อี้เหม่ยหรงเป็นสตรีที่มีความเชื่อว่า ชีวิตของคนเราทุกคนนั้นย่อมมีค่า อย่างน้อยก็มีค่าสำหรับใครบางคน อย่างตัวนางเองก็รู้ว่ามารดาที่เจ็บป่วยออดๆแอดๆและชอบบ่นว่าตนเป็นคนไร้ค่านั้นมีค่ากับนางมากเพียงไร
‘ในเมื่อข้าเป็นผู้ที่ได้รับโอกาสจากสวรรค์ให้ต้องกลายมาเป็นฮองเฮา เป็นมารดาแผ่นดินของแคว้นฉาง ข้าก็จะใช้โอกาสนี้ทำความดีเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างเต็มที่ จะมีสตรีสักกี่นางในใต้หล้านี้กันที่จะได้รับโอกาสดีๆเช่นนี้ หากข้ายังเป็นอี้เหม่ยหรงคนเดิม เป็นหญิงสาวชาวบ้านฐานะยากจน ข้าคงไม่มีโอกาสดีๆเช่นนี้เป็นแน่’ อี้เหม่ยหรงนึกกระหยิ่มในใจ พลันนางเรียกหาคนสนิทอาวุโสทั้งสองของตน
“ หวังกงกง เป๋ามามา”
“พะย่ะค่ะ”
“เพคะฮองเฮา”
“มีอันใดให้พวกเรารับใช้หรือเพคะ/พะย่ะค่ะ” คนทั้งสองพูดแทบจะพร้อมกัน
อี้เหม่ยหรงเหลือบมองดอกเหมยที่บานรับฤดูใบไม้ผลิด้านนอกของพระตำหนักเหมยกุ้ยก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
“ตอนนี้เงินในท้องพระคลังร่อยหรอลงไปมากแล้วใช่หรือไม่ ข้ารู้ว่านี่มิใช่กิจของนางในในวังหลัง แต่เพราะข้ามิใช่นางในหรือสนมทั่วไป หากแต่เป็นฮองเฮา มารดาแห่งแผ่นดินแคว้นฉาง หน้าที่ของฮองเฮามิควรเป็นแต่เพียงปกครองวังหลัง แต่หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือราชกิจของฝ่าบาทหรือช่วยเหลือราษฎรได้บ้าง ข้าก็ควรจะทำใช่หรือไม่?” อี้เหม่ยหรงนอนคิดมาหลายวันแล้วว่า เวลาที่เหลืออีกสามร้อยกว่าวันแทนที่จะนั่งๆนอนๆกินแล้วก็นอน ชีวิตหาสาระอันใดมิได้เหมือนพวกสตรีที่กำเนิดจากชนชั้นสูงทั้งหลายและกลายเป็นพระสนมในเวลานี้คงน่าเบื่อแย่ ตอนนี้นางหมดภาระหนี้สิน ชีวิตนี้นอกจากมารดาแล้วก็ไม่มีอันใดให้ต้องห่วง เช่นนั้นก็หาอะไรสนุกๆและเป็นประโยชน์ต่อผู้คนทำไม่ดีกว่าหรือ
ทั้งหวังกงกงและเป๋ามามาต่างให้แปลกใจที่อยู่ๆประมุขแห่งวังหลังก็ถามคำถามนี้
“อะ…เอ่อ เรื่องนี้นั้น…”
“บอกข้ามาตามตรงเถอะ หวังกงกง”
“พะย่ะค่ะ เวลานี้เงินในท้องพระคลังร่อยหรอเต็มที ส่วนข้าวของมีค่าบางส่วนก็ค่อยๆถูกทยอยขายออกไปให้กับพวกคหบดีทั้งหลายในราคาที่ต่ำมากๆเพื่อหวังให้ได้เงินมาเยียวยาความทุกข์ยากของราษฎรพะย่ะค่ะ”
อี้เหม่ยหรงทำสีหน้าครุ่นคิดพลางเอ่ย
“อืม…ฮ่องเต้ของพวกเรานี่จริงๆแล้วก็ทรงมีพระเมตตาและห่วงใยราษฎรเหมือนกันนะ เห็นเป็นคนเย็นชาหน้าหินแบบนั้น คราแรกนึกว่าจะเป็นฮ่องเต้ทรราชซะอีก”
“ว๊าย! ฮองเฮา อย่าได้กล่าวเช่นนี้อีกนะเพคะ กำแพงมีหูประตูมีช่อง หากผู้ใดมาได้ยินเข้าอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ได้”เป๋าเจียงเหมยเตือน
“ข้าไม่ได้ว่าร้ายฝ่าบาทเสียหน่อย พวกเจ้าก็ได้ยินอยู่ที่ข้าบอกว่าทรงเป็นฮ่องเต้ที่มีพระเมตตาและห่วงใยราษฎรอย่างไรล่ะ” อี้เหม่ยหรงไม่ยี่หระต่อท่าทางที่ดูเหมือนเต่าหดหัวของหัวหน้านางกำนัลประจำพระตำหนักเหมยกุ้ย
“เอ่อ แล้ว…ฮองเฮาจะทรงช่วยราชกิจฝ่าบาทและทรงช่วยเหลือราษฎรอย่างไรพะย่ะค่ะ ลำพังค่าหมอ ค่ายา ค่าอาหารที่ฮองเฮาทรงประทานช่วยเหลือครอบครัวของเด็กโจรสองคนนั้นก็หมดไปเกือบร้อยตำลึงแล้วนะพะย่ะค่ะ”
อี้เหม่ยหรงหรี่ตาลงพลางกล่าว
“หวังกงกง ข้าอยากรู้ว่า สนมชายาทั้งหลาย อ้อ…รวมทั้งไทเฮาด้วย แต่ละคนได้รับเบี้ยหวัดรายเดือนคนละเท่าใด?”
หวังกงกงลอบสบตากับเป๋ามามาอย่างมีนัยสำคัญ วันนี้ประมุขแห่งวังหลังคิดจะทำการใดหนอ จะเป็นเรื่องชวนปวดหัวอีกหรือไม่
“อะ…เอ่อ…เรื่องนี้”
“เรื่องนี้คนระดับขันทีอาวุโสที่อยู่ในวังหลวงมานานอย่างหวังกงกงไม่รู้คงมิได้สินะ” อี้เหม่ยหรงปรายตามองหวังกงกงพลางหัวเราะหึๆในลำคอ
“เอ่อ…ทูลฮองเฮา สำหรับไทเฮา ทรงได้รับเบี้ยหวัดรายเดือนเดือนละสองพันตำลึง ทองคำอีกยี่สิบตำลึง แต่ตอนนี้ทองคำคงไม่มีแล้ว ได้ยินข่าวลือมาว่าฝ่าบาททรงขอกับไทเฮาเอาไว้เพราะตอนนี้ทองคำในท้องพระคลังต้องถูกขายออกเพื่อเอาเงินไปช่วยเหลือราษฎรที่ตกทุกข์ได้ยากพะย่ะค่ะ”
“อืม เรื่องนั้นนับว่ามีเหตุมีผล” อี้เหม่ยหรงพยักหน้า
“ส่วนตำแหน่งฮองเฮา ได้รับเบี้ยหวัดเป็นเงินเดือนละสองพันตำลึงพะย่ะค่ะ”
“เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว” ก็นางอยู่ในตำแหน่งฮองเฮาเองนี่นะ อี้เหม่ยหรงพยายามปิดบังแววขบขันบนใบหน้าของตน
“เอ่อ…ส่วนตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยนั้นได้รับเบี้ยหวัดเดือนละแปดร้อยตำลึง กุ้ยเฟยเดือนละหกร้อยตำลึง พระสนมขั้นเฟยได้เดือนละสามร้อยตำลึง พระสนมขั้นผินได้เดือนละสองร้อยตำลึง กุ้ยเหรินหนึ่งร้อยตำลึง ฉางจ้ายห้าสิบตำลึง ส่วนตาอิ้งนั้นได้เดือนละสามสิบตำลึงพะย่ะค่ะ”
อี้เหม่ยหรงทำท่าครุ่นคิดพลางกระตุกยิ้มมุมปาก
“อันที่จริงเหล่าสนมนางในทั้งหลายที่อาศัยอยู่ที่วังหลังแห่งนี้นั้นก็มิได้ลำบากยากเข็ญ หรือว่าอยู่อย่างอดๆอยากๆ ยากจนข้นแค้น อดมื้อกินมื้อใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นอาจจะเสื่อมเสียมาถึงฝ่าบาทได้ อาหารการกิน ของใช้ เสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆล้วนได้รับจากวังหลวง ฝ่าบาททรงดูแลสตรีของพระองค์ได้เป็นอย่างดี”
“เป็นเช่นนั้นพะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุนี้ ข้าจึงคิดว่าเหล่าสนมนางในรวมทั้งข้าด้วยที่เป็นฮองเฮามิได้เดือดร้อนเรื่องเงินและความเป็นอยู่อย่างราษฎรข้างนอกที่กำลังประสบกับทุกข์ภัย ข้าจึงมีความคิดว่าควรที่จะลดเบี้ยหวัดรายเดือนของทุกคนเหลือกึ่งหนึ่ง เพื่อนำเงินอีกกึ่งหนึ่งนั้นนำเข้าสมทบกับเงินในท้องพระคลังเพื่อนำไปช่วยเหลือราษฎร พวกท่านทั้งสองเห็นว่าแนวความคิดนี้ดีใช่หรือไม่” อี้เหม่ยหรงพูดจบก็ส่งยิ้มกว้างให้กับใบหน้าอันซีดเผือดของคนสนิททั้งสอง
“วะ…ว่า ว่าอย่างไรนะเพคะ ฮองเฮาเพคะ ทำเช่นนี้เหล่าพระสนมทั้งหลายจะไม่ต่อต้านฮองเฮาอย่างรุนแรงหรือเพคะ” เป๋ามามาปากสั่นคอสั่น
“พวกนางอาจจะไปทูลยุแยงฝ่าบาทว่าโดนฮองเฮารังแกได้นะพะ…พะย่ะค่ะ” หวังกงกงเองก็พูดด้วยเสียงสั่นๆไม่ต่างกัน
“แล้วไหนจะไทเฮาอีกล่ะเพคะ มีหรือจะทรงยอม อาจจะใช้เรื่องนี้หาทางปลดฮองเฮาก็เป็นได้นะเพคะ”
อี้เหม่ยหรงมีสีหน้าสลดลงก่อนจะปรับเปลี่ยนในฉับพลัน
“ฮ่าๆๆๆ”
“เอ่อ ฮองเฮา ทรงหัวเราะอันใดหรือเพคะ?”
“ก็หวังกงกงเพิ่งจะบอกเองมิใช่หรือว่าตอนนี้ท้องพระคลังกำลังร่อยหรอ ไม่แน่ บางทีเรื่องนี้ฝ่าบาทอาจจะทรงคิดมาก่อนข้าแล้วก็เป็นได้ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะทรงเอ่ยปากอย่างไรดี ข้าก็เลยขอรับหน้าเองหากว่าเหล่าบรรดาสนมจะต่อต้านขึ้นมา”
“แล้ว…เอ่อ…ไทเฮาล่ะเพคะ” เป๋ามามายังมีสีหน้ากังวล
“มีคำสั่งออกไป ให้ลดเบี้ยหวัดของเหล่าสนมชายาทั้งหลาย รวมทั้งของตำแหน่งฮองเฮาด้วย โดยลดเหลือกึ่งหนึ่ง ยกเว้นตำแหน่งไทเฮา ไม่มีการปรับลดเงินเบี้ยหวัดใดๆ แต่ข้าคิดว่าไทเฮาเองคงมิอาจนิ่งดูดายได้” อี้เหม่ยหรงคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าแล้ว หากสนมชายารวมทั้งฮองเฮาจำต้องลดเบี้ยหวัดให้เหลือกึ่งหนึ่งเพื่อนำเงินเหล่านั้นไปสมทบกับเงินในท้องพระคลังเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก มีหรือที่คนที่เป็นไทเฮาจะทำนิ่งดูดายเป็นทองไม่รู้ร้อนได้ พระนางจำต้องประกาศออกมาว่าจะขอรับเบี้ยหวัดเหลือกึ่งหนึ่งเช่นกัน เพราะพระนางก็เป็นห่วงเป็นใยราษฎรไม่แพ้ฮองเฮา หากไม่ทำเช่นนั้นผู้คนจะซุบซิบนินทาและติฉินว่าไทเฮาทรงเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าความเป็นอยู่ของราษฎรได้
หลังจากมีประกาศของฮองเฮาออกไปเหล่าสนมชายาทั่วทั้งวังหลังต่างเป็นเดือดเป็นร้อน มีหรือที่พวกนางจะอยู่อย่างเป็นสุขได้ ในเวลานี้ด้านหน้าของพระตำหนักหลงเฟยเฟิ่งต่างคลาคล่ำไปด้วยเหล่าสนมและนางกำนัลของพวกนาง
“ฝ่าบาทเพคะ พวกเราไม่ได้รับความเป็นธรรมนะเพคะ”
“จะให้ฮองเฮาทำกับพวกเราเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ พวกเราเคยได้รับเบี้ยหวัดตามธรรมเนียมมาโดยตลอด ฮองเฮาสั่งลดเบี้ยหวัดของพวกเราเช่นนี้นอกจากกระทำการโดยพละการแล้วยังเป็นการหมิ่นพระเกียรติของฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาทเสื่อมเสียได้นะเพคะ” อวี้ไป๋หลาน สตรีผู้รั้งตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยอาสาออกหน้าต่อต้านฮองเฮา นางมั่นใจในความรักและความโปรดปรานที่ฉินหย่งเต๋อมีให้นางอย่างลึกซึ้ง
“หม่อมฉันเป็นเพียงพระสนมขั้นตาอิ้ง ได้รับเบี้ยหวัดเพียงเดือนละสามสิบตำลึงเท่านั้น หากต้องลดเบี้ยหวัดลงกึ่งหนึ่งมิเท่ากับว่าหม่อมฉันจะได้รับเพียงเดือนละสิบห้าตำลึงหรือเพคะ ฮือๆๆๆ” สนมขั้นตาอิ้งผู้นั้นแสร้งทำเป็นร้องห่มร้องไห้ ทว่ากลับไม่มีน้ำตา
“พวกเรายอมไม่ได้ จะให้ฮองเฮาที่มาจากชนชั้นต่ำมารังแกพวกเราได้ตามอำเภอใจได้อย่างไร ฝ่าบาททรงให้ความเป็นธรรมด้วยนะเพคะ”
“ลงโทษนางโดยปลดจากการเป็นฮองเฮาและขับไล่ไปเสีย เห็นหรือไม่ว่าวังหลังเกิดความโกลาหลวุ่นวายเช่นนี้ก็เพราะนาง” ลู่ไทเฮาที่ยืนมองดูความโกลาหลอลหม่านด้านในพระตำหนักข้างๆพระโอรสของพระนางเอ่ยออกมา
ฉินหย่งเต๋อถอนหายใจอย่างแรงก่อนหันมาเอ่ยกับพระมารดา
“ลูกทำเช่นนั้นมิได้พะย่ะค่ะ อันที่จริงความคิดเรื่องการปรับลดเบี้ยหวัดของเหล่าสนมนางในลูกก็เคยคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ เพียงแต่ เอ่อ…ลูกยังหาโอกาสประกาศราชโองการออกไปมิได้ โชคดีที่อี้ฮองเฮาก็เกิดความคิดพิสดารนี้ขึ้นมา ลูกจึงจำเป็นต้องอาศัยยืมมือนางพะย่ะค่ะ
“นะ…นี่ นี่ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร ข้างงไปหมดแล้ว” ลู่ไทเฮาหน้าซีดคล้ายจะเป็นลม นางคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินสิ่งที่พระโอรสซึ่งเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าตรัสออกมา
“เสด็จแม่ ตอนนี้ท้องพระคลังจวนเจียนจะติดลบแล้ว ตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลือติดท้องพระคลังแม้แต่ตำลึงเดียว เป็นเช่นนี้ลูกจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเบี้ยหวัดให้เหล่าสนมชายาได้เล่าพะย่ะค่ะ ครานี้เห็นทีต้องขอบใจอี้ฮองเฮาที่ช่วยออกความคิดและอาสาออกหน้ารับแทน” ฉินหย่งเต๋อเพิ่งจะตระหนักได้ในเวลานี้เองว่าการมีอี้เหม่ยหรงเป็นฮองเฮาก็ช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องค่าใช้จ่ายในวังหลังไปได้มาก ตอนนี้เงินเบี้ยหวัดของสนมชายายังไม่มีจะจ่าย ไหนจะเหล่านางกำนัลและขันทีอีกเล่า เมื่อคิดคำนวณจำนวนบ่าวรับใช้ในวังแล้วโอรสสวรรค์ก็อดทอดถอนใจมิได้
‘ในวังมีจำนวนบ่าวรับใช้มากเกินความจำเป็นหรือไม่นะ?’
*** ข้อคิด : เมื่อเราได้รับโอกาส จงใช้โอกาสนั้นให้เต็มที่