั่นป่วนกับเสน่ห์เหลือร้าย ไม่รู้ว่าคิดได้ไง แต่เขาก็มีชื่อจารึกอยู่ในแก๊งนี้เสียแล้วล่ะ เอาจริงๆ เขาก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกเราคบกันได้ยังไง อย่างที่ใครๆ ก็รู้ว่าสุดที่รัก อัคราวงษ์ เป็นผู้ชายเงียบๆ ไม่มีปาก ไม่มีเสียงกับใคร ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างเรียบง่าย ไม่ได้มีมุมเกเร ตลกโปกฮาเหมือนคนอื่น ซึ่งนั่นแตกต่างกับแก๊งป่วนราวกับอยู่กันคนละขั้ว       แต่เป็นเพราะชยางกูรนี่ล่ะ ที่เป็นคนดึงเขาเข้าไปอยู่ในกลุ่มด้วย พวกแก๊งป่วนเลยหล่อหลอมให้สุดที่รักได้รู้จักชีวิตที่สนุกสนาน ได้ลองอะไรหลายๆ อย่างเป็นครั้งแรก ประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอ เขาก็ได้เจอมาจากแก๊งนี้ทั้งนั้น ทั้งดื่มเหล้า เที่ยวหญิง เขาเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นอีกนิดก็เพราะเพื่อนกลุ่มนี้ เอาเป็นว่าพวกมันเข้ามาสร้างสีสันให้ชีวิตมืดมนของเขาได้ไม่น้อย จากเด็กผู้ชายเจี๋ยมเจี้ยม ขี้อาย ตอนนี้เลยกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งป่วน เป็นผู้ชายที่รู้จักโลกมากขึ้น โดยรวมแล้วอยู่กับพวกมันก็สนุกดี อย่างน้อยโลกในปีกว่ามานี้ก็ไม่ได้เงียบเหงาเท่าไหร่นัก “กูยอมไปเชียร์บาสครุแล้ว มึงต้องไปเชียร์บอลให้ถาปัตย์บ้าง โอเคป่ะ?” เจ้าของคำพูดไม่พูดเปล่า ยังเอาแขนมาพาดไว้ที่ไหล่คนตัวเตี้ยกว่า ด้วยความสูงเกือบร้อยเก้าสิบ ทำให้สุดที่รักต้องเงยหน้าขึ้นมองในขณะที่ทั้งหมดเดินไปยังสนาม  บาสเกตบอลด้วยกัน “เชียร์ดิ สัญญาไว้แล้ว” สุดที่รักส่งยิ้มให้คนตัวสูงกว่า เห็นคะยั้นคะยอเขาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วจะไม่ไปได้ยังไง “อืม เอาไว้จะชนะให้ดู” “หืมมมม เจอวิศวะ ตัวโหดเลยนะ” “เดี๋ยวสอยวิศวะให้ดู” ชยางกูรยืดอก แขนไม่ยอมปล่อยออกจากไหล่บาง “มั่นใจเหลือเกิน ปีที่แล้ววิศวะแชมป์นะครับคุณชะ” “ไม่เชื่อเหรอวะ?” ชะทำหน้ายุ่ง เอาจริงๆ ก็กังวลอยู่ “แม่งเสือกเจอแชมป์รอบรอง ตัดกำลังพวกกูเหี้ยๆ แต่กูก็สู้อะ” ชักหงุดหงิด เลยหยุดเดินพลางหันมามองสุดที่รักตาขวาง “เอางี้มะ ถ้ากูชนะ มึงต้องมาเป็นเบ๊กู ทำอะไรก็ได้ตามที่กูบอกสามครั้ง” สุดที่รักอดกลั้นขำให้กับท่าทางเอาจริงเอาจังของคนตรงหน้าไม่ได้ สุดท้ายเลยพยักหน้ายอมรับข้อตกลง “ได้! ถ้าแมตช์นี้สถาปัตย์ชนะวิศวะ เราจะยอมทำอะไรก็ได้ตามที่ชะบอกสามข้อ” “พูดแล้วนะ” เดินกันมาจนถึงหน้าโรงยิมอเนกประสงค์ของมหาวิทยาลัย ทั้งหมดก็เดินเข้าไป โดยมีนขอตัวไปซักซ้อมเพลงและท่ากับเพื่อนที่หน้าสแตนด์เชียร์ คนที่เหลือจึงเดินไปหาที่นั่งยังฝั่งทีมครุศาสตร์ ด้วยความหล่อระดับคิวต์บอยเรียกยอดไลค์ได้เหยียบหมื่นอย่างชยางกูร แค่เดินก้าวบันไดขึ้นสแตนด์ ก็เรียกสายตาจากสาวแท้สาวเทียมให้มองกันเป็นตาเดียว ทุกคนพร้อมใจกันหยุดชะงัก มองตามร่างสูงที่กำลังเดินขึ้นสแตนด์ ทุกสรรพสิ่งเงียบกริบ “ไอ้ชะ มึงทำหน้าเหี้ยๆ หน่อย ชอบโชว์ออฟกันซีนกู” ไอ้เจมส์หันมากระชากเสียงเบาใส่เพื่อนตัวสูงที่เดินตามขึ้นมา “เอ้าไอ้เหี้ย หน้านะไม่ใช่ดินน้ำมัน จะได้ปั้นให้บูดให้เบี้ยวได้ กูก็ไม่ได้อยากเด่นหรอกนะ เผอิญพ่อแม่ให้มาดีว่ะ” ชะยิ้มมุมปาก พลางยักคิ้วกวนส้นให้จนไอ้เจมส์เบะปากใส่ “น้องชะ!!! ลมอะไรหอบมาคะเนี่ย สุดหล่อแห่งสถาปัตย์มาเชียร์ใครเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?” เสียงรุ่นพี่สาวเทียมคนหนึ่งดังขึ้นยังด้านล่าง เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากคนบนสแตนด์ได้ไม่น้อย คนถูกแซวหันไปยิ้มให้รุ่นพี่สาวเทียมอย่างมีมารยาท ก่อนจะหันมากระซิบกับเจมส์ “บาสชายเนี่ยนะ จะให้กูมาเชียร์ใคร ห่าราก” แค่คิดก็ขนลุกละ ผู้ชายตัวสูงพอๆ กัน กล้ามเป็นมัดๆ เนี่ยนะ “พี่ชะคะ พี่ชะแข่งอะไรหรือเปล่าคะ พวกหนูอยากไปเชียร์บ้าง คิคิ” น้องผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาเดินผ่านขั้นบันไดที่เธอนั่งอยู่ “บอลครับ ห้าโมงเย็นวันนี้ ถ้าว่างก็ไปเชียร์ได้นะ” ส่งยิ้มเท่ๆ ไปให้ ทำเอาเด็ก    ปีหนึ่งมือสั่นใจสั่นกันไปหมด “ได้ค่า ขอให้สถาปัตย์ชนะนะคะ” “ขอบคุณนะ ชนะอยู่แล้วล่ะ” พูดจบก็หันไปยักคิ้วให้คนที่เดินตามมา สุดที่รักหยุดชะงัก มองคนที่ส่งยิ้มพิเรนทร์มาให้ ก่อนจะส่ายหัวยอมแพ้ สายตาของเพื่อนตรงหน้าดูก็รู้ว่าเรื่องพรสามประการน่ะมันเอาจริง ทั้งสามนั่งลงตรงเก้าอี้ชั้นบนสุดของสแตนด์เชียร์ ปล่อยให้นักกีฬาใช้เวลานี้วอร์มร่างกายตรงสนามอีกสักพัก ส่วนเชียร์ลีดเดอร์ทั้งสองทีมเตรียมความพร้อมเรียบร้อยแล้ว หนุ่มสาวหน้าตาดี ก้าวออกไปเรียงแถวตามที่ได้ซักซ้อมกันไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมั่นใจ “น้องชะ!! หาตัวจับยากมากเลยเนี่ย ตายแล๊วว ขอทางเจ๊หน่อยนะเด็กๆ” เสียงใสแจ๋วแสบแก้วหูดังขึ้น ก่อนจะปรากฏร่างรุ่นพี่สาวหุ่นผอมบางนามว่าการ์ตูนกำลังใช้กายเสือกไสเบียดเสียดตัวเองกับเด็กปีหนึ่งที่นั่งบนสแตนด์ทีละคนเพื่อ   เดินมาให้ถึงเป้าหมาย ตามหลังกันนั้นคือเด็กหนุ่มตากล้อง ในมือถือกล้องโปรราคาแพง ชยางกูรขึ้นชื่อเรื่องหาตัวจับยากจริงๆ เป็นบุคคลหล่ออันตรายที่จะหาไม่เจอในมหาลัย แต่จะหาเจอได้ตามร้านเหล้ารอบมอ เมื่อเดินมาถึงตัวชยางกูร เธอก็ใช้บั้นเอวดุนดันไอ้เจมส์ให้ขยับ เจมส์จี๊ดคนน่องล่ำครวญครางมองรุ่นพี่ที่ไม่เหลียวแลมันเลยสักนิด ก่อนสุดท้ายจะยอมให้เธอได้นั่งแทนที่ “คืองี้นะคืองี้” พี่การ์ตูนรีบเกริ่นเพราะกลัวชะจะปฏิเสธเสียก่อน จะไม่ให้ปฏิเสธได้ยังไง แค่เห็นก็รู้แล้วว่าพี่ปีสี่หน้าตาคุ้นนี่มาจากเพจ  คิวต์บอยบ้าบออะไรสักอย่าง เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องมาตามตื๊อให้เขาทำโน่นทำนี่ บางทีขอถ่ายรูปเอาไปลงเพจเรียกยอดไลค์ บางทีถึงกับขอให้อัดวีดิโอโปรโมตกิจกรรมมหาลัยก็มี “คราวนี้มันไม่มีอะไรยากเลย โปรเจกต์เดือนนี้คือเพลงที่คิวต์บอยอยากจะแนะนำให้ฟังกันในช่วงสิ้นปี ฟังดูดีใช่มะ พี่ขอเวลาน้องชะไม่นาน ขอแค่ถ่ายรูปน้องกับเพลงที่น้องชอบและอยากจะแนะนำให้แฟนเพจฟังพร้อมเหตุผล แค่นั้นจริงๆ ขอนะขอ พี่ต้องเร่งแล้ว เหลืออีกตั้งหลายคนที่ต้องไปสัมภาษณ์” “คนอื่นเยอะแยะน่าพี่ พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบถ่ายรูป” “น่านะ ขอเถอะ ชะไม่เคยได้ลงเพจเลย เสียดายแย่ถ้าแฟนๆ จะพลาดน้องไป เอางี้ อย่าไปสนใจเรื่องรูปเลย มีเพลงจะแนะนำไหมจ๊ะ โปรเจกต์เดือนหน้าเป็นโปรเจกต์เพลงรักในวันสิ้นปี ที่อยากมอบเพลงให้คนที่รักหรือแอบรักอะ ชะมีเพลงที่อยากมอบให้ใครสักคนไหม นะๆ ถือว่าทำบุญกับเพจ ได้บุญนะกับพวกชาวเพจเนี่ย” ชะนั่งฟังอยู่เงียบๆ นั่งมองจอไอแพดที่รุ่นพี่เลื่อนให้ดู ภาพผู้ชายในชุดนิสิตซึ่ง  คาดว่ามากกว่าสามสิบคนพร้อมแคปชั่นใต้ภาพเป็นชื่อเพลงพร้อมเหตุผลปรากฏอยู่ในนั้น แอบรักงั้นเหรอ... เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงสนใจโปรเจกต์นี้ แล้วแค่ได้ยินคำว่าแอบรัก ทำไมเขาถึงต้องเหลือบไปมองใครอีกคนที่นั่งข้างๆ ด้วย “ก็ได้ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะพี่ ผมไม่ถนัดออกสื่อจริงๆ ว่ะ” “โอ๊ยยยย พ่อรูปหล่อ พ่อเดือนหมกเม็ด ตัวเอสตัวท็อปแห่งสถาปัตย์ เนี่ยเสียดายมากนะ ปีที่แล้วพี่โหวตชะสุดใจเลยอะ เสียดายที่ชะถอนตัว” พี่สาวละล่ำละลักรีบพูด ก่อนจะถูกสายตาเนือยๆ จากพ่อรูปหล่อปราม “ง...งั้นพี่ขอถามเลยก็แล้วกัน ว่าเพลงที่ชะอยากแนะนำให้ชาวเพจได้ฟังคือเพลงอะไรจ๊ะ?” ร่างสูงใช้เวลาคิด อันที่จริงเขาเป็นคนไม่ค่อยฟังเพลงรักนะ จะฟังก็ต่อเมื่อไปนั่งตามร้านเหล้านั่นล่ะ แล้วเพลงที่เขานึกได้ตอนนี้ ก็จำได้มาจากที่ไปร้านเหล้าเมื่อคืน        เขารู้สึกว่ามันตรงใจของเขาที่สุดในตอนนี้ “ผมไม่รู้จักชื่อเพลงอะ เพลงที่ร้องว่า...