บทที่ 30 แผนการของคนเห็นแก่ตัว

2070 คำ
อ้ายเจินพอรู้ว่าสหายรุ่นน้องคนนี้เป็นหม้ายก็ดีใจ แต่พอคิดถึงน้องชายที่ขังตัวเองอยู่ในห้องตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุก็เศร้าใจ จริงๆ ถ้าใจสู้และเข้ารับการผ่าตัดป่านนี้น้องชายคงเดินได้แล้ว ทั้งสองคนคุยกันจนลืมไปเลยว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องอีกหลายคน จนเสี่ยวลู่กระซิบกับคุณลุงคนใหม่ว่า "คุณลุงขา เสี่ยวลู่คิดว่าคุณยายทั้งสองคนคงจะลืมพวกเราแล้วแน่ๆ คุยกันขนาดนี้คงจะหิวน้ำน่าดู" ปกติป้านเซียงเหวินจะเป็นคนไม่ค่อยพูดและไม่ค่อยยุ่งหรือวุ่นวายกับเด็กแต่กับเสี่ยวลู่กลายเป็นว่าเขาต้องตอบหลานสาวด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย "ลุงก็คิดว่าคงจะคอแห้งแล้วล่ะ ลืมหมดแล้วว่ามีใครอยู่ในห้องหลายคน ว่าแต่เสี่ยวลู่บอกลุงได้ไหมหนูจะเอาจักรยานไปทำไม ลุงซื้อให้สิบคันพอไหม" "พอค่ะ หนูจะทำการค้าค่ะคุณลุง หนูจะให้เด็กๆ ในหมู่บ้านเช่าจักรยานขี่เล่น ชั่วโมงละสองเหมา ถ้าเช่าทั้งวันหนูคิดหนึ่งหยวน" เสี่ยวลู่ตอบด้วยดวงตาเป็นประกายและน้ำเสียงสดใส ป้านเซียงเหวินและป้านอ้าวเทียนที่ได้ยินอดที่จะทึ่งในความคิดของเสี่ยวลู่ไม่ได้ ตัวแค่นี้ยังรู้จักคิดเรื่องการค้าของตัวเอง โตขึ้นอนาคตต้องดีแน่ๆ "พี่เทียนคะนี่เจียจิ่นสหายรุ่นน้องสมัยสาวๆ ของน้อง" อ้ายเจินแนะนำให้สามีได้รู้ว่าฟู่เจียจิ่นนั้นเป็นใคร ฟู่เจียจิ่นเองก็แนะนำลูกสาวและลูกเขยทั้งสองคนให้รู้จักอีกครั้งจากนั้นให้เสี่ยวลู่ไปตามหนิงฮุ่ยหมินเข้ามาและแนะนำให้คนอื่นได้รู้จักอีกด้วย จากนั้นทั้งหมดก็คุยกันด้วยเสียงหัวเราะและเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กันและกันฟัง และทั้งสามคนบ้านป้านทนเสียงออดอ้อนของเสี่ยวลู่ไม่ได้จึงได้กินมื้อเที่ยงพร้อมกัน จนได้เวลากลับบ้านและคนที่อิดออดแทนที่จะเป็นอ้ายเจิน แต่กลายเป็นป้านเซียงเหวินที่ไม่อยากกลับเพราะหลงความน่ารักของเสี่ยวลู่ไปเรียบร้อยแล้ว "พี่เซียงเหวินก็มีเองสักคนสิ จะได้ไม่เหงา" ตงซีเฉินเอ่ยแซว เขารู้สึกถูกชะตาพี่ชายบุญธรรมมากทั้งสองคนจึงได้สนิทกันเร็ว "ซีเฉิน หาภรรยามาเป็นแม่ของลูกนะ ไม่ใช่ไปหาซื้อเนื้อจะได้จิ้มเอาทันที" ป้านเซียงเหวินค้อนน้องชาย ทำเอาทุกคนที่ยืนอยู่หัวเราะกันเสียงดัง "ลุงเหวิน ว่างๆ เสี่ยวลู่จะไปหานะคะ อีกสองวันลุงเหวินก็ต้องมาอีกครั้ง เดี๋ยวเราก็เจอกันแล้ว ไม่ดื้อนะ" เสี่ยวลู่เข้ามากอดลุงของเธอ และเอ่ยปลอบใจแต่กลายเป็นทุกคนหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งกับเรื่องนี้ เมื่อเอ่ยลากันเรียบร้อย