อ้ายเจินพยักหน้าก่อนจะถามหนิงเหมยจูด้วยความเขินอายเพราะเธอชอบชุดที่หนิงเหมยจูนั้นใส่ ทั้งสองครั้งที่เจอกัน แบบชุดนั้นดูสวยแปลกตา
"เหมยจูป้าถามหน่อยว่าเราซื้อเสื้อผ้ามาจากไหน"
"ป้าเจินสนใจแบบเหรอคะ ชุดนี้ฉันให้แม่ตัดให้ ถ้าป้าสนใจฉันให้แม่ช่วยตัดให้เอาไหม" จริงๆ แล้วเธอเอามาจากในมิติ แต่เธอเองก็มีแบบชุดของยุคนี้เยอะมาก และเท่าที่เธอจำได้ แม่ของเธอนั้นตัดชุดได้สวยมากหากมีรายได้ให้แม่ แม่เธอคงดีใจไม่น้อย แต่ช่วงก่อนที่บ้านจะเสร็จเธอคงเอามาจากมิติขายก่อน
"จริงเหรอ แล้วแม่ของเหมยจูมีร้านส่งขายหรือเปล่า ถ้าหากไม่มีที่ขาย สามารถเอามาขายส่งที่ร้านป้าได้นะ ป้ารับหมดเลย ถ้าแม่ตัดเสร็จแล้วเอามาขายป้าได้นะ" อ้ายเจินเชื่อว่าหนิงเหมยจูคงจะหาผ้าดีๆได้ เพราะแม้แต่รถเข็นคนป่วยสองคันนี้เธอยังหาได้ ถ้าเรื่องผ้าคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ
"ได้ค่ะป้าเจิน ยังไงฉันจะลองเอามาให้ดูครั้งหน้านะวันนี้ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ หากป้าเจินต้องการรถเข็นป้าเจินให้คนไปหาฉันที่หมู่บ้านได้นะคะ" หนิงเหมยจูรับคำ หากเป็นช่องทางหาเงินเธอไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือหรอก
เมื่อออกมาจากร้านของป้าอ้ายเจินแล้ว หนิงเหมยจูจึงเดินออกมาหาที่ที่ไม่มีคน จากนั้นเธอจึงเอาจักรยานออกมาหนึ่งคัน ก่อนจะปั่นไปที่ห้างสรรพสินค้า แต่ก่อนที่จะถึงห้างสรรพสินค้าเธอเห็นโรงหนัง ข้างๆ กันมีร้านให้เช่าเป็นร้านไม่ใหญ่มากเจ้าของร้านกำลังติดป้ายอยู่ ตรงนี้น่าจะเปิดเป็นร้านโชห่วยจริงๆ อีกทั้งของในมิติก็มีมากเอาออกมาใช้ไม่มีวันหมด ยิ่งเครื่องดื่มบางอย่างเพียงแค่เอาสลากออกก็จบแล้ว พอคิดได้แบบนั้นหนิงเหมยจูไม่รอช้าจึงปั่นจักรยานเข้าไปติดต่อที่ร้านนั้นทันที
"เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณลุงคุณป้าเป็นเจ้าของร้านนี้หรือเปล่าคะ" หนิงเหมยจูถามลุงกับป้าที่กำลังเดินออกมาจากร้านนี้
"ใช่ เธอสนใจร้านนี้เหรอ" ลุงผู้ชายเป็นคนถาม
"ใช่ค่ะ ฉันสนใจ แต่ว่าให้เช่าเดือนเท่าไหร่คะ"
"ลุงให้เช่าเดือนละยี่สิบหยวน แต่ใจจริงลุงอยากจะขายเพราะลุงย้ายไปอยู่กับลูกที่ต่างมณฑล เธอสนใจจะซื้อหรือเช่า ถ้าซื้อลุงขายหนึ่งพันสองร้อยหยวน ลุงไม่เอาอะไรในร้านไปเลยสักย่าง ร้านนี้เปิดเป็นร้านโชห่วยมาก่อน ขายดีนะ คนมาดูหนังก็ซื้อขนมและเครื่องดื่มจากร้านลุงทั้งนั้น แต่โทรศัพท์เธอต้องไปขอเอง ลุงจะไปยกเลิกเพราะเป็นชื่อของลุง" ร้านนี้ของเขาเปิดมานานแล้ว อีกทั้งยังให้บริการโทรศัพท์ด้วยรายได้แต่ละเดือนเยอะอยู่เหมือนกัน หากไม่ต้องย้ายไปอยู่กับลูก เขาไม่มีทางขายร้านนี้เด็ดขาด