จากฝันก็กลายเป็นมากกว่าฝัน             ฝันกลายเป็นจริงขึ้นมา เมื่อในเวลานี้มีเธอทั้งคน” “คนในฝันหรือเปล่าวะ?” เจมส์คนล่ำเอ่ยแทรกราวกับว่ากำลังเล่นเกมทาย        ชื่อเพลง “จากฟ้านนนก็กลายเป็นมากกว่าน้านนน เมื่อเธอได้เดินเข้ามา หนึ่งคนที่มองหาไม่เคยใช่ใคร แต่ใช่เธอ หูยยยเนี่ย พี่ก็ชอบ น้องชะแอบรักใครอยู่จริงๆ หรือเปล่าเนี่ย      อย่าเพิ่งเปิดตัวเลยนะ มีคนแอบชอบอยู่เยอะมากเลย ตกลงเพลงคนในฝันนะจ๊ะ จดแพร้บ” ก้มลงไปพิมพ์ในไอแพด “แล้วเหตุผลล่ะจ๊ะ?” “เคยเจอใครสักคนที่ทำให้เราคิดว่าเราไม่ต้องฝันอีกต่อไปแล้วไหมครับ?” “นี่คำถามเหรอจ๊ะ?” พี่การ์ตูนทำหน้างง “เหยดเข้! แอ๊บแต็กสัด” ไอ้เจมส์อุทานอย่างชื่นชม ชะคนหล่อไม่ได้พูดอะไรต่อ นั่นทำให้พี่การ์ตูนแอดมินเพจไปไม่เป็นไปเสี้ยววิ แล้วก็ต้องพยายามทำความเข้าใจเองว่านี่คือเหตุผลที่ว่า เธอรีบพิมพ์มันลงไอแพด หลังจากนั้นก็ขออนุญาตชยางกูรถ่ายรูปอีกสองสามช็อต เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ พี่การ์ตูนพร้อมตากล้องกำลังจะเดินจากไป เป็นชยางกูรเรียกรั้งเอาไว้ “เดี๋ยวดิพี่ เพื่อนผมก็ใช้ได้นะ ถ่ายมันไปอีกสักคนก็แล้วกัน” “อ...เอ่อ พอดีพี่มีลิสต์ไว้แล้วน่ะ ไว้โปรเจกต์หน้าแล้วกันเนอะ” พี่การ์ตูนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก มองไอ้เจมส์ที่ผุดลุกโดยอัตโนมัติ ทำอกผายไหล่ผึ่งเสนอตัวสุดฤทธิ์ “ไอ้เจมส์นั่งลง ไม่ใช่มึง กูหมายถึงไอ้สุด” ชะปัดมือลงไล่ให้ไอ้เพื่อนตัวดีนั่งกับที่ พอรู้ว่าไม่ใช่เจมส์ คนที่นั่งอยู่เงียบๆ ถึงกับทำหน้าเหวอเมื่อโดนชะเล่น เข้าให้แล้ว “ตายแล้ว จริงด้วยน้องชะ พี่มองข้ามน้องคนนี้ไปได้ยังไงเนี่ย ชื่ออะไรจ๊ะ ทำไมพี่ไม่เคยเห็นเราเลย ตาหวาน ขนตายาวขนาดนี้ ถูกใจแม่ยกสายเคะนักล่ะ” “ผ...ผมเหรอครับ?” สุดที่รักเบิกตาโต มองพี่สาวปีสี่ที่เอามือมาจับคางเขาให้หันซ้ายหันขวา “นะจ๊ะน้อง ช่วยพี่เถอะ พี่ต้องรีบทำยอดจริงๆ เราหน้าตาใช้ได้เลยนะ มีเพลงในดวงใจไหมจ๊ะ?” เพลงเหรอ? เขาฟังเพลงน้อยมาก แต่ก็ฟังบ้างเวลาอยู่คนเดียว จู่ๆ ก็มีเพลงหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว เขาจำได้ว่าเคยได้ยินมันตอนนั่งทำรายงานกับเพื่อนตรงใต้ตึกคณะในวันที่ฝนตก     หนักมาก วินาทีที่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษบนโต๊ะ คือวินาทีที่มองเห็นรถหรูคันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบยังหน้าตึก เจ้าของรถเป็นชายหนุ่มร่างสูงดูคุ้นตา ผิวขาวสะอาดสะอ้านก้าวลงจากรถพร้อมร่มสีดำ เขาคนนั้นคือใครคนที่อยู่ในหัวใจเด็กชายสุดที่รักตลอดมา เป็น       แรงบันดาลใจให้ก้าวต่อไปบนเส้นทางชีวิตอันมืดมน