“เจินเจิน เจ้ายังไม่เลิกบ่นข้าอีกหรือ” ใบหน้างามฉายแววเบื่อเล็กน้อยเหมือนที่เฟิ่งหงคนก่อนทำ ในความทรงจำทั้งสามคนสนิทกันมาก
“เจินเอ๋อร์บ่นเจ้าก็ถูกแล้ว รีบกินยาบำรุงก่อนเถิด” ชายหนุ่มหนึ่งเดียวในห้องหันไปรับถ้วยยามาจากมือบางของเพื่อนสมัยเด็ก ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงแล้วหยิบช้อนคนยาในถ้วยเบาๆ ริมฝีปากสีสวยเป่ายาให้หายร้อน การกระทำทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติราวกับว่าการดูแลเฟิ่งหงคือสิ่งที่ทำมาตลอด โดยที่ชายหนุ่มไม่ได้รู้เลยว่าใบหน้าหญิงสาวด้านหลังเศร้าหมองเพียงใด
“อาเหว่ย ข้าโตแล้ว ดูแลตนเองได้” เธอหยิบชามยาบำรุงมาจากมืออีกฝ่าย ก่อนจะยกซดทีเดียวจนหมด เธอต้องเริ่มขีดเส้นความสัมพันธ์ของคนทั้งสามให้ชัดเจน มิเช่นนั้นจะกลายเป็นเรื่องดราม่าเอาได้ เท่าที่ดูเพราะโดนดูแลจนเป็นความเคยชิน เฟิ่งหงคนก่อนจึงไม่ได้ปฏิเสธการปฏิบัติเช่นนี้อย่างชัดเจน อีกทั้งนางยังคิดว่าชายผู้นี้ดูแลตนในฐานะพี่ชายเท่านั้น
สวีหวังเหว่ยที่โดนปฏิเสธครั้งแรกถึงกับร่างกายแข็งค้าง เขาทำอันใดผิดไปรึไม่ เร็วเท่าความคิดเสียงทุ้มต่ำก็ถามออกไป
“หงเอ๋อร์ เจ้าโกรธอันใดข้าหรือไม่” ใบหน้าคมสันหมองลงไม่น้อย ถ้ามีหูและหางมันต้องลู่ลงอย่างน่าสงสาร ทำเอาเฟิ่งหงคิดถึงเจ้าโกลเด้นรีทริฟเวอร์ที่บ้านของเธอในชีวิตก่อนขึ้นมา
“เจินเอ๋อร์ ข้าคิดถึงขนมดอกไม้ของเจ้านัก เจ้าช่วยทำให้ข้าหน่อยจะได้รึไม่” เธอไม่ได้ตอบคำถามคนด้านข้าง แต่หันไปคุยกับหญิงสาวอีกคนแทน
“เอ่อ ได้สิ ข้าจะรีบไปทำมาให้นะ” เซี่ยจินเจินมองหน้าทั้งสองคนไปมา ก่อนจะรับคำแล้วออกจากห้องไปทันที หลังจากอยู่กันเพียงลำพังเฟิ่งหงก็หันไปสบตาบุรุษที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ตน
“ข้าไม่ได้โกรธเคืองอันใด เหตุไฉนจึงถามเช่นนั้น” มือบางยกผ้าเช็ดหน้าซับรอบริมฝีปากอิ่ม ท่าทางเฉยเมยนั่นทำเอาใจแกร่งสั่นไหว
“ปกติเจ้ามิเคย…” คนตัวโตมีอาการอึกอัก กลัวว่าถ้าท้วงไปแล้วอีกฝ่ายจะรู้ถึงความรู้สึกเบื้องลึกในใจของเขา
“อาเหว่ย…ข้าอายุ 16 หนาวแล้ว ถือว่าอยู่ในวัยออกเรือน ข้าคงไม่สามารถให้ ‘พี่ชาย’ ของข้าดูแลได้ตลอดไปกระมัง อีกอย่างเจ้าเป็นถึงรองเจ้าสำนัก มิควรมาดูแลหญิงอื่นที่มิใช่ฮูหยินของเจ้า ในฐานะ ‘น้องสาว’ ข้าจะไม่ปล่อยให้มีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับพี่ชายของข้าเด็ดขาด” ดวงตาหงส์ฉายแววจริงจังจนสวีหวังเหว่ยหวาดหวั่น
“หงเอ๋อร์ ข้า…” ความรู้สึกหลายปีที่ผ่านมาเหมือนถูกอีกฝ่ายมองออกจนหมดสิ้น ชายหนุ่มไม่รู้จะกล่าวอันใดในเวลาเช่นนี้
