ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ตาลหวานจับจ้องเจ้าของคำพูดที่ฟังแล้วใจเต้นโครมคราม เธอมองใบหน้าคมคายที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเครา ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไล้แก้มสากของเขา เธอยอมรับว่าสิ่งที่ได้ยินมีอิทธิพลต่ออารมณ์ที่เธอไม่คุ้นเคยเหลือเกิน หัวใจเธอเต้นแรง แก้มร้อนวูบวาบขณะที่หน้าท้องแบนราบก็ป่วนปั่นอย่างหนัก
“นอนกับฉันไหม” คนตัวโตย้ำถามอีกรอบ
ตาลหวานไม่รู้จริงๆ ว่าควรตอบเช่นไรดี แต่ตอนนี้ดวงตาของเธอเบิกโพลงอยู่ในความมืด มองเห็นเพียงโครงหน้าหล่อเหลาของคนตัวโตที่ขยับขึ้นมานอนคร่อม พอเขาทำแบบนั้นเธอจึงดันแผ่นอกแกร่งทันที
“เธอจะปฏิเสธฉันไหม ขอแค่เธอเอ่ยปากฉันก็จะ...”
“นอนค่ะ” เสียงหวานสั่นเอ่ยแทรกขึ้น มือบางนุ่มเปลี่ยนเป็นกำเสื้อบริเวณแผ่นอกกระด้างไว้แน่น ดวงตาที่เคยหวาดหวั่นของเธอเปลี่ยนแปลงเป็นเชิญชวนทันที “นอนกับฉันสิคะ”
“เธอจะไม่เสียใจ”
“ค่ะ”
“เธอจะไม่ร้องไห้หรือว่าเกลียดฉัน”
“ค่ะ”
“แน่ใจนะ”
“ถ้าจะต้องสูญเสียสิ่งมีค่าบนเรือนร่างให้กับใครสักคน ฉันก็อยากจะเลือกคนคนนั้นด้วยตัวเองค่ะ”
“ฉันเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ และเราก็เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก”
“มันจะเป็นอะไรไปละคะ ในเมื่อการรู้จักคนคนหนึ่งมานาน มันก็ไม่ได้การันตีว่าเขาจะเป็นคนดี บางทีคนที่เพิ่งพบกันอาจจะดีมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าก็ได้”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เธอจะไม่ได้ยินคำขอโทษจากฉัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวเป็นฝ่ายเลื่อนมือขึ้นคล้องลำคอแกร่ง สอดปลายนิ้วเข้าไปใต้ตีนผมหนานุ่ม พร้อมกับโน้มใบหน้าขึ้นจูบซอกคอแกร่งทั้งซ้ายทั้งขวา และเพียงริมฝีปากของเธอแตะต้องผิวของเขา เธอก็ได้ยินเจ้าของเสียงทุ้มห้าวเผลอครางออกมาอย่างพอใจ
“ฉันยับยั้งชั่งใจตัวเองไว้ไม่ได้อีกแล้ว”
ดินกระซิบเพียงเท่านั้นก็ค่อยๆ ดึงรั้งชายเสื้อที่คนร่างบางสวมใส่ขึ้นช้าๆ จนผ่านสะโพกกลมกลึงนั่นแหละถึงได้ค่อยๆ แยกเรียวขาของเธอออกจากกัน พริบตาเดียวเขาก็ทำให้เธอครวญครางไม่เป็นภาษา เมื่อตอนนี้ฝ่ามือแข็งแกร่งไล้ลูบไปตามโคนขาอ่อนขาว แถมยังส่งปลายนิ้วทักทายกับจุดบอบบาง แม้เป็นสัมผัสเบาๆ แต่ก็ทำให้เธอถึงกับแอ่นหยัดตัวขึ้น เหยียดปลายเท้าในยามที่ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทุกอณูเนื้อ
“อื้อ...”
“ฉันแตะต้องได้ใช่ไหม”
ตาลหวานนึกอยากจะทุบเขาสักทียิ่งนัก ทำถึงขนาดนี้แล้วจะถามให้ได้อะไรขึ้นมา เมื่อตอนนี้เขาทำยิ่งกว่าแตะต้องเธอเสียอีก เขาส่งปลายนิ้วแข็งแรงเข้ามาในตัวของเธอ แถมยังทำให้มันเริงระบำอยู่ในเรือนร่างของเธอจนเธอต้องร้องครางออกมาอย่างลืมอาย
มือของเธอเริ่มหยิกลงไปบนเนื้อหนัง ยิ่งความเสียวซ่านมีมากเท่าไรเธอก็ยิ่งทำร้ายร่างกายของเขามากขึ้น มากเสียจนได้ยินเสียงครางของเขาชัดเจน ทว่าพอได้ยินเสียงมีเสน่ห์ของเขาแล้ว มือไม้ที่ควรสัมผัสเพียงลำคอแข็งแรงก็เริ่มป่ายปัดไปทั่วลำกาย แถมยังดึงเสื้อของเขาขึ้นเพื่อให้สามารถลูบไล้กล้ามหน้าอกแน่นๆ ได้ถนัดถนี่
เธอขยี้อกสีเข้มของเขา พอเขาร้องปากเล็กๆ ก็อ้างับพร้อมปาดลิ้นไล้เลียจนเจ้าของกายแกร่งแข็งทื่อไปหมด
“เธอกำลังแก้แค้นฉันใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ” เสียงปฏิเสธของเธอดูสั่นเทาเหลือเกิน
“แต่ดูเหมือนเธอทำให้ฉันรู้สึกเช่นนั้นนะ”
“จริงหรือคะ” เธอช้อนตากลมโตมอง แววตานั้นดูขี้เล่นและเย้ายวนเสียจนเจ้าของไร่ภูพนาต้องหาทางกำราบ ด้วยการปลดกางเกงออกอย่างรีบร้อน พอท่อนล่างเปลือยเปล่าก็ค่อยๆ แยกเรียวขาของเธอให้ห่างจากกัน
กล้ามเนื้ออุ่นจัดที่กำลังเบียดชิดเธออยู่ในตอนนี้ทำเอาดวงตาเธอเบิกกว้างขึ้น ความหวาดหวั่นกำลังกลืนกินตัวเธอ ทว่าความตื่นเต้นกับอารมณ์ปรารถนาที่ก่อขึ้นทำให้เธอไม่ได้รู้สึกกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเลยสักนิด เพราะตอนนี้มือทั้งสองข้างกำลังดึงรั้งชายเสื้อของเขาขึ้นสูง จนในที่สุดเขาก็ช่วยให้เธอกำจัดมันได้
แผ่นอกเรียบตึงไล่ลงมาจนถึงหน้าท้องที่แน่นขนัดด้วยกล้ามเป็นมัดๆ ทำให้ตาลหวานอดใจไม่ไหวจนต้องลูบไล้สัมผัสความแข็งแรงของเขาเบาๆ ปากที่แนบแน่นอยู่กับยอดอกสีเข้มเมื่อครู่เริ่มปาดป้ายไปตามลำคอ พร้อมกับทิ้งรอยแดงไว้ เช่นเดียวกับเขาที่กำลังบดขยี้จุดอ่อนไหวของเธอด้วยปลายนิ้ว สิ่งที่เขาทำกับสิ่งที่เธอกำลังทำให้เขาในเวลานี้ กำลังส่งผลให้เพลงรักทั้งคู่เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ
อะไรที่กีดขวางอยู่ในตอนนี้ถูกดึงทึ้งไปกองอยู่ข้างฝาผนัง เพียงเนื้อกายของคนใต้ร่างเปลือยเปล่า ดินก็เป็นฝ่ายพลิกเรือนร่างแน่งน้อยขึ้น พร้อมๆ กับสอดส่งตัวตนให้ผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกับของเธอ ฝ่ามือทั้งสองข้างหันมารองก้นงอนงามเพื่อบังคับไม่ให้คนเจ็บจนหน้าเหยเกบ่ายเบี่ยงหนี
เพียงเห็นน้ำตาของเธอรินไหล ชายหนุ่มก็ถึงกับหยุดชะงักสะโพกที่กำลังขยับอย่างกระแทกกระทั้น
พอเห็นเขาหยุดตาลหวานก็ช้อนแพขนตาชื่นฉ่ำขึ้นสบตา “ฉันยังบริสุทธิ์จนกระทั่งตอนนี้”
“ฉันรู้” ชายหนุ่มขยับปลายนิ้วปาดน้ำตาบนแก้มมนให้ “ฉันรู้แล้ว”
“ฉันดีใจที่ได้เป็นของคุณนะคะ”