เอาเวลาเงียบเหงามาเฝ้ามอง     ความเป็นไปในชีวิตของใครคนนั้น ระยะเวลาหลายปีที่เด็กชายคนนี้ได้เติบโตกลายเป็นชายหนุ่มผู้มีรักสวยงามเกิดขึ้นในหัวใจ หนึ่งคนหล่อหลอมไม่ใช่ใคร หากแต่เป็นผู้ชายคนที่กำลังยืนยิ้มให้กับผู้หญิงสุดสวยใต้ร่มคันเดียวกันตรงหน้า กว้างขวาง ศิริไพศาล พี่กว้างของใครหลายๆ คน ขณะนั้นภาพสายฝนพร่างพราว ตกกระทบร่มสีดำโดยมีคนสองคนอยู่ด้วยกัน แว่วเสียงเพลงจากวิทยุที่มีเพื่อนสักคนเปิดทิ้งเอาไว้ ทำไมฝนโปรยอย่างนี้ ทำไมยิ่งคิดยิ่งหนาวจนใจสั่น ทำไมน้ำตายังไหล ทำไมยิ่งคิดยิ่งเหงายิ่งไหวหวั่น นานแล้วที่เราไม่พบเจอกัน แต่ฝันร้ายมันไม่เคยจะหายไป...’ เป็นเพลงที่กินใจ จนต้องไปเสิร์ชหาชื่อเพลง แล้วหลังจากนั้นมา เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่เขาฟังบ่อยที่สุดไปเลย “ฝนโปรยปราย ของ The Dai Dai ครับ” กริบ... เงียบกริบ คนที่เหลือทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก ทั้งชื่อเพลง และชื่อวงไม่คุ้นเลยสักนิด “ทำไมถึงชอบเพลงนี้คะ?” “ขอโทษที่แนะนำเพลงรักที่เจ็บปวดสำหรับวันสิ้นปี พอดีผมฟังตอนฝนตก แล้วมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกตามได้อย่างง่ายดาย จะมีสักกี่เพลงกันครับที่เรารู้สึกไปกับมันได้อย่างแท้จริง” “แนะนำมาซะจนพี่อยากจะเปิดฟังเสียเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ยังไงก็ขอบคุณน้อง...” “สุดที่รัก อัคราวงษ์ ครุศาสตร์ปีสองครับ” “ตายแล้วชื่อเก๋มาก แบบนี้แฟนจะหวงไหมคะ ไปที่ไหน ใครๆ ก็เรียกว่าที่รัก โฮะๆ พี่การ์ตูนเล่นมุกค่ะ ขำไหม?” รุ่นพี่โก๊ะกังยกมือมาปิดปาก ขำให้สกิลการเล่นมุกกากของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ต้องชะงักเมื่อไม่มีใครขำเลยสักคน เห็นอย่างนั้นจึงรีบถ่ายรูปรุ่นน้อง  คนหน้าหวาน ก่อนจะเฟดตัวเองลงไปยังสนามบาสด้วยความอับอายทันที “เย็นนี้กูจะไปฟัง อยากจะรู้ว่าคนอย่างมึงจะฟีลไหน” ชะเอ่ย ในขณะที่            การแข่งขันใกล้จะเริ่มต้นขึ้น สุดที่รักยิ้มจางให้ หากแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป “พี่กว้างขวางมาแล้ว โอ๊ยยยยใจเต้นมากกก แค่ยิ้มก็ทำฉันหัวใจละลายแล้วเนี่ย” เสียงหนึ่งดังแว่วขึ้นมาจากเด็กบนสแตนด์ เรียกเอาทุกสายตาหันขวับไปยังเบื้องล่าง ภาพที่ทุกคนเห็น คือภาพชายหนุ่มร่างสูงคนดัง นานแล้วที่ไม่ได้เจอ... กับคนที่ทำให้ใจสั่นได้รุนแรงขนาดนี้ กว้างขวาง ศิริไพศาล รุ่นพี่ปีสี่ เดือนสาขาบริหารธุรกิจ ควบตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม