“อุ่น เราขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“อย่าคิดมากเลยที่รัก อุ่นไม่ได้โกรธอะไรเลยนะ อุ่นเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เป็นอุ่นมากกว่าที่ต้องขอโทษสุดที่รัก”
“.......” คนฟังเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม มองหน้าอีกฝ่ายตาแป๋ว
อุ่นถึงกับพรูลมหัวเราะในท่าทางน่าเอ็นดูนั้น ก่อนจะคว้ามือทั้งสองข้างของสุดที่รักมากุมไว้ ในขณะที่ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน
“ขอโทษแทนป้ารตีที่ทำเกินกว่าเหตุ ขอโทษที่เราออกโรงปกป้องสุดที่รักไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของสุดที่รักเลย บางที...อุ่นมันก็แค่คนอ่อนแอคนนึง” เธอยิ้มแหยพลางก้มหน้า ก่อนจะสร้างแรงฮึดขึ้นมาใหม่ เงยหน้าแสร้งยิ้มกว้างทว่านัยน์ตากลับสั่นไหวจนดูน่าสงสาร “อุ่นจะเข้มแข็งให้มากกว่านี้ อุ่นขอโทษนะ”
เพราะเป็นลูกนกในกรงทอง เป็นหลานคนโปรดของคุณหญิงป้า ทำให้มาลาเติบโตมาพร้อมกับการถูกเอาอกเอาใจ ได้รับการดูแลชนิดที่ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม มีเกราะคุ้มกันที่ชื่อว่าคุณหญิงรตีจนตัวเธอเองไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง เปราะบาง หัวอ่อนไม่กล้าเถียง ไม่กล้าขัดคำสั่งสอนของคนเป็นป้าเลยสักครั้ง
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน...เธออ่อนแอเกินกว่าจะห้ามคุณหญิงป้าไม่ให้ตบหน้าสุดที่รักได้ แม้ว่าคนที่อยู่ใกล้ที่สุดในตอนนั้นจะเป็นเธอก็ตาม ยอมรับว่าตกใจจนหวาดกลัวไปหมด ทั้งที่ห้ามได้ แต่มือไม้กลับแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
สุดที่รักส่ายหน้าเป็นพัลวัน ก่อนจะเป็นฝ่ายจับข้อมือหญิงสาวเอาไว้แทน
“อุ่นอย่าคิดมาก เราไม่ได้เป็นอะไรเลย เข้าใจดีว่าคุณหญิงท่านห่วงอุ่น อย่าคิดมากเลยนะ”
“ไม่โกรธคุณป้าเลยเหรอ?”
“ไม่เลย ตอนนั้นคุณหญิงท่านคงตกใจเลยเผลอพลั้งมือไปเท่านั้น”
“สุดที่รักเป็นคนดีจริงๆ ดีกับพ่อแม่ ดีกับพี่อิ่ม แล้วก็ดีกับอุ่นมาก”
มาลายิ้มกว้างมากขึ้น ก่อนจะถือวิสาสะขโมยหอมแก้มนิ่มของคนตรงหน้าเอาเสียดื้อๆ
สุดที่รักเบิกตากว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดแก้มตัวเองเอาไว้
“ยัยอุ่นทำไรน่ะ!”
เสียงอิ่มดังขึ้นไม่ไกล หลังจากเดินไปต้อนรับเพื่อนสนิทอย่างกว้างขวางที่โรงจอดรถ พอเดินมาถึงหน้าประตูบ้านพร้อมๆ กับเพื่อนสนิทก็ทันเห็นสองคนนี้ทำอะไรประเจิดประเจ้อพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะตวาดใส่ พลางวิ่งขึ้นบันไดไปหา ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้สุดที่รัก หอมแก้มอีกข้างของน้องชายคนเล็กฟอดใหญ่
“หอมแก้มสุดที่รักไม่เรียกพี่ได้ไง” ธาราใช้นิ้วจิ้มหน้าผากน้องสาวตัวดี
อุ่นหัวเราะท่าทางของคนถูกสองพี่น้องขโมยหอมแก้ม ก่อนสายตาจะสบเข้ากับร่างรุ่นพี่หนุ่มสุดหล่อ กว้างขวางที่เดินตามหลังมาเลิกคิ้วมองเหยียดพี่ชายของเธออยู่ในที
“พี่กว้าง”
กว้างขวางพยักพเยิดหน้าทักทายหญิงสาวอีกครั้ง
“คืนนี้ไอ้คุณชายตัวดีจะมานอนด้วย”
“ร...เหรอคะ?” พลันน้ำเสียงคนพูดกลับสั่นเสียอย่างนั้น อุ่นเบิกตาโตก่อนรอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยหวานอย่างปิดไม่มิด “ง...งั้นเดี๋ยวอุ่นไปบอกให้ป้าจำรัสจัดห้องนอนให้พี่กว้างนะคะ” พูดจบก็รีบหมุนกายหลบใบหน้าแดงเดินกระท่อนกระแท่น ตามหาแม่บ้านทันที
“ทีงี้ล่ะเดินไหวขึ้นมาเชียว ตะกี้ยังบอกกูให้ช่วยพยุงอยู่เลย” อิ่มส่ายหัว มองตามแผ่นหลังน้องสาว แล้วหันกลับมาหาใครอีกคน “ไปสุดที่รัก ห้องของน้องพี่สั่งให้ป้าจำรัสทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ไปอาบน้ำ พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
นักเรียนนายร้อยตำรวจยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเรือนผมของสุดที่รัก เด็กหนุ่มก้มศีรษะรับคำสั่ง พลางเหลือบสายตามองใครอีกคน เมื่อเห็นน้องชายตัวบางยังยืนนิ่ง อิ่มจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“หรือจะให้พี่ไปส่งถึงห้อง บอกเลยว่าถ้าไปถึงห้อง พี่คงไม่กลับออกมา”
“งั้น...ผมไปแล้วนะครับ” สุดที่รักสะดุ้งเฮือก เกาหัวแก้เขิน ก่อนจะรีบตวัดกายเดินหายเข้าไปในบ้านทันที
“พวกมึงหอมแก้มกันง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอวะ?” กว้างขวางเอ่ยถามอิ่ม หลังเหลือพวกเขาเพียงสองคนที่ยืนอยู่ตรงนี้
“ทำไมวะ พวกกูก็หอมกันแบบนี้ปกติอยู่แล้วนะ ยิ่งตอนสุดที่รักมาใหม่ๆ กูหอมบ่อยกว่านี้อีก”
คำตอบของอิ่มทำเอาชายหนุ่มขมวดคิ้วหนักมากยิ่งขึ้น เขาไม่เข้าใจ โตกันขนาดนี้ยังจะแสดงความรักโจ่งแจ้งท้าทายสายตาคนอื่นได้อีกเหรอ
“มึงไม่รังเกียจเหรอวะผู้ชายด้วยกัน”
“มีอะไรให้ต้องรังเกียจวะ มึงไม่รู้อะไร แก้มสุดที่รักน่ะหอมจะตาย เผลอๆ หอมกว่าผู้หญิงที่มึงเคยหอมด้วยซ้ำ”
“กูไม่เคยหอมใคร” ชายหนุ่มปฏิเสธทันที
แก้มมันหอมจริงๆ เหรอ?
กว้างขวางได้แต่คิดแล้วก็เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ
“เหรออออออออ” ธารายื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยท่าทีประชดประชันสุดๆ “มึงจะหวงอะไรนักหนา กะอีแค่หอมแก้ม แค่จูบ แค่กอด เปิดใจยอมรับใครบ้างสิวะ การแสดงความรักแบบนี้มันให้ความรู้สึกดีทั้งคนให้ แล้วก็คนรับนะเว้ย”
เห็นท่าทีกับคำพูดโน้มน้าวไอ้อิ่มแล้วก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ เหยียดมุมปาก กว้างขวางเห็นมันเป็นเรื่องไกลตัว การแสดงความรัก ความอ่อนโยนแบบนี้เขาไม่เคยทำกับใคร แล้วก็ไม่คิดจะทำกับใครด้วย
ไม่มีใครคู่ควรกับมัน
แม้แต่พ่อกับแม่
“มึงต้องลอง แล้วจะรู้ว่าเวลาคนเราแสดงความรักต่อกัน แค่กอด แค่หอมแค่นี้ก็ทำให้หัวใจของมึงพองโตได้แล้ว”
“เอากันก็หัวใจพองโต”
“เออ อันนี้กูก็ไม่เถียง” อิ่มกลอกตาขึ้นบน เห็นด้วยกับที่ไอ้เพื่อนตัวดีว่ามาจริงๆ “แต่มันก็มีจุดต่างอยู่นิดนึงนะ”
“อะไรวะ?” กว้างขวางเสตามองเพื่อนซี้ อะไรคือความแตกต่างที่มันพูด
อิ่มทิ้งช่วงไปนาน มีเพียงรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า ราวกับว่ากำลังท้าทายความอยากรู้อยากเห็นของกว้างขวาง
“อยากรู้อะดิ?”