บ้านป้านจึงเดินกลับไปขึ้นรถพร้อมกับคนขับรถที่กินอาหารเสร็จเรียบร้อยยืนรออยู่ หนิงเหมยจูวิ่งเข้ามาหาทั้งสามคนอีกครั้ง "พี่เซียงเหวิน ยาที่ฉันให้ไปกินแค่ขวดเดียวนะ และกินครั้งเดียว ส่วนอีกขวดฉันไม่แน่ใจว่าคนที่ป้าเจินซื้อรถเข็นให้นั้นเป็นใคร ถ้าเป็นคนในครอบครัวหรือคนที่ป้ารัก ป้าก็ให้เขากินเถอะค่ะ แต่ถ้าป้าไม่สนิทหรือไม่ใช่คนในครอบครัว ฉันขอให้เก็บไว้กินเองนะคะ ยานี้กินมากกินน้อยไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ได้กินหรือเปล่า และไม่จำเป็นว่าต้องป่วยหรือเดินไม่ได้แล้วจึงจะกิน ปกติแบบเราก็กินได้ หากเมื่อไหร่ที่พี่ใหญ่ลั่วจื่อกลับมาฉันค่อยแบ่งไปให้กินนะคะ ครอบครัวของเราทุกคนต้องแข็งแรงค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ นี่ชุดบำรุงผิวและเครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้า แม่ก็ใช้นะป้าเจิน รับรองลุงเทียนไม่ไปไหนแน่นอน" หนิงเหมยจูคิดว่าในเมื่อตอนนี้ทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรกับครอบครัวเดียวกันและเชื่อว่าตระกูลป้านคงจะไม่บอกใคร พูดจบเธอก็วิ่งแนบเข้าบ้านปล่อยให้ป้าอ้ายเจินยืนหน้าแดงที่โดนหลานสาวล้อเลียน ทางด้านบ้านตงตอนนี้แทบจะไม่มีใครสีหน้าที่ดูดีเลย ลูกชายคนรองเมื่อกลับมาก็เข้าห้องโดยไม่สนใจว่าพ่อแม่และพี่ชายจะทำสีหน้าและกำลังรู้สึกยังไง เมื่อเข้ามาในห้องพร้อมภรรยาเมื่อเห็นลูกสาวตาแดงๆ หัวอกคนเป็นพ่อก็เจ็บแปลบขึ้นมา "เสี่ยวฉีเป็นอะไรลูก ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรหนูลูก" "หนูไม่เป็นอะไรคะ" ตงซูฉีไม่กล้าบอกพ่อว่าเธอโดนลูกของลุงใหญ่แกล้งผลักให้ล้ม เด็กน้อยไม่อยากให้พ่อคิดมาก "เสี่ยวฉีลูกโดนแกล้งอีกแล้วใช่ไหม แม่ผิดเองถ้าหากแม่เข้มแข็งและกล้ามากกว่านี้ลูกไม่ต้องโดนแกล้งอยู่ตลอดหรอก" ซูหวั่นรู้ดีว่าตัวเองนั้นอ่อนแอ เธอพยายามโอนอ่อนกับแม่สามีและพยายามเชื่อฟังแม่สามีและพี่สะใภ้มาตลอดตั้งแต่แต่งงานเข้ามาบ้านตง แต่ใครจะคิดว่าการที่เธอยอมทุกอย่างนั้นกลายเป็นว่าพี่สะใภ้กลับได้ใจใช้งานเธอเยี่ยงทาสไม่พอยังให้ลูกๆ คอยแกล้งซูฉีตัวน้อยของเธอด้วย "ไม่เป็นไรค่ะพ่อแม่ หนูยังไหว หนูเพียงแค่ต้องการจะไปเล่นกับเสียวลู่ แต่พี่ซู่ปี้และพี่เจียผิงกลับรู้จึงผลักหนูไม่ยอมให้หนูไป ครั้งหน้าหนูค่อยแอบไปเล่นกับน้องก็ได้ค่ะ" ตงซูฉีบอกพ่อกับแม่เสียงเบา "พี่เหวินซู่ เราแยกบ้านได้ไหม กลับไปอยู่บ้านเดิมของน้องก็ได้ บ้านเดิมหลังนั้นยังพออยู่ได้นะคะ เราค่อยเก็บเงินซ่อมแซมไปเรื่อยๆ เสี่ยวฉีเองน้องอยากให้ลูกเข้าโรงเรียนเหมือนกัน ทำไมหลานๆ จากครอบครัวพี่ใหญ่ถึงได้เรียนทั้งสองคน