"ลุงช่วยเปิดร้านให้ดูหน่อยได้ไหมคะ ถ้าเกิดฉันตัดสินใจซื้อต้องพรุ่งนี้นะ ฉันไม่ได้เอาเอกสารอะไรมาจากบ้านเลย" หนิงเหมยจูไม่คิดว่าตัวเองจะซื้อร้านค้า เลยไม่ได้เตรียมเอกสารอะไรมาด้วย ใครจะคิดว่าเธอโชคดีแบบนี้
เมื่อลุงและป้าเจ้าของร้านเปิดให้ดู ทำให้หนิงเหมยจูพอใจมากเพราะด้านในยังมีของหลายอย่าง แม้แต่ขนมของกินที่ขายก็ยังมีอยู่ เพียงแค่ไม่มีตู้เย็นมีแต่ลังน้ำแข็งเท่านั้น แต่ในมิติเธอมี ตู้แช่ยังมีเลยเพราะเธอขี้เกียจจิ้มของในตู้แช่ทีละอย่างเธอจึงเอามาทั้งหมด ดีแล้วไม่เสียเที่ยวที่แอบเอามาจากห้างสรรพสินค้ายุคของเธอ แม้แต่เครื่องทำน้ำแข็งเธอก็เอามา
"ตกลงค่ะลุง ฉันขอซื้อร้านนี้ในราคาที่ลุงเสนอมา ว่าแต่ลุงต้องการให้ฉันวางมัดจำก่อนไหม"
"ไม่เป็นไร เราเจอกันพรุ่งนี้ทีเดียว ที่สำนักงานที่ดินนะ จะทำการโอนกรรมสิทธิ์เป็นของเธอเลย" ลุงเจ้าของร้านเชื่อใจเธอ เขามองเห็นแววตาที่เป็นประกายของหญิงสาวคนนี้และเชื่อว่าพรุ่งนี้เธอต้องมาตามนัดแน่นอน
"ขอบคุณมากนะคะ วันนี้ฉันกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ฉันจะรีบมา" หนิงเหมยจูบอกลุงและป้าเจ้าของร้าน จากนั้นจึงได้เดินออกจากร้านมาแล้วรีบกลับบ้านบอกข่าวดีนี้กับทุกคน ตอนนี้ห้างสรรพสินค้าเธอไม่ไปมันแล้ว ค่อยไปวันหลังรีบเอาข่าวดีนี้ไปบอกคนที่บ้านก่อน
หนิงเหมยจูปั่นจักรยานกลับด้วยรอยยิ้ม ตลอดระยะทางที่ขี่กลับมาบ้านเธอไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ชาวบ้านที่เห็นเธอปั่นจักรยานคันใหม่มานั้นต่างก็เมียงมองด้วยความสนใจ ไม่คิดว่าสะใภ้สี่บ้านตงจะใช้เงินฟุ่มเฟือยแบบนี้ กู้เปียวอ้ายสะใภ้ใหญ่บ้านตงเมื่อเห็นว่าสะใภ้สี่เธอที่แสนจะเกลียดขี่จักรยานคันใหม่เข้ามาในหมู่บ้านเธอเกิดความไม่ยินยอมและไม่พอใจ ที่สะใภ้สี่ได้ดีกว่าเธอทั้งๆ ที่สามีกลายป็นคนพิการไปแล้ว จึงได้รีบวิ่งกลับไปบอกแม่สามีที่บ้าน
หนิงเหมยจูขี่จักรยานมาถึงบ้านก็ร้องเรียกน้องชายให้ออกมาเปิดประตูให้ "ฮุ่ยหมิน เปิดประตูให้พี่หน่อย พี่กลับมาแล้ว"
หนิงฮุ่ยหมินและเสี่ยวลู่รีบวิ่งออกมาเปิดประตูพอเห็นว่ามีจักรยานมาด้วยทั้งสองคนแสดงสีหน้าตื่นเต้นกันใหญ่
"แม่ขา นี่จักรยานบ้านเราเหรอ" เสี่ยวลู่แสดงอาการดีใจ สร้างความเอ็นดูให้กับคนเป็นแม่มาก
"คันนี้ของน้าฮุ่ยหมินไว้ขี่ไปโรงเรียน พรุ่งนี้แม่จะเข้าอำเภออีกครั้ง มีของหนูด้วยนะ เขาให้แม่ไปเอาพรุ่งนี้ ฮุ่ยหมินนายพาหลานไปปั่นจักรยานเล่นได้นะ แต่เสี่ยวลู่ต้องเกาะเอวน้าฮุ่ยหมินให้แน่นนะลูก ห้ามปล่อยมือเด็ดขาด"
หนิงเหมยจูเห็นแววตาทั้งสองคนเปล่งประกายเลยออกปากให้ไปขี่รถเล่น สองคนน้าหลานไม่รอให้บอกเป็นครั้งที่สอง หนิงฮุ่ยหมินอุ้มหลานตัวน้อยขึ้นด้านหลังก่อนที่ตัวเองจะรีบขี่พาหลานไปเที่ยวรอบหมู่บ้าน
"แม่ พี่ซีเฉิน ฉันมีข่าวดีมาบอกด้วย" หนิงเหมยจูมองดูน้องและลูกสาวขี่รถออกไปแล้วก็รีบเดินเข้าบ้านด้วยรอยยิ้มที่สดใส
"มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ดูอารมณ์ดีเชียว" ฟู่เจียจิ่นเอ่ยถาม
"หนูโชคดีมากวันนี้ขายรถเข็นได้เจ็ดคัน แถมยังซื้อร้านค้าได้อีก แล้วยังหางานให้แม่ได้อีกด้วย"
"หืม ซื้อร้านค้าแล้วเงินพอหรือเปล่าลูกเอาของแม่ไปก่อนไหม" ฟู่เจียจิ่นดีใจไปกับลูกแต่ก็กลัวว่าเงินลูกจะไม่พอ จึงเอ่ยปากบอกว่าให้เอาเงินตัวเองไปใช้ก่อน
"พอสิคะแม่ พี่ซีเฉินให้เงินหนูมาแล้ว และกำไรที่ได้จากขายรถเข็นก็เยอะอยู่ค่ะ ร้านค้าขายแค่หนึ่งพันสองร้อยหยวน หนูตั้งใจว่าจะเปิดเป็นร้านโชห่วยเหมือนร้านเก่าเพราะอยู่ติดกับโรงหนังค่ะ"
"ส่วนอีกเรื่อง พี่ซีเฉินจำป้าเจินได้ไหม คนที่เดินเข้ามาถามเรื่องรถเข็นคนแรก" ตงซีเฉินพยักหน้าให้ภรรยา เขาจำได้ ป้าอ้ายเจินเป็นคนเสนอราคารถเข็นให้เอง
"นั่นแหละค่ะ ป้าเจินสนใจแบบชุดที่ฉันใส่ ฉันพอออกแบบได้ แล้วจะให้แม่เป็นคนตัด ถ้าแม่ตัดเสร็จแล้วก็เอาไปขายให้กับป้าเจินได้เลย ป้าเจินรับซื้อทั้งหมด อยู่ที่ว่าแม่จะตัดเย็บได้เท่าไหร่"
ฟู่เจียเจินได้ยินที่ลูกสาวบอกเธอยิ้มดีใจ ในที่สุดเธอจะได้ใช้ความสามารถของตัวเองหาเงินเสียที ปกติเธอจะเย็บให้ลูกๆ ใส่เท่านั้น ต่อไปเธอไม่ต้องเก็บงำความสามารถที่มีอีกแล้ว
"จริงเหรอเหมยจู ลูกสามารถหาจักรเย็บผ้าให้แม่ได้ไหม ถ้าเย็บมือมันจะได้น้อย ใช้จักรเย็บได้มากกว่า เอาอย่างนี้ เดี๋ยวแม่จดรายการว่าแม่ต้องการผ้าสีอะไรและด้ายสีอะไร แม่ขอเนื้อผ้าดีที่สุด ถ้ามีลายด้วยก็ดี จักรเย็บผ้าเขาขายเท่าไหร่ แต่ของลูกไม่ต้องใช้คูปองใช่ไหม" ฟู่เจียจิ่น ไล่รายการสิ่งที่อยากได้ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น ก่อนจะวิ่งกลับไปที่ห้องแล้วหยิบเงินมายื่นให้กับลูกสาว
"อะไรคะแม่" หนิงเหมยจูถามอย่างสงสัยแม่จะส่งเงินมาให้เธอทำไม
