หลังจากการเผชิญหน้ากันในงานปาร์ตี้ที่ผ่านมา เกวลินก็เจอพยัคฆ์อีกครั้งที่ร้านอาหาร ทำไมโลกมันถึงได้กลมขนาดนี้นะ เธอหงุดหงิดจนแทบจะเป็นบ้า ซึ่งก็ไม่ต่างกับพยัคฆ์ เพราะเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาในร้าน สีหน้าเขาก็ตึงขึ้นมาทันที
“ปล่อยให้ยัยนั่นเข้ามาที่นี่ได้ยังไง ฉันจ่ายเงินไปตั้งเยอะเพราะอยากได้ความเป็นส่วนตัวนะ” จินนี่ถามพนักงานอย่างหงุดหงิด
“ขอโทษด้วยครับคุณผู้หญิง แต่พวกเขาจองไว้นานแล้วครับ” พนักงานอธิบายอย่างสุภาพขณะจ้องมองชายที่อยู่ตรงข้ามเธออย่างกังวลใจ
“ฉันไม่สน... ไล่พวกเขาออกไป…” จินนี่ตะคอกขณะจ้องพนักงานเสิร์ฟ เสียงของเธอดึงดูดความสนใจของลูกค้าคนอื่น ๆ ทว่าเกวลินไม่สนใจ เธอหยิบเมนูขึ้นมาดูแล้วพยายามเมินเฉยต่อความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้น แต่ก็รู้ดีว่าเพื่อน ๆ กำลังไม่สบายใจ
“สวัสดีครับคุณพยัคฆ์ คุณจินนี่ มีอะไรให้ผมช่วยเหลือเหรอครับ” ผู้จัดการร้านเดินเข้ามาถามอย่างสุภาพ
“ไล่นักศึกษาสามคนออกไปจากร้านที” จินนี่ว่า พลางชี้ไปยังโต๊ะที่เกวลินนั่งอยู่
“เกว เราไปร้านอื่นกันเถอะ” เจไดกระซิบ
“ใช่เกว เราไปจากที่นี่กันเถอะ ไปกินร้านอื่นก็ได้ ฉันไม่อยากให้เรามีปัญหากับเขาอีก” ปานวาดกระซิบแล้วบีบมือเกวลินอย่างขอร้อง
“เธอช่วยเข้าใจสถานการณ์หน่อยเถอะ” เจไดกล่าวเสริม
“ฉันวางแผนไว้ว่าจะให้เธออ่อยเขา ไม่ใช่ทำให้เราตกอยู่ในบัญชีดำของเขานะ”
ด้านผู้จัดการที่กำลังเครียดกับคำสั่งที่ไม่คาดคิดของจินนี่อยู่นั้นทำได้เพียงพูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
“คุณจินนี่ครับ…”
“คุณผู้จัดการ ผมเพิ่งเดินทางกลับมา อยากใช้เวลาสองสามวันแรกอย่างสงบ ไม่อยากให้มีคนอื่นมาส่งเสียงดังรบกวน ช่วยจัดการให้ด้วย เหตุผลที่เราเลือกร้านนี้ก็เพราะผมชอบบริการของร้านคุณนะ” พยัคฆ์เอ่ยอย่างมีคำเตือนซ่อนอยู่ในน้ำเสียง เกวลินที่ได้ยินคำพูดนั้นถึงกับโกรธจนแทบคุมตัวเองไม่อยู่
“คุณพยัคฆ์ครับ ผมเข้าใจดี แต่นักศึกษาพวกนั้นเป็นลูกค้าประจำของร้านเรา น้อง ๆ น่ารักอัธยาศัยดี ผมรู้จักมาหลายปีแล้ว รับรองเลยว่าพวกเขาจะไม่รบกวนคุณอย่างแน่นอนครับ” ผู้จัดการพยายามอธิบายอย่างนอบน้อม หากแต่จินนี่มองหน้าเขาด้วยความไม่พอใจ
“งั้นมาดูกันว่าคุณจะยังได้เป็นผู้จัดการต่อไปอีกหรือเปล่า” เธอกดดัน
ผู้จัดการอ้าปากค้างด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะถอนหายใจและก้มศีรษะลงด้วยความพ่ายแพ้
“คุณพยัคฆ์... ผมให้ความสำคัญกับลูกค้าคนสำคัญของเราทุกคนเสมอ แต่ถ้าคุณต้องการแบบนั้น ผมก็ยอมรับครับ” พูดก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเกวลิน “คุณเกวลินครับ...”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณต้น เราจะออกไปค่ะ คุณไม่ต้องลำบากใจหรอก” เกวลินเอ่ยอย่างเข้าใจผู้จัดการหนุ่ม เธอเองก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้เขาตกงานเช่นกัน