ลูกของเราถึงไม่ได้เรียนละคะ" ซูหวั่นเมื่อคิดที่ปรับปรุงตัวเองแล้วจึงมองย้อนกลับมา เหมือนครอบครัวของเธอจะไม่มีค่าในสายตาพ่อแม่สามีเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ร้ายแรงหรือเกลียดขี้หน้าเหมือนครอบครัวน้องสี่ก็ตาม เธอจึงบอกสามีด้วยเสียงสั่นเครือ ตงเหวินซู่เองคิดเรื่องที่จะขอแยกบ้านนานแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะพูดกับพ่อแม่ ก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียก่อน ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่พูดเพราะเห็นว่าภรรยาเข้ากับแม่และพี่สะใภ้ได้ดี แต่วันนี้กลายเป็นภรรยาของเขาที่พูดถึงเรื่องแยกบ้าน ระหว่างที่ตงเหวินซู่คิดถึงเรื่องนี้และกำลังคุยกับภรรยาเขากลับได้ยินเสียงพ่อตะโกนเรียกด้วยความฉุนเฉียว "พ่อเรียกผมมีอะไรหรือเปล่า" ตงเหวินซู่เดินออกมาพร้อมกับภรรยาเอ่ยถามพ่อของตัวเอง "ฉันอยากให้แกไปตีสนิทกับเจ้าสี่ให้มากๆ ตอนนี้มันเป็นถึงลูกบุญธรรมของท่านนายพลและสะใภ้สี่ก็ทำการค้ากับลูกชายของท่าน ฉันคิดว่ากำไรคงจะมากเอาการอยู่ เจ้าสี่นั้นในบรรดาพี่น้องและครอบครัวตงมันสนิทกับแกที่สุด หน้าที่นี้แกก็รับไป เผื่อว่าจะตักตวงผลประโยชน์อะไรมาได้บ้าง" ตงก้านวางแผนให้ลูกชายคนรองเข้าไปตีสนิท เผื่อว่าเจ้าสี่จะได้เปิดเผยความลับทางการค้าและบ้านตงของเขาจะได้ทำการค้าแบบนั้นบ้าง ตงก้านคำนวณทุกอย่างเรียบร้อยและเห็นถึงผลประโยชน์ที่กำลังลอยมาจึงได้เรียกลูกชายคนรองออกมาคุยถึงเรื่องนี้ "ครับพ่อ พรุ่งนี้ผมจะลองไปคุยกับน้องสี่ดูว่ามีงานให้ผมทำหรือเปล่า ผมได้ยินว่าเจ้าสี่ต้องการแรงงานมาช่วยสร้างบ้าน แต่ไม่รู้นะครับว่าเจ้าสี่จะยอมหรือเปล่า พ่ออย่าลืมสัญญาตัดขาดนะครับ ในนั้นระบุไว้ว่าห้ามบ้านตงทุกคนเขาไปวุ่นวายกับเขา ไม่อย่างนั้นเจ้าสี่สามารถเอาบ้านหลังนี้คือได้" ตงเหวินซู่พยักหน้ารับอย่างโดยดี ทำให้ภรรยาอย่างซูหวั่นหันมองหน้าสามีด้วยความตกใจ แต่เธอเลือกที่จะไม่ถามเพราะคิดว่าสามีนั้นต้องมีแผนการอะไรในใจแน่ๆ จึงรอดูว่าสามีจะพูดอะไรต่อ "นั่นสิพ่อ ถ้าทำแบบนั้นเจ้าสี่มันเอาบ้านหลังนี้คืนจะทำอย่างไร" ตงชุยเหรินไม่ใช่คนฉลาดมากเมื่อได้ยินน้องชายคนรองพูดแบบนี้เขาจึงได้ร้อนรน เพราะไม่อยากให้สูญเสียบ้านหลังนี้ไป ตงก้านคิดทบทวนสิ่งที่ลูกชายคนรองพูดเขาก็เห็นด้วย แต่ยังคิดหาวิธีไม่ได้จึงถามความคิดเห็นของลูกชาย "แล้วแกคิดว่าจะต้องทำยังไง" "ผมก็ต้องแยกบ้านกับพ่อและตัดขาดกับบ้านตงให้น้องสี่เห็น ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางเชื่อหรอกว่าเรามีปัญหากัน