“เล่นตัว ก็...ไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้น” เมื่อถูกกระแซะเข้าให้ ชายหนุ่มหน้าตึง ก่อนจะผละเดินเข้าไปในบ้านทันที เห็นอย่างนั้น เพื่อนซี้ผิวสีแทนก็เดินตามหลังไปติดๆ
“ไม่อยากรู้จริงอ่ะ? เออๆ เอาไว้มึงเจอคนที่ทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยเมื่อไหร่ มึงก็จะรู้เองล่ะ”
กว้างขวางส่ายหน้าไม่คิดใส่ใจ หลังคำตอบของเพื่อนซี้ไม่ได้ไขข้อกระจ่างเลยสักนิด ในเมื่อไม่บอกก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ให้มากความ เลยเดินขึ้นบันไดมุ่งตรงเข้าห้องนอนซึ่งถูกเตรียมไว้ให้ทันที
เช้าวันต่อมาเริ่มต้นขึ้นด้วยอากาศแจ่มใส ท้องฟ้าไร้เมฆบดบัง แม้เวลานี้จะเพิ่งหกโมงเช้าก็ตาม แสงแดดเวลานี้ส่องแสงแรงกล้าลามเลียเข้ามาถึงปลายเตียงหลังเล็ก
คนตื่นเช้าเป็นปกติปรือตาขึ้นหลังหลุดจากห้วงภวังค์ นัยน์ตาเศร้ายังคงฉาดฉายอย่างเป็นเอกลักษณ์ เจ้าตัวกระพริบตาเนิบนาบมองเพดานห้องเพียงครู่ ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ใช้มือนวดคลึงเบ้าตาเพื่อขับไล่ความง่วงงุน ไม่นานก็ลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว
หลังจัดการชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อย คนตาเศร้าเป็นอันต้องชะงักเมื่อเดินผ่านบานกระจกในห้องน้ำ เพราะสังเกตเห็นแก้มขาวข้างหนึ่งยังคงบวมให้ได้เห็น มือบางยกแตะสัมผัสแผ่วเบา รอยแดงจางแสดงให้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงที่เขาต้องเผชิญมาตลอด
บนโลกใบนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้
ถึงช่วยได้ก็ไม่อาจช่วยให้รอดพ้นความเจ็บปวดไปได้ตลอด
แม้คนของตระกูลธารามาลาจะใจดีและมองเขาเป็นคนในครอบครัวมากแค่ไหน แต่ความจริงที่ว่าเขาไม่ได้มีเลือดเนื้อเป็นส่วนหนึ่งของธารามาลาตั้งแต่แรกก็เด่นชัดมากขึ้นเมื่อมีคุณหญิงรตี คุณหญิงผู้ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลเป็นผู้แบ่งแยกสถานะของ เด็กกำพร้าเช่นเขาอย่างชัดเจน ด้วยเพราะเป็นผู้ปกครองที่มีสิทธิ์มีอำนาจเหนือกว่าใคร แม้กระทั่งกับน้องชายอย่างคุณอาสุพรตก็ยังต้องให้ความเคารพและเชื่อฟัง
สิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมดสุดที่รักไม่ได้นึกน้อยใจหรือต้องการอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลผู้ดีเก่าอย่างที่คุณหญิงตีตราให้คำจำกัดความ ที่เขายังคงให้ความสำคัญกับตระกูลธารามาลาคงมีเหตุผลอื่นไปไม่ได้ นอกจากต้องการตอบแทนบุญคุณคุณอาที่ เลี้ยงดูเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณอาทั้งสอง รวมไปถึงพี่อิ่มและอุ่น พวกเขาเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณที่สุดที่รักต้องหาทางตอบแทนในภายภาคหน้า นอกเหนือจากเหตุผลนี้คงไม่มีอะไรให้คนอย่างสุดที่รักคิดหวังอีกแล้ว สิ่งที่คุณหญิงเข้าใจนั้น จึงไม่เคยอยู่ในความคิดของสุดที่รักแม้สักกระผีกเดียว
นัยน์ตาหวานเศร้าอ่อนแรงมองตัวเองผ่านกระจกเงาก่อนเจ้าตัวจะสร้างรอยยิ้มจางขึ้นมาพร้อมกับกำลังใจฮึดสู้
จากนี้ไปคงต้องตั้งใจเรียนให้จบไวไว ทำงานหาเงินแล้วนำมันกลับมาใช้คืนธารามาลา จากนั้นก็กลับไปใช้ชีวิตอยู่บ้านเกิด กลับไปอยู่ในที่ของตัวเองสักที
สุดที่รักละความสนใจให้ตัวเองเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ ใช้ช่วงเวลาเช้าตรู่แบบนี้เช็คโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ซึ่งนานๆ ทีถึงจะได้มีเวลาให้กับเรื่องความเป็นไปทางออนไลน์สักครั้ง เปิดเฟซบุ๊กเพื่อเปิดดูการแจ้งเตือนที่ปรากฏ มีเพียงไม่ กี่การแจ้งเตือนเท่านั้นในรอบหลายวันมานี้ ส่วนใหญ่เป็นเพียงการส่งคำขอของเกม บางการแจ้งเตือนเป็นการแท็กเรื่องงานกลุ่ม แต่แจ้งเตือนที่ทำให้เจ้าของโทรศัพท์ถึงกับ มือสั่น เบิกตาโตขยี้มองแล้วมองอีกหลายรอบ
คือการขอเพิ่มเพื่อนจากแอคเคานท์ชื่อว่า Gwangkhuang S.
เด็กหนุ่มร่างโปร่งทิ้งตัวนั่งยังปลายเตียง มองหน้าจอแตกลายเก่าๆ อย่างไม่เชื่อสายตา ทำใจอยู่นานเพื่อกดเข้าไปดูโปรไฟล์ของเจ้าของแอคดังกล่าว เผื่อว่าจะเป็นใครคนอื่นที่ใช้ชื่อคล้ายกัน ไม่ก็เป็นแฟนคลับที่สร้างขึ้น เผื่อว่าอาจจะไม่ใช่เจ้าของตัวจริง แม้ในใจจะค่อนข้างมั่นใจไม่น้อยว่าใช่ของจริง เพราะเขามักแวะเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์รุ่นพี่หนุ่มอยู่บ่อยครั้ง
ใช่...ใครคนนั้น ผู้ชายที่ซับซ้อนคนนั้น
ใช่...กว้างขวาง ศิริไพศาล
กำลังศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะพาณิชยการและการบัญชี สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย XX
สถานะโสด
นิ้วเรียวกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์เพื่อยืนยันให้แน่ชัด ก็พบว่าเป็นรูปรุ่นพี่ปีสี่สุดหล่อในชุดนักศึกษากำลังยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง พร้อมกับยิ้มและมองกล้องด้วยสายตาละมุนละไม
คำถามหลากหลายผุดขึ้นในสมอง
ทำไมถึงแอดเขา?
หรือว่ากดผิดแล้วไม่รู้ตัว?
บางทีรุ่นพี่คนนั้นอาจจะแค่เผลอเอามือไปกดโดนปุ่มเพิ่มเพื่อน แต่ถึงจะเป็นเรื่องบังเอิญ ทำไมชื่อเฟซบุ๊กของเขาถึงไปอยู่บนหน้าจอชายหนุ่มในขณะนั้นกันล่ะ สุดที่รักใจสั่นกระสับกระส่ายยากเกินกว่าจะตัดสินใจกดรับแอด
คงกดผิด...
มีเหตุอะไรให้ชายหนุ่มต้องเพิ่มเขาเป็นเพื่อนอย่างนั้นเหรอ?
สุดที่รักส่ายหน้าและเลือกไม่กดรับ นอกจากเลือกไม่กดรับเป็นเพื่อนแล้ว ยังใจดีกดปฏิเสธคืนให้อีกด้วย แอคเคานท์ Gwangkhuang S. จึงปลิวหายไปจากช่องเพิ่มเพื่อนในทันที
เมื่อไม่ได้เห็นชื่อที่มักทำให้ใจสั่นไหวแล้ว สุดที่รักจึงถอนหายใจด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายขึ้น ก่อนจะวางมือถือทิ้งเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องมา มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร จึงเดินลัดเลาะตัวบ้านไปยังสวนด้านข้าง ร่างโปร่งยิ้มบางทันทีเมื่อเห็นแผ่นหลังคุ้นตาของคุณลุงวัยใกล้เกษียณ
“สวัสดีครับลุงจิต” สุดที่รักเดินไปตามแผ่นหินซึ่งวางเรียงเป็นระยะก้าวเดินภายในสวน ก่อนจะหยุดทักลุงจิต คนสวนคนเก่าคนแก่ของที่นี่ แผ่นหลังโค้งงุ้มของคนถูกทักเหยียดตรง ก่อนเจ้าตัวจะหันมาตามเสียง
“อ้าว! คุณสุด สวัสดีครับ ไม่ได้เจอกันเสียตั้งนาน โอ๊ยลุงดีใจเหลือเกิน สบายดีไหมครับ?” ลุงจิตทิ้งถุงพลาสติกในมือลงทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใครพลางเดินเข้ามาหา มองเด็กหนุ่มที่มักจะมาขลุกอยู่กับเขาเมื่อครั้งยังเด็ก มาคราวนี้โตเป็นหนุ่มเสียแล้ว
“สบายดีครับ ว่าแต่ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ก็แม่จำรัสเขาอยากได้พริกขี้หนู เห็นว่าจะเอาไปตำน้ำพริก ลุงนึกขึ้นได้ว่าเคยปลูกมันอยู่สามสี่ต้น เลยมาเก็บไปให้”
“นั่นแน่...หวังมัดใจป้าจำรัสด้วยพริกขี้หนูเหรอครับ” สุดที่รักอมยิ้ม ส่วนลุงจิตได้แต่หัวเราะร่วน เกาหลังมือไปมาแก้เขิน คุยกันได้อีกไม่นาน ก็มีสาวรับใช้วัยยี่สิบกว่าเดินเข้ามาหา
“ลุงจิตจ้ะ ป้าจำรัสให้มาตามจ้ะ แกจะให้ลุงไปส่งที่ตลาดหน่อย เห็นว่าของที่ซื้อมาขาดไปสองสามอย่าง”
“เอ้า อย่างนั้นรึ ได้ๆ” ชายแก่ผมและหนวดสีเทาหันมายิ้มเผล่ให้คุณหนูคนเล็กของบ้านด้วยสายตาที่รู้กัน คนวัยนี้ก็อย่างนี้ แค่ได้ไปตลาดด้วยกัน ก็ตู่ว่าเป็นเดตได้แล้ว “ลุงขอตัวก่อนนะคุณสุด เดี๋ยวจะกลับมาคุยด้วย”
“ไปเถอะครับลุง”
“ลุงจ้ะ แล้วไหนพริกกับดอกบัวล่ะจ้ะ” สาวรับใช้ชะเง้อคอมองหาของที่ป้าจำรัสไหว้วานลุงจิตให้มาเอา
“เออ! ข้าลืมไปเก็บบัวว่ะ ตายล่ะมัวแต่เก็บพริก” ลุงจิตกระวนกระวายก้มหยิบถุงใส่พริกยื่นให้สาวใช้
“เก็บบัวที่ไหนเหรอครับ? ใช่บึงตรงหลังบ้านหรือเปล่า?” สุดที่รักเอ่ยถาม เผื่อว่าเขาจะช่วยได้บ้าง
“ใช่ครับคุณสุด พอดีวันนี้คุณท่านจะใส่บาตรหน้าบ้าน นี่ก็ใกล้เวลาเสียด้วย” คนแก่ร้อนรน มันผิดที่เขาที่มัวแต่อ้อยอิ่งเก็บพริกจนลืมไปเก็บดอกบัวมาถวายพระให้ คนเป็นนาย
“ลุงไปส่งป้าจำรัสเถอะครับ เดี๋ยวผมไปเก็บให้เอง” สุดที่รักขันอาสา ลงไปเก็บบัวไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“แน่ใจเหรอครับคุณสุด คุณพายเรือเป็นรึ?”
“สบายมากครับ ลุงไปเถอะ พี่สาวเอาพริกไปทำอาหารต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมเก็บดอกบัวให้เอง นี่คีมตัดบัวได้ใช่ไหมครับ?” ร่างบางเดินไปหยิบคีมเก่าๆ ที่วางอยู่ไม่ไกลมาไว้ในมือ
คนรับใช้ทั้งสองคราแรกมีท่าทีลังเล ทว่ากลับถูกเด็กหนุ่มร่างโปร่งคะยั้นคะยอให้กลับไปทำธุระของตัวเอง ด้วยเวลาที่จวนเจียนจึงต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปตามคำสั่งกันคนละทิศคนละทาง
สุดที่รักยิ้มบางขณะมองไปทางท้ายสวน เห็นบึงน้ำกว้างใหญ่อยู่เบื้องหน้าก็เห็นเป็นเรื่องสนุก จึงรีบเร่งฝีเท้าลัดเลาะไปตามทางเดิน
สวนของบ้านธารามาลาถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ครึ่งแรกเป็นสวนดอกไม้ฝรั่งนานาชนิด ลุงจิตเข้าใจทำโดมเถาวัลย์เพื่อใช้บดบังแสงแดดแรง กลางสวนโซนแรกมีเก้าอี้สไตล์ยุโรปวางตั้งไว้เผื่อว่าวันไหนคนเป็นนายนึกครึ้มอยากนั่งจิบน้ำชา ทานขนมแบบชาวฝรั่งก็ทำได้ ถัดไปไม่ไกลซึ่งถูกลุงคนสวนแบ่งไว้เป็นโซนหลัง ใช้ปลูกพืชผักสวนครัว ด้วยเพราะบ้านธารามาลาตั้งอยู่ไกล จากตลาดและบ้านหลังอื่นๆ จึงปลูกผักผลไม้บางชนิดที่จำเป็นต้องใช้บ่อยๆ และปลูกขึ้นง่าย จะได้ไม่ต้องขับรถไปไกลถึงตลาดให้เสียเวลา
ในขณะที่เดินไปสองข้างทาง ช่วงหนึ่งเป็นต้นมะเขือเทศสีดาที่กำลังออกผลสุกกำลังดี มือบางคว้าติดมือมาสองสามลูก ก่อนจะเช็ดมันเข้ากับเสื้ออย่างลวกๆ แล้วโยนมันเข้าปาก เคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย แม้รสชาติเฝื่อนลิ้นของมะเขือเทศจะมีใครหลายคนที่ไม่ชอบ แต่สำหรับสุดที่รักนั้นตรงกันข้าม เขาชอบกินมะเขือเทศเอามากๆ คงเป็นเพราะเมื่อก่อน แม่มักจะนำมะเขือเทศมาเป็นส่วนประกอบหลักในอาหารให้เขาทานด้วยล่ะมั้ง เขาถึงติดมันมาจนถึงทุกวันนี้
คนได้กินของโปรดฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะไปโผล่ตรงศาลาริมน้ำ บ้านธารามาลามีพื้นที่กว้างขวาง นอกจากด้านข้างเป็นสวนดอกไม้ สวนพืชผักแยกเป็นสัดส่วนแล้ว ด้านหลังยังมีบึงน้ำขนาดหลายไร่ ดอกบัวสีชมพูลอยเกลื่อนประดับประดาเพิ่มความสวยงามไม่น้อย ถัดไปด้านหลังเห็นทุ่งนาของชาวบ้านหลายสิบแปลงซึ่งมีคันดินสูงระดับหัวเข่าเป็นตัวแบ่งอาณาเขต แม้จะดูน่ากลัว หากมีขโมยคิดจะเข้ามาในบ้าน แต่คุณอาสุพรตบอกว่าละแวกนี้ไม่มีใครหวังร้ายเช่นนั้น ชาวบ้านแถวนี้รับรู้กันหมดว่าบ้านหลังใหญ่แห่งนี้เป็นบ้านของนายพลตำรวจที่มีคุณนายคนสวยใจดี จึงมีแต่คนเกรงใจนับหน้าถือตา แถมยังช่วยกันสอดส่องดูแลให้อีกต่างหาก
ขาเรียวก้าวเข้าไปยังศาลาริมน้ำ เขามักมาเป็นประจำเมื่อตอนยังอาศัยอยู่ที่นี่ ใช้สถานที่นี้เป็นที่พักพิงในยามคิดถึงพ่อกับแม่ ที่นี่สงบเงียบ ให้บรรยากาศผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เมื่อชะโงกหน้ามองไปด้านข้างริมตลิ่งก็เห็นเรือแคนนูสีเหลืองพร้อมไม้พายจอดนิ่งอยู่ สุดที่รักยิ้มให้มันเพราะจำได้ ว่าครั้งหนึ่งเคยนั่งและพายเล่นกับพี่อิ่ม เพราะงั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับการพายเรือคนเดียวในครั้งนี้ ก้มหยิบเชือกไนล่อนสีเขียวเส้นเก่าซึ่งผูกติดกับเสาศาลาเพื่อยึดเรือมาไว้ในมือ ก่อนจะดึงให้เรือเข้ามาจอดเทียบท่า
