“เด็กคนนี้ก็เป็นโรคฮีโมฟีเลียเหมือนกันเหรอครับ” ครามนึกแปลกใจที่วันนี้เจอคนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ด้วยตั้งแต่รักษาที่นี่มา ยังไม่เคยเจอใครที่เป็นโรคนี้เหมือนกับตน หรืออาจจะมี แต่มารักษาคนละช่วงเวลา เขาก็ไม่รู้ได้
สำหรับผู้ป่วยฮีโมฟิเลีย เอ ที่ครามเป็น พบหนึ่งคนต่อประชากร สองหมื่นคน จึงคาดว่าจะมีผู้ป่วยในประเทศไทยประมาณสองพันถึงสามพันคน
“ใช่ค่ะ รักสมุทรเพิ่งเข้ามารับการรักษาที่นี่ ต่อไปคุณเธลิสคงได้เจอบ่อย ๆ”
“รักสมุทรเหรอครับ” ครามสะดุดชื่อของเด็กชายตัวน้อยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน
“ใช่ค่ะ รักสมุทร” คุณหมอยิ้มให้คนไข้สุดหล่อ ก่อนจะเดินไปดูคนไข้ตัวน้อย ให้พยาบาลทำหน้าที่ต่อ โดยครามต้องฉีดแฟกเตอร์ทั้งหมดหกหลอด คอยสังเกตอาการทุกครั้งที่ยาเข้าสู่ร่างกาย
“รักสมุทร” เสียงทุ้มเบาแผ่ว นึกอยากเห็นหน้าเด็กชายตัวน้อยที่อยู่เตียงข้าง ๆ ให้เต็มตา ด้วยมีผ้าม่านกางกั้นจึงทำให้ได้ยินเพียงน้ำเสียงสดใสที่พูดคุยกับหมอ
“เจ็บนิดเดียวนะคะคนเก่ง” คุณหมอบอกคนไข้ตัวน้อยด้วยน้ำเสียงใจดี
“คลื่นยู้ฮับ คลื่นอดทงเก่ง คลื่นจะได้วิ่งเย่งกับเพื่องได้” คลื่นยินดีรับความเจ็บปวดนี้ เพื่อที่ตนจะได้วิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ ยามที่ไปโรงเรียน
“ช่างพูดจังเลย แต่ถึงยังไงก็ต้องระมัดระวังนะคะ ถ้าหกล้มอาจต้องมาเล่นกับป้าหมอที่โรงพยาบาลแทน”
“ฮับ คลื่นไม่วิ่งเย็ว ถ้าคลื่นเยือดไหล คุงแม่จะย้องไห้ คลื่นไม่อยากให้คุงแม่ย้องไห้ฮับ” เสียงเจื้อยแจ้วของคลื่น ทำให้ครามนึกถึงเพื่อนสนิทที่หายไปจากชีวิตของเขา ตั้งแต่วันที่เขาข้ามเส้นความเป็นเพื่อน เธอจะร้องไห้ทุกครั้งที่เขาได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหล แต่วันนี้ระรินกลับมาแล้ว
“เพราะคุณแม่รักและเป็นห่วงค่ะ”
“ฮับ คลื่นยู้ คลื่นก็ยักคุงแม่ฮับ ยักคุงยายด้วย ยักคุงตาที่อยู่บงฟ้าด้วยฮับ”
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ”
“คลื่นไม่มีคุงพ่อฮับ แต่คลื่นก็อยากมีคุงพ่อนะฮับ คลื่นอยากมีคุงพ่อหย่อ ๆ”
“คุณพ่อของคลื่นต้องหล่อมาก ๆ แน่เลยค่ะ เพราะคลื่นหล่อมาก”
“คุงแม่กับคุงยายก็บอกฮับว่าคลื่นหย่อ หย่อที่ฉุด”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” คำพูดของหมอทำเด็กน้อยอ้าปากเหวอ
“เจ็บเยยฮับ” ด้วยความที่คุยกับหมอเพลิน ทำให้คลื่นไม่ได้สนใจเข็มที่ทิ่มแทงตัวเอง พอเห็นเข็มที่อยู่ในแขนจึงรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที
“เจ็บนิดเดียวเองเนอะ เดี๋ยวพี่พยาบาลจะฉีดยาให้นะคะคนเก่ง แค่สองไซริงค์เอง แป๊บเดียวก็เสร็จค่ะ ป้าหมอขอตัวไปดูคนไข้คนอื่นก่อนนะคะ” คลื่นต้องได้รับแฟกเตอร์ทั้งหมดสองหลอด ตามปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกายและระดับความรุนแรงของโรค
“ฮับป้าหมอคงฉวย”
“พูดเก่งแล้วยังจะปากหวานด้วย” หมอเอ็นดูคนไข้ตัวน้อยเป็นอย่างมาก แม้จะเกิดมาพร้อมโรคประจำตัว แต่ก็ยังสดใสได้
“เด็กผู้ชายที่มารับแฟกเตอร์พร้อมผมกลับไปแล้วเหรอครับ” ครามสอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับของโรงพยาบาล ด้วยจำนวนแฟกเตอร์ที่ต้องฉีดเข้าร่างกายมากกว่า ทำให้เขาออกมาจากห้องตรวจช้ากว่าเด็กชายตัวน้อย
“คุณยายน้องเพิ่งมาชำระเงินไปเมื่อสักครู่ค่ะ”
“อ๋อครับ ขอบคุณครับ” เพราะชื่อ รักสมุทร ทำให้ครามนึกอยากเห็นหน้าเด็กน้อยที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับเขา และเสียงเจื้อยแจ้วที่สดใสนั้นก็ช่างคุ้นหู
ครามทำธุระส่วนตัวยังห้องน้ำของโรงพยาบาล เขาเดินมาที่อ่างล้างมือ ส่องกระจกสำรวจใบหน้า กดสบู่เหลว ทำความสะอาดมือนั้น รู้สึกเหมือนกำลังถูกเลียนแบบท่าทางอยู่ตลอดเวลา จึงหันไปมองก็พบกับเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารัก เรียกได้ว่าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้
“นี่ฮับ” เด็กชายตัวน้อยหยิบกระดาษทิชชูยื่นไปให้คราม แล้วจึงหยิบสำหรับตัวเอง เขารับมาโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของเด็กน้อย
ครามมองเด็กน้อยที่เป็นเหมือนเงาสะท้อนในกระจกของตัวเอง ท่วงท่าล้วนถอดแบบเขามาเลยก็ว่าได้
“คุงยุงหย่อจังเยยฮับ” หลังจากเช็ดมือเสร็จ เด็กชายตัวน้อยก็ก้าวเท้ามายืนแหงนหน้ามองเขา
“ครับ” ครามกระตุกยิ้มกับคำเยินยอของเด็กน้อย ดีใจที่ได้เห็นเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วคนไข้เตียงข้าง ๆ
“คุงยุงมีแฟงยังฮับ”
“ยังครับ” ครามไม่ได้โกหก สำหรับเขา พลอยก็เป็นเพียงคู่หมั้นในนาม ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาเลย
“คุงยุงมาเป็นแฟงคุงแม่ของคลื่นไหมฮับ”
“หาแฟนให้คุณแม่อยู่เหรอครับ”
“คลื่นอยากมีคุงพ่อหย่อ ๆ ฮับ คลื่นต้องไปแย้ว คุงยายยออยู่ ไปนะฮับคุงยุงฉุดหย่อ” คลื่นนึกขึ้นได้ว่าหากตนหายมานาน คนเป็นยายก็จะเป็นห่วง แม้จะอยากคุยกับคุณลุงสุดหล่ออีกก็ตาม แต่ก็ต้องโบกมือร่ำลา
ครามโบกมือตอบเด็กชายตัวน้อย ความรู้สึกเหมือนเคยได้ยินเสียงสดใสนี้ และนึกไปถึงลูกชายของระรินที่เขาไม่มีโอกาสเห็นหน้า ได้ยินแต่เพียงเสียง เพราะตัวเธอบดบังลูกน้อยไว้
ครามยืนมองเด็กชายตัวน้อยที่ถูกจับจูงมือจากคนที่น่าจะเป็นยาย ขึ้นไปบนรถแท็กซี่ แต่เมื่อได้เห็นเสี้ยวหน้าของหญิงสูงวัย ก่อนที่ประตูรถจะปิดลง ทำให้ครามวิ่งออกไป อยากเห็นใบหน้าคลับคล้ายคลับคลานั้น ว่าจะเป็นคนเดียวกับที่เขาคิดหรือเปล่า แต่ก็ไม่ทันการณ์ เมื่อรถแท็กซี่คันดังกล่าวได้เคลื่อนตัวออกไปแล้ว
ระรินเงยหน้ามองตึกสูงระฟ้า อันเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ Thales Group เธอสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมความมั่นใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในอย่างมาดมั่น
“สวัสดีค่ะ ดิฉันมาสัมภาษณ์งานตำแหน่งเลขานุการที่นัดไว้ค่ะ” ระรินแจ้งความจำนงต่อพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ฝ่ายประชาสัมพันธ์
“คุณระรินรัก บวรกานต์ นะคะ” พนักงานอ่านรายชื่อผู้ที่จะมาติดต่อสัมภาษณ์ในตำแหน่งงานที่แจ้ง ก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างเป็นมิตร