“ขอบคุณมากครับคุณเกวลิน ผมจะขอโอกาสแก้ตัวใหม่อีกครั้ง หวังว่าคุณจะกลับมาทานอาหารที่ร้านเราอีกนะครับ” เขาพูดด้วยความสุภาพอ่อนน้อม โดยไม่ลืมหันไปขอโทษปานวาดกับเจไดด้วย
“ไปกันเถอะเกว” เจไดยิ้มให้เธออย่างโล่งใจที่เธอยอมออกไปจากร้านนี้แต่โดยดี มือหนาดึงมือเธอไว้แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเธอชักมือออก ก่อนจะตกตะลึงหนักกว่าเก่าเมื่อเห็นเกวลินเดินไปทางโต๊ะที่พยัคฆ์นั่งอยู่ เมื่อไปถึงเกวลินก็กระแทกมือลงบนโต๊ะเสียงดัง และโน้มตัวเข้าไปใกล้พยัคฆ์
“ฉันไม่คิดว่าคุณจะทำตัวต่ำช้าขนาดนี้นะคุณพยัคฆ์” น้ำเสียงของเธอเยือกเย็น
“เธอจะทำอะไรน่ะ !” จินนี่ตะคอกถาม
“คุณมันคนเห็นแก่ตัวและน่าขยะแขยง” เธอเยาะเย้ย ทำให้ทุกคนตะลึงกับความใจกล้าของเธอ
“แกพูดว่าอะไรนะ แกไม่รู้ว่าใช่ไหมว่ากำลังพูดอยู่กับใคร” จินนี่โกรธจัด แต่เกวลินกลับมองเธอด้วยสายตาเย็นชา
“ฉันรู้ดีว่ากำลังพูดกับใคร พวกคุณสองคนเหมาะสมกันมากจริง ๆ นิสัยน่ารังเกียจ ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด ฉันหวังว่าลูกของพวกคุณสองคนจะไม่ออกมาเห็นแก่ตัวแบบพวกคุณนะ”
จินนี่มองไปทางพยัคฆ์ คาดหวังว่าเขาจะทำอะไรบ้าง แต่เขากลับเงียบ
“เธอลืมไปแล้วใช่ไหมว่ากำลังพูดอยู่กับคุณพยัคฆ์น่ะ” จินนี่ลุกขึ้นยืน
“ฉันรู้ดีว่าเขาเป็นใคร แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร ถ้าคุณรู้คุณอาจจะหุบปากเน่า ๆ ของคุณก็ได้นะ ฉันจะบอกอะไรให้ อย่ามาทำตัวอวดดีกับฉัน” เกวลินพูดเสียงดังชัดเจน ทำเอาจินนี่ตะลึงกับความหยิ่งผยองของเธอ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวพยัคฆ์เหมือนที่คนอื่นเป็นเลยสักนิด ทำเอาจินนี่ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “พฤติกรรมน่ารังเกียจแบบนี้ฉันไม่มีวันยอมหรอก ฉันรังเกียจคนที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดและข่มขู่คนที่ด้อยกว่าที่สุดเลย ฉันจะไม่มีวันให้อภัยคนประเภทนี้เด็ดขาด และฉันก็ไม่คิดว่าตระกูลศศิวัตรเกียรติกุลจะมีลูกหลานเหมือนคุณเลยนะ คุณพยัคฆ์ ฉันชักสงสารพ่อกับแม่ของคุณแล้วสิที่มีลูกชายแบบคุณ คุณควรละอายใจและคิดทบทวนสิ่งที่คุณทำให้ดีนะว่ามันถูกต้องหรือเปล่า”
วินาทีนั้นทั้งร้านตกอยู่ในเงียบจนน่าขนลุก ก่อนที่พยัคฆ์จะพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ไม่มีใครดูถูกฉันแล้วเดินจากไปง่าย ๆ ได้หรอกนะเกวลิน !”
“งั้นก็ฆ่าฉันซะสิ !” แทนที่จะกลัว หญิงสาวกลับโน้มตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเพื่อกระซิบ
“อวดดี...” เขาพึมพำพร้อมหรี่ตาลง
“ลองดูสิ ฉันรู้ว่าคุณทำอะไรได้บ้าง แต่คุณไม่รู้หรอกว่าฉันทำอะไรได้บ้างน่ะ ฉันจะบอกให้คุณฟังอย่างหนึ่งนะคุณพยัคฆ์ แค่ฉันดีดนิ้ว ฉันก็จะได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว และฉันก็ไม่กลัวลาเทสต้าด้วย…และแม้แต่คุณก็ยังต้องทำตามที่ฉันขอด้วยซ้ำ… ทีนี้เข้าใจบ้างหรือยังคะ… อย่ามาท้าทายหรือใช้อำนาจกับฉันอีก… เพราะคุณทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เธอกระซิบแนบใบหูพยัคฆ์ชัดทุกคำ ก่อนจะผละออกและเดินจากไป