สุดที่รักก้าวขาลงเรืออย่างมั่นใจ แม้ตัวเรือแคนนูจะเล็กจิ๋วสร้างความโคลงเคลงยามอยู่บนผิวน้ำแค่ไหน แต่คนก้าวลงไป กลับนั่งลงอย่างกระฉับกระเฉง หลังนั่งได้แล้วก็เอื้อมมือไปแกะเชือกตรงเสาศาลา จับไม้พายพลางกวาดตามองหาจุดหมาย เห็นดอกบัวตูมสีชมพูอวบอิ่มตั้งตระหง่านไม่ไกลนัก จึงจ้วงไม้พายอย่างแข็งขัน พายไปได้ไม่กี่ฝีพาย ร่างโปร่งกลับเป็นอันต้องหยุดมือ เมื่อเกิดความสงสัยว่าทำไมพายเท่าไหร่ก็ไม่ไปสักที จะว่าพายไม่ได้เรื่องก็คงไม่ใช่เพราะออกมาได้นิดหนึ่งแล้ว มีเหตุเดียวที่คิดได้ นั่นคงเป็นเพราะเชือกที่ผูกติดกับเรือคงจะไปพันกับอะไรเข้า ถึงได้ฉุดรั้งแรงพายได้ขนาดนี้ คิดได้อย่างนั้นก็เอี้ยวตัวคว้าเอาเชือกสีเขียวเข้มที่มัดเข้ากับรูตรงหางเรือ แล้วออกแรงกระตุก ทั้งรั้ง ทั้งสาว กระทั่งเชือกเส้นใหญ่ดีดเด้งตึงขึ้นเหนือน้ำ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นหลังออกแรงดึงจนเหงื่อผุดซึมข้างขมับ สุดท้ายสู้แรงไม่ไหวถึงได้ไล่สายตาตามเส้นเชือกไปจนสุดปลายทาง
คนนั่งบนเรือออกแรงดึงจนมือบางแดงถลอกค้นพบคำตอบเอาเดี๋ยวนี้เองว่าเหตุใดเรือถึงติดกลางน้ำอยู่อย่างนั้น
เชือกไม่ได้พันกับอะไร ไม่ใช่กอผักตบ ไม่ใช่เสาศาลาใต้น้ำ
หากแต่เป็นชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวที่กำลังยืนทำหน้าตีมึนอยู่บนศาลาริมน้ำ
สุดที่รักอ้าปากค้างด้วยไม่คิดว่าจะเจอรุ่นพี่หนุ่มในเวลาแบบนี้ ชะเง้อคอมองไปด้านหลังก็ไม่มีใครอีก ตอนนี้มันเพิ่งจะหกโมงกว่า ทำไมกว้างขวางถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้
“จะทำอะไรของนาย?” กว้างขวางเอ่ยถาม
ไอ้เด็กหน้ามึนนี่มันไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าเขายืนชมวิวแถวนี้อยู่ก่อนที่มันจะมาเสียอีก เขาเห็นมันเดินดุ่มๆ มองต้นไม้ มองฟ้า คว้ามะเขือเทศมากินแถมยังยิ้มให้กับรสชาติของมันอีกต่างหาก จนเดินมาถึงศาลาริมน้ำก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้าวขึ้นเรือแล้วลงมือพาย ท่าทางกระฉับกระเฉงขัดกับรูปลักษณ์หน้าตาอย่างสิ้นเชิง
นึกว่าอ่อนแอปวกเปียก ที่ไหนได้แข็งแรงทะมัดทะแมงใช้ได้
ก็เหมือนผู้ชายธรรมดาทั่วไป ติดก็แค่หน้าหวานไปเท่านั้นเอง
“ผมจะไปเก็บบัวให้คุณอา พวกท่านจะเอาไปถวายพระ ปล่อยสิคุณ เดี๋ยวพระมาจะไม่ทันเอา” สุดที่รักขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังไม่มีท่าทีจะปล่อย กลัวว่าถ้าช้าไปกว่านี้จะไม่ทันการ
กว้างขวางพยักหน้ารับฟัง ทว่ากลับไม่ปล่อยมือจากเชือกตามคำขอ แถมยังออกแรงสาวมันม้วนใส่มือ เรือสีเหลืองเด่นค่อยๆ ลอยกลับเข้าฝั่งอีกครั้ง สุดที่รักคิดว่ารุ่นพี่หนุ่มแกล้งตน จึงออกแรงดึงสู้ แต่เรี่ยวแรงที่มีเพียงน้อยนิดของเขา แน่นอนว่าสู้แรงฉุดของ ชายหนุ่มไม่ได้ นอกจากสู้ไม่ได้แล้ว มือบางยังถูกเชือกบาดถลอกเป็นแผลยาวอีกด้วย กระทั่งเรือกระแทกบันไดศาลา รุ่นน้องร่างโปร่งถึงกับตวัดสายตาแสดงความไม่พอใจ
“ไม่เคยนั่งเรือเก็บดอกบัวเหมือนในละครเลย ขอไปด้วยสิ ถือว่าได้ทำบุญกับคุณอาด้วย”
“เดี๋ยวคุณ!”
พูดไม่ทันจบดีก็ก้าวลงเรือทันที ไม่ฟังคำทัดทานใดใดจากอีกฝ่าย คุณชายตระกูลดังตื่นเต้นยกใหญ่ ตาคมเบิกกว้างแพรวพราวระยับมองซ้าย มองขวา มองไปรอบเรือ เรือแคนนูลำนี้มีขนาดสองที่นั่ง กว้างขวางนั่งด้านหน้า สอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่วราวกับเด็กเพิ่งได้ของเล่นใหม่
“ยังไม่ออกเรืออีก เดี๋ยวก็สายหรอก”
นั่งได้สักพักใหญ่ ทว่าคนด้านหลังกลับยังไม่ออกเรือ รุ่นพี่หนุ่มสุดหล่อถึงได้เอี้ยวตัวหันไปสั่ง คนถูกสั่งมองแผ่นหลังกว้างอยู่ครู่หนึ่ง เชื่อเขาเลย...เพิ่งรู้ว่ากว้างขวางชอบออกคำสั่ง
ถ้ามันจะสาย ก็คงเพราะคุณนั่นล่ะ...
สุดที่รักลอบส่ายหน้าก่อนจะออกจากฝั่ง เรือลำเล็กแล่นเอื่อยตามแรงพายไปยังจุดที่หมายมาดเอาไว้ตั้งแต่แรก เมื่อมาถึงเขายกไม้พายมาพาดไว้ตรงกลางเรือ ก่อนจะเอื้อมมือไปตัดดอกบัวสีชมพูหนึ่งดอก กว้างขวางมองการกระทำนั้นก็อยากจะลองบ้าง
“ขอลองหน่อยสิ ต้องเลือกยังไง”
ชายหนุ่มแบมือรอรับคีมขึ้นสนิม สุดที่รักมองคนตรงหน้าที่มีท่าทีตื่นเต้นจึงยื่นคีมให้ ก่อนจะยกหน้าที่นี้ให้รุ่นพี่ร่างสูง
“ดอกบัวสำหรับถวายพระต้องเลือกดอกตูมครับ แล้วก็ตัดก้านใต้น้ำเล็กน้อย เวลาตัดแล้วก้านที่ถูกตัดจะได้ไม่โดนแดดแห้งตาย อย่างดอกนั้นกำลังสวยครับ” สุดที่รักชี้ไปที่ดอกบัวใกล้มือกว้างขวาง
ชายหนุ่มมองตามนิ้ว ก่อนจะลงมือตัด เมื่อตัดได้ก็นำมาถือไว้ในมือ มองมันอย่างภาคภูมิใจ เก็บดอกบัวไม่ได้ยากเลยแฮะ
“ดอกนั้นโอเคไหม?” เขาชี้นิ้วถามคนด้านหลัง
“ได้ครับ”
เมื่อถูกเห็นด้วย ชายหนุ่มจึงเอื้อมตัวไปด้านข้างเพิ่มเล็กน้อย เพราะดอกบัวที่ว่านั้นอยู่กลางกลุ่มดอกบัวที่ตัวเรือไปไม่ถึง
“มันเหนียวแฮะ...”
กว้างขวางพึมพำหลังพยายามใช้คีมตัดก้านบัวยังไงก็ตัดไม่ขาด ทั้งดึง ทั้งยื้อกับมันอยู่นานสองนาน จนกระทั่งความหงุดหงิดก่อเกิด คนอารมณ์แอบร้อนสบถบ่นพลางโน้มตัวเข้าไปให้ใกล้มากขึ้น เรือแคนนูโคลงเคลงไปมาจนน่าหวาดเสียว
“คุณ...!!”
ซู่มมม....!
ไม่ทันได้เอ่ยปากห้ามจากผู้มีประสบการณ์ เรือสีเหลืองสดก็พลิกคว่ำ
พาเอาร่างคนสองคนตกน้ำจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณ เพียงไม่กี่วินาทีกว้างขวาง ก็ผุดขึ้นเหนือน้ำ เนื้อตัวเปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า รุ่นพี่หนุ่มปาดหยดน้ำออกจากใบหน้า มองใครอีกคนตะเกียกตะกายอยู่ไม่ไกล ก่อนจะว่ายปรี่เข้าไปคว้าต้นแขนค**ำผุดดำว่ายเพราะขายันไม่ถึง
สุดที่รักใจหายใจคว่ำเผลอคว้าต้นคอชายหนุ่มเอาไว้อย่างลืมตัว สำลักไอยกใหญ่
“ว่ายน้ำไม่เป็น?” ครั้งก่อนน้ำที่บ่อปลาหลังคณะเกษตรสูงแค่ระดับอก แต่คราวนี้น้ำสูงถึงปลายคางเขา “แล้วอวดเก่งพายเรือมาเก็บบัวคนเดียวเนี่ยนะ?”
เชื่อเขาเลย นี่ถ้าเขาไม่อยู่ด้วย แล้วเรือเกิดคว่ำจะทำยังไง
สุดที่รักสำลักจนหน้าดำหน้าแดง ทำเอาคนมองเกิดนึกสงสารเลยเลิกต่อว่า หันมาถอนหายใจแสดงท่าทีเอือมระอา ก่อนจะจับร่างบางให้หันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน มือแกร่งเปลี่ยนจากต้นแขนเป็นเอวบาง จับกระชับแน่น ก่อนดึงรั้งเข้าหาตัวเอง สุดที่รักตกใจการกระทำที่เกิดขึ้นฉับพลัน แผ่นหลังแนบสนิทกับแผ่นอก เกิดเป็นท่าทางล่อแหลมชวนให้คิด นอกจากตาแดงที่เกิดจากการสำลักไอแล้ว ยังมีใบหน้าและใบหูที่แดงก่ำขึ้นผิดหูผิดตาอย่างไร้สาเหตุอีกด้วย
“คุณจะทำอะไร?” สุดที่รักขัดขืน หันกลับไปมองคนด้านหลัง ใบหน้าคนทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงฝ่ามือกางกั้นเท่านั้น
“เก็บบัวให้เสร็จ แล้วจะพาขึ้นฝั่ง ไหนๆ ก็เปียกกันหมดแล้ว”
สุดที่รักอึกอักขัดเขิน ทำตัวไม่ถูกเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดรุ่นพี่หนุ่มที่ตนหลงปลื้ม แต่ก็พยายามไม่ให้คิดไกล จึงรีบเด็ดก้านบัวด้วยมือเปล่าตามคำสั่งของกว้างขวาง ส่วนคนอุ้มก็พาร่างบางลอยไปลอยมาตามเก็บดอกบัวอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
พลันสายตาที่เอาแต่มองดอกบัวแต่แรก บัดนี้กลับถูกต้นคอกับลาดไหล่ตรึงเอาไว้ราวกับต้องมนต์
นอกจากสายตาถูกตรึง กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายบางก็กำลังยั่วยวนชวนให้คนด้านหลังคิดไปไกลอีกด้วย
จังหวะหนึ่งมือแกร่งจงใจบีบกระชับเอวบางไว้แน่นจนเจ้าตัวส่งเสียงอึกอัก นอกจากนี้เขายังไม่ยอมปล่อยให้แผ่นหลังของรุ่นน้องหน้าหวานนัยน์ตาเศร้าห่างอ้อมแขนเขาไปไหนไกลอีกด้วย ร่างโปร่งลอยไปได้ไม่กี่เซน เขาก็ดึงกลับเข้าหาตัว ผืนน้ำกระเพื่อมไหวตลอดเวลา
สุดที่รักลนลานเมื่อจังหวะหนึ่งกายเบื้องล่างสัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่ดุนดันแข็งขืน ไม่ต้องเดาและคิดไปเองก็รับรู้ได้ว่ามันคืออะไร เขารีบเก็บดอกบัวจนได้มาเต็มกำมือ ก่อนจะตวัดกายหันกลับมาเผชิญหน้าคนตัวสูง ไม่ลืมที่จะเอาแขนคล้องคอชายหนุ่มเอาไว้ กว้างขวางพรูลมหายใจกระตุกมุมปาก
“ชอบท่านี้เหรอ?”
“ส...เสร็จแล้วครับ เรากลับฝั่งกันเถอะ”
“เสร็จแล้ว? ไวดีแฮะ”
“.........”
สุดที่รักหน้าแดงก่ำเพียงแค่ได้ยินคำพูดสองแง่สามง่ามที่กว้างขวางเย้าหยอก ท่าทีลนลานไม่ประสาทำเอาชายหนุ่มหลุดหัวเราะ สุดท้ายพยักหน้า ยอมพาสุดที่รักกลับขึ้นฝั่ง