“ใช่ค่ะ” เมื่อได้รับความเป็นมิตร ระรินก็ยิ้มและตอบกลับอย่างเป็นมิตรเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้น เชิญตามมาทางนี้เลยค่ะ ดิฉันจะพาไปพบผู้จัดการฝ่ายบุคคล” พนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์เดินนำระรินไปยังฝ่ายบุคคล
“คุณรุจารีคะ คนที่นัดสัมภาษณ์ตำแหน่งเลขาฯ ท่านประธานมาแล้วค่ะ” พนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์แจ้งเรื่องต่อผู้จัดการฝ่ายบุคคล
“ขอบใจเธอมาก ระรินรักใช่ไหม” รุจารีพูดกับพนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะถามระริน สายตาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
“ใช่ค่ะ ดิฉันระรินรัก บวรกานต์” ระรินพยายามควบคุมตัวเอง ขจัดความประหม่า คิดแต่เพียงว่าต้องทำให้ดีที่สุด หากเธอได้ทำงานที่นี่ เธอจะได้เป็นหลักของครอบครัว ดูแลแม่กับลูกให้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้
“นั่งสิ”
“ค่ะ” ระรินพยายามไม่สนใจสายตาดูถูกดูแคลนที่มองมา ไม่เข้าใจว่าคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก ทำไมต้องแสดงกิริยาเยี่ยงนี้ต่อกัน ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าเธอจะได้เข้ามาทำงานที่นี่หรือเปล่า
“วุฒิการศึกษาแค่ปริญญาตรี ไม่มีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งเลขานุการมาก่อน” ระรินมั่นใจแล้วว่าเธอไม่ได้คิดไปเอง หญิงวัยกลางคนตรงหน้า ที่มีตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลนี้ กำลังสบประมาทความสามารถของเธอจากวุฒิการศึกษา และความไร้ประสบการณ์การทำงานของเธอ
“ถึงดิฉัน...”
“ไม่ต้องพูด ฉันไม่ได้เป็นคนสัมภาษณ์เธอ”
“ค่ะ” ระรินยังคงไม่เข้าใจ ไม่ได้มีหน้าที่มาสัมภาษณ์เธอ แล้วทำไมต้องทำเป็นไม่พอใจเธอด้วย
“ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมคุณเธลิสถึงเลือกเธอ คนที่วุฒิการศึกษาดีกว่านี้ มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า กลับไม่เลือก แต่มาเลือกเธอ” ระรินรู้สึกว่าหญิงวัยกลางคนตรงหน้า ไม่ได้จะถามเธอ แต่กำลังพูดด้วยความคาดไม่ถึงที่เธอเป็นคนที่ถูกเลือก แทนคนที่เพียบพร้อมทั้งการศึกษาและประสบการณ์
“ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนสัมภาษณ์ดิฉัน ไม่ทราบว่าดิฉันจะต้องไปสัมภาษณ์กับใคร และสัมภาษณ์ที่ไหนคะ” ระรินไม่อยากทนฟังถ้อยคำกระทบกระเทียบที่บั่นทอนจิตใจ และทำลายความมั่นใจของเธอจากคนตรงหน้าอีกแล้ว
“เธอไปรอที่ห้องประชุมณชเล คุณเธลิสจะเป็นคนสัมภาษณ์เธอเอง” รุจารีบอกเพียงเท่านั้น ก่อนจะหมุนเก้าอี้หันหลังให้ระริน ทำเป็นค้นหาเอกสาร
“แล้ว...” ระรินตั้งใจจะถามว่าห้องประชุมที่ว่านี้อยู่ส่วนใดของสำนักงานอันกว้างใหญ่ แต่ก็อ้าปากพูดได้เพียงเท่านี้
“ไปสิ” สายตาที่ตวัดมองมาทำให้ระรินไม่คิดจะถามอะไรอีก คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้ว่าห้องประชุมณชเลอยู่ส่วนใดของที่นี่