เมื่อเจ้าสี่เชื่อและผมได้เข้าไปทำงานแล้วผมจะคอยส่งข่าวมาให้พ่อยังไงล่ะ แต่ถ้าพ่อคิดว่ามีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ก็ไม่ต้องทำตามที่ผมแนะนำก็ได้ครับ" ระหว่างที่ตงเหวินซู่พูด หากมีใครสังเกตสักนิดจะเห็นว่ามุมปากของเขานั้นมีรอยยิ้ม แม้ว่าคำที่พูดออกมาจะดูเฉยชาและเรื่อยเปื่อยเหมือนไม่สนใจก็ตาม ด้วยความเห็นแก่ตัวของบ้านตงและอยากได้ของคนอื่นจนขึ้นสมอง จึงไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนตงก้านได้ตอบตกลงทันที "เอาอย่างที่เจ้ารองพูดก็แล้วกัน จะได้ให้เจ้าสี่เชื่ออย่างสนิทใจ เจ้ารองนายไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมาบอกว่านายต้องการแยกบ้านและตัดขาดกับบ้านตง" "แต่พ่อต้องแบ่งเงินกองกลางให้ผมด้วยนะ หากผมไม่ซ่อมแซมบ้านเดิมของซูหวั่นแล้วผมจะอยู่ยังไง ไม่ต้องแบ่งตามส่วนแบ่งก็ได้ ขอแค่พอซ่อมแซมบ้านได้เท่านั้นก็พอ" ใจจริงตงเหวินซู่เขาไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น เงินเก็บที่เขาแอบซ่อนพอมีอยู่ แต่ถ้าไม่ขอเลยเวลาซ่อมแซมบ้าน บ้านตงจะต้องสงสัยแน่ๆ ส่วนเรื่องที่เขาจะเอาความลับของน้องสี่มาบอกนั้นเหรอ ฝันไปเถอะ เขาเพียงต้องการพาลูกและภรรยาให้หลุดพ้นจากที่นี่เท่านั้นเอง ในเมื่อมีโอกาสมีเหรอที่เขาจะไม่ทำเพื่อให้ได้ย้ายออกไปจากครอบครัวที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ เมื่อตงเหวินซู่เดินออกมาจากบ้านเพื่อจะเดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านมาทำเรื่องแยกบ้านและตัดขาดบ้านตงให้กับเขา ชายหนุ่มจึงแวะบ้านน้องชายอย่างตงซีเฉิน พอมาถึงเขาก็เจอกับตงซีเฉินที่ยืนอยู่แถวบริเวณบ้านพอดีจึงได้ร้องเรียก "เจ้าสี่ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย เราเข้าไปคุยในบ้านกันได้ไหม" ตงหวินซู่ไม่รอคำตอบ รีบจูงมือน้องชายเข้ามาในบ้านเพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าเขาแวะมาบ้านสี่ก่อนที่จะไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน พอเข้ามาในบ้านก็เจอกับหนิงเหมยจูที่นั่งคำนวณรายการของแต่ละอย่างที่ต้องเอาเข้าร้านโชห่วย เมื่อเห็นว่าพี่รองของสามีมาหาเธอจึงเตรียมที่จะเดินเข้าห้องเพราะคิดว่าทั้งสองน่าจะมีเรื่องต้องคุยกัน "ไม่ต้องไปหรอกน้องสะใภ้ พี่ไม่ได้มีความลับอะไร พี่แค่จะบอกว่าพี่จะแยกบ้านและตัดขาดกับบ้านตงเท่านั้นเอง" ตงเหวินซู่พูดด้วยรอยยิ้มไม่มีทีท่าว่าเขาจะเครียดหรือคิดมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ********************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม