เป็นอย่างที่เป๋าเจียงเหมยคาดเอาไว้ไม่มีผิด โชคดีที่นางแอบบอกเรื่องนี้ให้หวังกงกงได้รู้ก่อน และคนของหวังกงกงคงจะนำความไปทูลอันอ๋องแล้ว
ที่ประตูไท่หยางซึ่งเป็นประตูใหญ่ด้านหน้ากั้นระหว่างวังหน้าและวังหลัง อี้เหม่ยหรงสวมใส่ชุดลำลองแลดูคล้ายคุณหนูตระกูลใหญ่ มีผู้ติดตามเป็นนางกำนัลสามคนและขันทีอีกสี่คน
“อะ…เอ่อ…” ทหารรักษาประตูอ้ำอึ้งเมื่อสตรีผู้นี้เดินนำชายหญิงจำนวนเจ็ดคนออกมาจากส่วนของวังหลัง แต่เขาจำหวังกงกงได้ ขันทีผู้นี้เป็นขันทีอาวุโสและเป็นคนของอันอ๋อง
อี้เหม่ยหรงสังเกตเห็นว่าทหารรักษาประตูสบตากับหวังกงกงคล้ายมีคำถาม นางยิ้มกว้างก่อนจะหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาและให้ยื่นให้กับทหารผู้นั้นดู
“ข้า อี้ฮองเฮา เป็นคนอนุญาตให้ตัวข้าเองและคนของข้าทั้งเจ็ดคนออกไปนอกวัง” ขณะที่พูดนางยังทำหน้าระรื่น
“หะ…หา ฮองเฮา ฮองเฮาเช่นนั้นหรือ อะ…เอ่อ กระหม่อมขอประทานอภัยพะย่ะค่ะ” ทหารรักษาประตูดูลนลานจนเสียการควบคุมตนเองเมื่อรู้ว่าผู้ที่จะออกไปนอกประตูวังคือผู้ใด
เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และที่สำคัญคือยังไม่เคยมีฮองเฮาในรัชสมัยของฉินหย่งเต๋อฮ่องเต้มาก่อน พวกเขาจึงไม่รู้ว่าฮองเฮาหมาดนั้นๆมีหน้าตาเป็นอย่างไร และยิ่งกว่านั้นคือไม่มีผู้ใดจะนึกว่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นฮองเฮาจะออกไปด้านนอกวังหลวงโดยแต่งตัวเป็นสามัญชนเช่นนี้
“ไม่ต้องอ้ำอึ้งนาน ข้ารีบไปแล้วจะรีบกลับ จะกลับก่อนประตูวังลงดาลแน่นอน นี่ข้าต้องไปเจอทหารรักษาประตูที่ประตูใหญ่ด้านหน้าอีกใช่หรือไม่?”
“ทุ…ทูล ทูลฮองเฮา ใช่แล้ว พะ…พะย่ะค่ะ”
เชิญเสด็จด้านนั้นพะย่ะค่ะ กระหม่อมให้คนเตรียมรถม้าเอาไว้แล้ว” หวังกงกงผายมือไปทางรถม้าที่จอดอยู่ห่างออกไปจากประตูไท่หยางราวๆหนึ่งจั้ง ( ราวๆ30 เมตร)
ราวหนึ่งเค่อ ( 15 นาที) ต่อมา รถม้าคันใหญ่สองคันก็วิ่งออกไปและไปหยุดอยู่ที่ประตูใหญ่เหิงซิงอันเป็นประตูที่กั้นระหว่างวังหลวงและโลกภายนอก ทหารรักษาประตูเหิงซิงให้รู้สึกฉงนแต่น้อยกว่าทหารที่รักษาประตูไท่หยาง นั่นเป็นเพราะมีทหารจากประตูไท่หยางรีบมาส่งข่าวที่ประตูใหญ่เหิงซิงล่วงหน้าแล้ว
ที่ตลาดกลางเมืองเป่าไฉ เมืองหลวงของแคว้นฉาง
อี้เหม่ยหรงให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับตลาดของเมืองใหญ่ที่เป็นเมืองหลวงของแคว้นเพราะตลาดที่เมืองของนางนั้นเล็กนิดเดียว มีร้านค้าอยู่ไม่กี่คูหา นางเดินดูสินค้าต่างๆ เข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างเพลิดเพลิน