"เงินไง เหมยจูถามแปลก แม่ฝากลูกซื้อของตามรายการแม่ก็ต้องจ่ายเงิน ถ้าเหมยจูไม่รับเงินก็ไม่ต้องเอาอะไรมาทั้งนั้น ในเมื่อแม่คิดที่จะตัดชุดขายแม่ก็ต้องจ่ายเงินลงทุน ลูกเขยเห็นด้วยกับแม่ไหม" ฟู่เจียจิ่นยัดเงินใส่มือให้ลูกสาว ก่อนจะหันมาขอเสียงสนับสนุนกับลูกเขย ตงซีเฉินนั้นคิดเรื่องบางอย่างอยู่คนเจียวจึงทำให้เขาใจลอย แต่กลายเป็นว่าฟู่เจียจิ่นคิดว่าลูกเขยน้อยใจที่เขาต้องนั่งเก้าอี้รถเข็นและไม่สามารถช่วยงานอะไรได้ จึงได้พูดปลอบใจ
"ซีเฉินลูกไม่ต้องเสียใจนะ ซีเฉินช่วยแม่ตัดผ้าก็ได้ หรือไม่หากเราสร้างบ้านเสร็จแล้ว แม่ตั้งใจจะให้เหมยจูสร้างร้านเล็กๆ ตรงหน้าบ้านเราเปิดร้านโชห่วยเล็กๆ ชาวบ้านเองส่วนมากก็ต้องเข้าอำเภอไปซื้อของอยู่แล้ว หากเรามีของมาขายชาวบ้านคงจะซื้อกับเรา ขายแพงกว่าหน่อยคงไม่เป็นไร"
"จริงด้วยพี่ซีเฉิน ยังไงฉันกำลังจะเปิดร้านโชห่วยในอำเภออยู่แล้วเราสั่งของมาทีเดียวและแบ่งมาสองร้าน เราไม่ต้องขายแพง เพราะเราซื้อมาราคาทุน" หนิงเหมยจูเห็นด้วยกับแม่ ใจจริงในอนาคตเธอตั้งใจจะชวนทุกคนไปอยู่ในอำเภอ แต่ว่าคงอีกสักปีสองปี รออะไรให้มันดีขึ้นกว่านี้เสียก่อน
"ผมยังไงก็ได้ครับ เอาแค่เหมยจูตกลงผมก็เห็นด้วยทั้งนั้น" ตงซีเฉินยิ้มตอบ ใจจริงของเขากำลังกังวลและแปลกใจเรื่องขาของตัวเอง มันเป็นไปได้เหรอที่เขากินยาจากโรงพยาบาลแค่วันเดี๋ยวจะสามารถทำให้เขาลุกขึ้นยืนและเดินได้แบบนี้ แต่เขาเลือกที่ยังไม่บอกใครเพราะไม่แน่ใจว่าปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับเขานั้น เกิดขึ้นเพราะอะไร หรือเพราะเกิดจากอาหารที่ภรรยาของเขาทำให้กินเมื่อวาน
บ้านตง
"แม่ แม่สามีอยู่ไหน" กู้เปียวอ้ายรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาที่บ้านก่อนจะร้องเรียกหาแม่สามีเสียงดัง
"มีอะไรสะใภ้ใหญ่ โวยวายอะไรกัน" แม่เฒ่าตงเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าไม่พอใจ เธอกำลังนอนแต่เสียงของสะใภ้ใหญ่ทำให้เธอต้องตื่นขึ้นมา
"บ้านสี่ค่ะแม่บ้านน้องสี่ นังเหมยจูซื้อจักรยานคันใหม่กลับมา" สะใภ้ใหญ่บอกแม่สามีด้วยอาการเหนื่อยหอบจากการรีบวิ่งกลับมาบอกเรื่องนี้
"อะไรนะ เธอบอกกว่านังสะใภ้สี่มันซื้อจักรยานมา ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องไปบ้านสี่ มันกล้าซื้อจักรยานได้ยังไง แทนที่จะเอาเงินมาเลี้ยงดูพ่อแม่ อกตัญญูจริงๆ ไปตามสะใภ้รองมาฉันจะไปบ้านเจ้าสี่"
แม่เฒ่าตงทำหน้าตาบิดเบี้ยวไม่พอใจ กล้าดียังไงซื้อจักรยานแต่ไม่ยอมเอาเงินมาให้พ่อแม่ แต่เธอลืมไปว่าเธอและลูกชายคนที่สี่นั้นได้ทำเรื่องแยกบ้านไปนานแล้ว
********************