“อาเหว่ย ข้าดีใจที่มีเจ้าเป็นพี่ชายเสมอมา แต่ข้าคงมิอาจรับความรู้สึกที่มากกว่านั้นได้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ” เมื่อเห็นว่าการพูดอ้อมค้อมไปมาคงไม่ทำให้บุรุษตรงหน้าเข้าใจได้ง่าย เธอจึงเลือกที่จะกล่าวไปตามตรง แน่นอนว่าคำพูดของเธอทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง
“เจ้ารู้” ใบหน้าชายหนุ่มซีดเผือด มิคิดว่านางจะล่วงรู้ความรู้สึกตนได้ เพราะที่แล้วมาก็เหมือนว่านางจะไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าจมอยู่กับความรู้สึกที่เป็นทางตัน แต่ถ้าเจ้าจะเหลียวมองข้างกาย มีคนที่พยายามทุ่มเทให้เจ้าอยู่เช่นกัน เอาล่ะ ข้าคงจบเรื่องนี้เพียงเท่านี้” กล่าวจบร่างบางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนก็เขยิบตัวลงนอนจนคนที่นั่งข้างๆ ต้องลุกขึ้น ริมฝีปากหยักอ้าๆ หุบๆ อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดดี
“เช่นนั้นพักผ่อนให้มาก งานในสำนักส่วนของเจ้าข้าจัดการวางไว้ที่เดิมแล้ว” สวีหวังเหว่ยเดินออกจากห้องด้วยใจที่หนักอึ้ง สิ้นเสียงปิดประตูคนในห้องก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“อ๊ะ หงเอ๋อร์ล่ะ” เซี่ยจินเจินที่นำขนมดอกไม้มาให้เพื่อนในวัยเด็กเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเปิดประตูออกมาจากห้อง
“หลับไปแล้วน่ะ” ใบหน้าคมหม่นลงจนหญิงสาวรู้สึกไม่ดี
“สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย กินขนมดอกไม้สักหน่อยดีหรือไม่ ความหวานจะช่วยให้เจ้าสดชื่นขึ้นนะ!” เสียงหวานสดใสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน่ารัก
‘ถ้าเจ้าจะเหลียวมองข้างกาย มีคนที่พยายามทุ่มเทให้เจ้าอยู่เช่นกัน’
ฉับพลันประโยคที่สตรีในดวงใจเอ่ยทิ้งไว้ก็ดังขึ้นมาในหัว ดวงตาคมสบมองดรุณีน้อยเบื้องหน้า ในความทรงจำไม่ว่าเขาทำสิ่งใดมักจะมีร่างน้อยๆ ของนางอยู่เคียงข้างเสมอ คอยเอาใจใส่ เป็นห่วง แต่เขาคงมองไม่เห็นเพราะสายตาของเขาไปอยู่กับเด็กน้อยอีกคน
“นั่นสิ บางทีของหวานอาจจะช่วยให้ดีขึ้นได้” ชายหนุ่มกล่าวออกไปเหมือนกล่าวกับตนเองไปด้วย มิใช่ว่าเขาเพียงโดนบอกปัดครั้งเดียวแล้วไม่พยายามเพื่อให้ได้อีกฝ่ายมาครอบครอง หากแต่เพราะเติบโตมาด้วยกันจึงรู้ดียิ่งกว่าใครว่านางเป็นสตรีที่เด็ดขาดเพียงใด เพราะขึ้นสู่ตำแหน่งอันสูงสุดของสำนักจึงถูกบ่มเพาะการตัดสินใจอันเฉียบแหลมมาตั้งแต่ยังเยาว์ ดังนั้นคำตอบที่นางให้แก่เขาคือความรู้สึกของเขาที่มีให้นางมัน ไม่มีทางเป็นไปได้
“งั้นเจ้ารับไปเถิด แล้วอย่าลืมพักผ่อนให้มากนะ” หญิงสาวยื่นจานขนมให้อีกฝ่าย แม้นางจะมีใจให้เขาแต่นางก็เคารพความรู้สึกของเขาเช่นกัน นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้มีใจให้เจ้าสำนักที่เป็นเพื่อนในวัยเด็กของเรา คราแรกความรู้สึกของนางเต็มไปด้วยความอิจฉา ริษยา เสียใจ และทุกข์ทน หากแต่เมื่อมองย้อนกลับมาที่ตนเอง ก็คิดได้ว่าเราไม่สามารถบังคับความรู้สึกได้ ขนาดตัวนางยังไม่สามารถบังคับความรู้สึกของตนได้เลย นางจึงทำได้เพียงคอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ
“อืม…งั้นเราไปนั่งกินขนมที่ศาลากันดีรึไม่” ประโยคนี้ของคนตัวโตทำเอาดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปกติชายหนุ่มจะเว้นระยะห่างกับสตรีเสมอยกเว้นเพียงเจ้าสำนักเท่านั้น
“ดะ ได้สิ” ใบหน้านวลแดงเรื่อจนลามไปถึงลำคอ แค่ได้ใช้เวลาร่วมกันอีกนิดกับบุรุษที่ตนปักใจนางก็รู้สึกมีความสุขจนหัวใจพองโต
สวีหวังเหว่ยยิ้มขำให้กับตนเอง นางก็แสดงออกชัดถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาตาของเขาไม่มีไว้มองหญิงอื่นจริงๆ ถึงยามนี้จะไม่ได้รู้สึกอะไรกับนางไปมากกว่าเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าเขาจะพยายามเปิดใจรับคนที่รักเราเพื่อที่จะได้ไม่ต้องวิ่งตามความรักให้เหนื่อยเพียงลำพังก็คงเป็นเรื่องดีกระมัง
เมื่อได้อยู่เพียงลำพังอีกครั้งจางเฝ**นลู่หรือเฟิ่งหงในตอนนี้ก็มานั่งครุ่นคิด สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้มีสิ่งใดบ้าง
“ต่อจากนี้คงไม่มีทางให้หวนกลับไปแล้ว คงต้องทำใจว่าฉันคือเฟิ่งหงสินะ” เธอถอนใจอย่างทดท้อ การแสดงเพียงชั่วครั้งชั่วคราวมันก็สนุกดีอยู่หรอก แต่จะให้มาแสดงเป็นคนอื่นทั้งชีวิตมันก็ไม่ใช่เรื่องสนุกอีกต่อไป แม้จะมีความทรงจำของอีกคนแต่เธอก็คือเธอ บุคลิกของเธอไม่ได้เปลี่ยนหรือถูกผสมปนเปไปอย่างที่นางเอกในนิยายเรื่องนั้นได้บอกเอาไว้ ความรู้สึกและสภาวะทางจิตใจเองก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ภาพเรื่องราวที่ไหลเข้ามาในหัวเหล่านั้นเธอเพียงแค่รู้สึกเหมือนดูหนังเรื่องหนึ่งเท่านั้น
“ต่างคน ต่างรูปแบบสินะ” จิตใจของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ไม่แปลกหรอกที่แต่ละคนจะแบกรับปัญหาและเรื่องราวได้ต่างกัน เธอในตอนนี้ยังคงเป็นเธออย่างสมบูรณ์ และเป้าหมายของเธอที่ชัดเจนที่สุดคือการ ตามหาผู้ชาย! เอ้ย ตามหาท่านอ๋องต่างหาก!
“เดี๋ยวนะ…แล้วท่านอ๋องอยู่ตรงไหนของโลกนี้ล่ะเนี่ย!” เฟิ่งหงยกมือบางกุมศีรษะ เธอมัวแต่ดราม่าสงสารชินอ๋องเจิ้นเทียนจนรายละเอียดอื่นแทบไม่เข้าหัว ดวงตาหงส์หลับลงพยายามนึกเนื้อหานิยายที่ตนเพิ่งอ่านผ่านตามาไม่นาน