“ทำไมสินค้าในเมืองหลวงถึงได้ราคาแพงเช่นนี้นะ” หญิงสาวอดบ่นไม่ได้ แล้วชาวบ้านจะกินอยู่กันอย่างไร
“ทูลฮองเฮา เมื่อก่อนราคาสินค้าต่างๆนั้นก็ไม่ได้แพงเช่นนี้หรอกพะย่ะค่ะ แต่เพราะก่อนหน้านี้แคว้นฉางประสบปัญหาน้ำท่วมทางตอนเหนือซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญของแคว้น ส่วนทางทิศใต้ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกผักและไม้ผลนั้นเกิดแห้งแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทางด้านทิศตะวันออกมีโรคระบาดทั้งในคนและสัตว์กระจายไปทั่ว จึงทำให้สินค้าต่างๆทั่วแคว้นฉางนั้นราคาแพงขึ้นหลายเท่าตัวพะย่ะค่ะ” หวังกงกงกระซิบบอก
อี้เหม่ยหรงมีสีหน้าหนักอึ้ง บ้านเกิดของนางคือเมืองซ่งจุนซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของแคว้นฉางนั้นก็เกิดภัยแล้งเช่นกัน อันที่จริงเริ่มมีปัญหาเรื่องฝนแล้งมาตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยซ้ำ นางรับจ้างทำงานในสวนผักซึ่งพอฝนขาดช่วงเหล่าคนงานจึงรับบทหนักโดยการหาบน้ำในแม่น้ำมารดผักแทนเพราะน้ำในบ่อน้ำที่เจ้าของสวนผักขุดเอาไว้ก็เหือดแห้งหมด
“ป่านนี้ชาวบ้านจะมีชีวิตกันเช่นไรนะ? เอ่อ…หวังกงกง ข้าอยากกลับบ้านที่เมืองซ่งจุน”
“มิได้เด็ดขาดพะย่ะค่ะ พระองค์ยังเป็นฮองเฮาอยู่ จะกลับไปบ้านเกิดมิได้ อย่าลืมสัญญาที่ทรงทำไว้กับฝ่าบาทสิพะย่ะค่ะว่าจะทรงเป็นฮองเฮาเป็นเวลาหนึ่งปี”
“โธ่! ก็ผู้ใดบอกกันล่ะว่าข้าจะไม่เป็นฮองเฮา ข้าก็เป็นฮองเฮาอยู่นี่อย่างไร แต่ฮองเฮาจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ไปช่วยเหลือราษฎรไม่ได้เชียวหรือ?”
“แต่ว่า…เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เห็นทีฮองเฮาต้องขอพระราชทานอนุญาตจากฝ่าบาทเป็นกรณีพิเศษพะย่ะค่ะ อีกอย่าง…ตอนนี้เงินในท้องพระคลังนั้นร่อยหรอเต็มที เพราะฝ่าบาททรงใช้เงินในพระคลังออกมาช่วยเหลือราษฎรทั้งแคว้น”
“เช่นนั้นหรอกหรือ แต่ถ้าไม่ต้องใช้เงินจากท้องพระคลังล่ะ อย่าลืมสิว่าข้าเองเป็นฮองเฮาที่มีเงินเบี้ยหวัดรายเดือนถึงเดือนละสองพันตำลึงเชียวนะ พวกท่านรู้หรือไม่ หวังกงกง เป๋ามามา เมื่อก่อนน่ะปีทั้งปีข้าหาเงินได้ไม่ถึงพันตำลึงซะด้วยซ้ำ” หญิงสาวพูดพลางครุ่นคิด
ระหว่างที่อี้เหม่ยหรงเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างไม่ทันได้ระวังตัวก็ได้เกิดเหตุอันไม่มีผู้ใดคาดคิดขึ้น
“วะ…ว๊าย! อะไรกันนี่?” ฮองเฮาแห่งแคว้นฉางร้องอุทานลั่นเมื่อนางโดนวิ่งราว ตัวนางโดนผลักให้ล้มลงจนปะทะเข้ากับเสาไม้ที่แขวนโคมไฟริมถนนใหญ่จนต้องรีบเอามือขึ้นมาลูบหน้าผาก
“ฮอง…ฮองเฮา ทรงเป็นอันใดหรือไม่เพคะ?”
“ตามมันไป” หวังหย่งคังพยักเพยิดให้องครักษ์ที่ปลอมตัวมาแอบแฝงในหมู่ชาวบ้านตามไปจับตัวผู้ก่อเหตุ
อี้เหม่ยหรงถูกพาตัวมาที่รถม้า เพื่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ไม่ถึงหนึ่งเค่อรถม้าคันใหญ่ก็หยุดนิ่ง
“ที่นี่ที่ไหน?” นางเอ่ยถาม สถานที่แห่งนี้ร่มรื่น น่าอยู่ยิ่งนัก ความใหญ่โตมโหฬารเทียบได้กับจวนขุนนางระดับสูงเลยทีเดียว
“ที่นี่คือจวนที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ฮองเฮาและพระมารดาพะย่ะค่ะ หากว่าฮองเฮาต้องการให้พระมารดาของพระองค์ย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองหลวงก็มีจวนแห่งนี้ให้พำนักและจวนนี้ก็เป็นกรรมสิทธิ์ของฮองเฮาเรียบร้อยแล้วนะพะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ ฝ่าบาททรงพระเมตตาข้ายิ่งนัก ทรงทำตามสัญญา ข้าไม่เคยนึกเลยว่าบุรุษปากร้ายท่าทางเย็นชาเช่นนั้นจะรักษาสัญญาเป็นด้วย” อี้เหม่ยหรงพูดอย่างไม่ทันคิดอะไร อันที่จริงนางก็พูดตามที่ใจนางคิดนั่นแหละ
เวลานี้เหล่านางกำนัลและขันทีต่างทำสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อได้ฟังผู้เป็นฮองเฮาพูดถึงฮ่องเต้
“ทูลเชิญเสด็จด้านในดีกว่าเพคะ อีกสักครู่ช่างตัดผ้านามหัวเพ่ยเพ่ยจะมาถึงที่นี่แล้วเพคะ” เป๋าเจียงเหมยนั้นคิดเอาไว้แล้วว่าคงดูไม่เหมาะหากให้ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นถึงฮองเฮาไปรอวัดตัวตัดชุดที่ร้าน นางจึงสั่งเจ้าของร้านไว้ว่าให้ช่างตัดผ้าผู้นี้มาที่จวนใหญ่แห่งนี้
แต่ก่อนที่หัวเพ่ยเพ่ยจะเดินทางมาถึง องครักษ์สองคนก็โผล่พรวดพราดเข้ามาพร้อมกับนำตัวคนก่อเหตุเข้ามารับโทษ
“เจ้าสองคนนี้เองพะย่ะค่ะที่เป็นคนชิงทรัพย์ฮองเฮา ดูๆแล้วน่าจะเป็นโจรฝึกหัดพะย่ะค่ะ” องครักษ์ผู้หนึ่งบิดแขนเจ้าโจรตัวโตที่วิ่งราวถุงผ้าใส่เงินของฮองเฮาก่อนจะโยนให้เจ้าตัวเล็กรับไปต่อ แล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันวิ่งหนีไปคนละทาง
“โอ๊ย!” เจ้าโจรตัวโตกว่าร้องโอดโอยเมื่อถูกบิดแขน
“ยังจะมาร้องอีก จับได้คาหนังคาเขา เจ้ารู้หรือไม่ ผู้ที่เจ้าชิงทรัพย์นี้เป็นผู้ใด เตรียมตัวโดนประหารได้” เป๋าเจียงเหมยขู่
“อย่า…อย่าประหาร อย่าฆ่าข้าเลย หากข้าตายครอบครัวข้าต้องลำบาก ที่จริงข้าไม่ได้อยากทำ แต่มันจำเป็น มันจำเป็นจริงๆ ฮือๆๆๆ”
“ไม่ต้องมาทำเจ้าเล่ห์มารยา เจ้าฉกชิงวิ่งราวเอาเงินของฮองเฮา โทษหนักแค่ไหนรู้หรือไม่?” เป๋าเจียงเหมยขู่ไม่เลิก สีหน้าของนางตอนนี้ดูเหี้ยมเกรียมยิ่งนัก
“ได้โปรด อภัยให้ข้าด้วยเถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอีก ปล่อยข้าไปเถิด ป่านนี้ท่านแม่และน้องๆคงรอข้าอยู่ ไว้ชีวิตข้าด้วย ฮือๆๆๆ”
เด็กหนุ่มร่ำไห้อย่างไม่อายผู้ใด เมื่อเห็นผู้เป็นพี่ร้องไห้อย่างหนัก เด็กชายอายุราวๆสิบขวบก็ร้องตาม
“อย่าทำอันใดพวกเราเลยขอรับ พวกเรายากจน ไม่มีกิน มารดาก็เจ็บป่วย น้องคนเล็กก็ป่วยไข้มาหลายวันแล้ว ที่บ้านไม่มีข้าวสารเหลือ จึงจำเป็นต้องวิ่งราว อันที่จริงพี่ใหญ่กับข้าเป็นคนดีนะขอรับ ได้โปรดเมตตาเด็กตาดำๆด้วยเถิดขอรับ ฮือๆๆๆ”
คำบอกเล่าและเสียงร่ำไห้ของสองพี่น้องชวนให้ผู้ฟังรู้สึกสะท้อนใจ
อี้เหม่ยหรงรู้สึกหนักอึ้งไปทั่วทรวงอก เรื่องราวของเด็กทั้งสองนี้ช่างสะท้อนชีวิตของนางโดยแท้ หญิงสาวตรากตรำทำงานหนักมาตั้งแต่เด็กเพราะมีบิดาที่ไม่เอาถ่าน วันๆเข้าแต่บ่อนการพนัน ส่วนมารดานั้นก็เจ็บไข้อยู่เป็นนิจ ตัวนางเองดิ้นรนหาทางทุกอย่างที่คิดว่าสุจริต ไม่เบียดเบียนผู้ใด แต่ครั้งหนึ่งเมื่อเข้าตาจนจริงๆ ตอนนั้นมารดาของนางไข้ขึ้นสูงมากและไม่มีเงินไปซื้อยา นางยังเคยคิดที่จะขโมยเงินเถ้าแก่เจ้าของสวนผักที่นางทำงานอยู่เป็นจำนวนเงินห้าตำลึง แต่แล้วสามัญสำนึกก็ได้เตือนนางว่าอย่าได้ทำเช่นนั้นให้ไปพูดคุยขอร้องกับเถ้าแก่สวนผักตามตรงจะดีกว่า และผลก็คือฮูหยินของเถ้าแก่มอบเงินให้นางห้าตำลึงโดยไม่ต้องใช้คืน เพราะเห็นแก่นางที่เป็นคนกตัญญูรู้คุณ
“ฮองเฮา ทรงว่าอย่างไรเพคะ?”
“อะ…เอ่อ…อะไรนะเป๋ามามา” เสียงของหัวหน้านางกำนัลปลุกหญิงสาวให้ออกจากภวังค์
“เราจะทำอย่างไรกับเจ้าโจรเด็กสองคนนี่ดีเพคะ?”
“พวกเจ้าสองคน คงเป็นองครักษ์สินะ ข้าไม่แปลกใจหรอกที่มีองครักษ์ตามมา ทั้งหมดคงเป็นหวังกงกงสินะที่จัดการเรื่องนี้ อืม…แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เราจะได้รู้ว่าเด็กสองคนนี้พูดจริงหรือไม่ ให้พวกเจ้าพาเด็กสองคนนี้ไปส่งที่บ้าน และจับตาดูความเคลื่อนไหวของคนในบ้านหลังนั้น หากว่ามีคนเจ็บป่วยจริง ให้ตามหมอในเมืองไปรักษา ค่าหมอและค่ายาให้มาเอาที่ข้า และหากว่าที่บ้านของพวกเขายากจน ไม่มีจะกินจริงๆให้จัดหาข้าวปลาอาหารและของใช้จำเป็นไปให้”
“อะ…เอ่อ…แต่เจ้าสองคนนี้เป็นโจรฉกชิงวิ่งราวของของฮองเฮานะเพคะ”
“เป๋ามามา คนที่ทำผิดทำชั่ว บางทีไม่ใช่เพราะเขาชั่วโดยสันดานหรอกนะ แต่บางครั้งมันก็มีเหตุจำเป็นมาบีบบังคับ เวลานี้แคว้นฉางกำลังประสบเภทภัยหลายด้าน ราษฎรอดอยากแร้นแค้น ความไม่มีจะกินทำให้พวกเขาต้องผันตัวมาเป็นโจรทั้งๆที่ไม่ได้อยากเป็น สิ่งที่ข้าผู้เป็นฮองเฮา สตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาแห่งแคว้นฉางควรที่จะทำก็คือการช่วยเหลือราษฎรมิใช่หรือ?”
เป๋าเจียงเหมยสบตากับหวังหย่งคังคล้ายๆขอความเห็น หวังกงกงยิ้มบางๆให้นางพลางพยักหน้า เป๋ามามาพยักหน้าตอบ
พวกเขาได้สตรีที่เหมาะสมกับการเป็นมารดาแห่งแผ่นดินแล้วจริงๆ