ตอนที่ 13 ลดเบี้ยหวัดกันถ้วนหน้า

1894 คำ
“อะไรนะ!” ลู่ไทเฮาโพล่งออกมาแล้วก็เป็นลมล้มพับไป ดีที่เหล่านางกำนัลขันทีคนสนิทของพระนางเข้ามารับร่างไว้ได้ทัน “ไทเฮาทรงประชวรพระวาโย พวกเจ้ารีบพาพระนางไปพักที่ห้องรับรองข้างๆก่อน เดี๋ยวข้าจะออกไปจัดการเหล่าสนมชายาที่ด้านนอก” พูดจบฉินหย่งเต๋อก็ก้าวเท้าพรวดๆเดินออกไปด้านนอกพระตำหนักที่เหล่าสนมชายาทั้งหลายกำลังคุกเข่าอ้อนวอนขอความเป็นธรรม “ฝ่าบาททรงเสด็จมาแล้ว” พระสนมขั้นผินนางหนึ่งเอ่ยอย่างลิงโลด พระสนมขั้นกุ้ยเหรินนางหนึ่งกวาดสายตามองไปจนทั่วก่อนจะเอ่ยกับสหายที่เป็นกุ้ยเหรินด้วยกัน “ข้าไม่เห็นลู่กุ้ยเฟยเลย นางไม่มาหรอกหรือ?” “ข้าเองก็มิอาจรู้ได้ แต่ช่างเถอะ ฝ่าบาททรงเสด็จมานู่นแล้ว คราวนี้ฮองเฮาจากชนชั้นต่ำนั่นต้องถูกปลดแน่ๆ” “ฝ่าบาทเพคะ ขอความเป็นธรรมให้พวกเราด้วยเถิดเพคะ” อวี้หวงกุ้ยเฟยออดอ้อน นางต้องการข่มให้นางสนมที่มีตำแหน่งต่ำกว่านางทั้งหลายได้ประจักษ์แก่สายตาว่าฉินหย่งเต๋อฮ่องเต้นั้นทรงโปรดปรานนางเพียงใด ฉินหย่งเต๋อมีสีหน้าลำบากใจ เขาทำท่ากระอักกระอ่วนก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา ประโยคที่ทำให้เหล่าสนมชายาทั้งหลายนั้นแทบจะล้มทั้งยืน “เรื่องนี้ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของฮองเฮา นางเป็นผู้ปกครองวังหลัง คงเห็นสมควรแล้ว อีกอย่าง…พวกเจ้าทั้งหลายที่กินอยู่สุขสบายในวังหลวงแห่งนี้คงจะไม่รู้ว่าราษฎรด้านนอกนั้นมีความเป็นอยู่ที่ยากแค้นเพียงใด ขอให้เห็นแก่ราษฎรและแคว้นฉางแผ่นดินของพวกเราเถิด เวลานี้ขอลดเบี้ยหวัดไปก่อน ในภายภาคหน้าหากแคว้นฉางกลับมารุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ดังเดิม ข้าสัญญาว่าจะชดเชยให้พวกเจ้าทุกคน” “อะ…อะไรนะเพคะ นี่หม่อมฉันหูฝาดไปใช่หรือไม่?” อวี้ไป๋หลานปากสั่น เสียงสั่น หน้าก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด “ต่อไปนี้ขอให้พวกเจ้าฟังคำสั่งของฮองเฮา นางเป็นประมุขแห่งวังหลัง นางคือผู้ปกครองของพวกเจ้า ส่วนตัวข้านั้นเวลานี้ก็มีราชกิจมากมายให้ต้องเร่งสะสาง ในแต่ละวันก็ทำงานหนักจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน พวกเจ้าไม่เห็นรึ ต่อไปอย่าสร้างความวุ่นวายให้ข้าต้องรำคาญใจอีก เข้าใจหรือไม่?” ตรัสจบโอรสสวรรค์ก็สะบัดชายชุดมังกรสีน้ำเงินหันหลังกลับเข้าไปด้านในพระตำหนักหลงเฟยเฟิ่ง “ไม่จริงใช่หรือไม่ พวกเราหูฝาดไปใช่หรือไม่?” กุ้ยเหรินผู้หนึ่งพยายามหยิกตัวเอง “เป็นไปได้อย่างไร ฝ่าบาททรงเห็นฮองเฮาซึ่งเป็นสตรีจากชนชั้นต่ำดีกว่าพวกเราซึ่งเป็นสตรีจากชนชั้นสูง” พระสนมขั้นผินผู้หนึ่งเอ่ยอย่างกราดเกรี้ยว ฝ่ายอวี้ไป๋หลานนั้นได้แต่จิกเล็บแน่น นางไม่รู้สึกถึงความเจ็บที่เล็บคมๆนั้นจิกเนื้อตนจนเลือดไหลซิบๆ “ทูลพระสนมทั้งหลาย ฮองเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้เหล่าสนมชายาทั้งหลายเสด็จไปเข้าเฝ้าที่พระตำหนักเหมยกุ้ยโดยด่วนที่สุดพะย่ะ” หวังกงกงพูดจบก็ค้อมกายนิ่งให้เหล่าสนมชายา แต่สายตากลับแอบชำเลืองมองสีหน้าของโฉมสะคราญทั้งหลาย เหล่าสนมชายาจำใจต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮาที่พวกนางต่างดูแคลนว่าเป็นสตรีจากชนชั้นต่ำอย่างขัดเสียมิได้ ที่ด้านหน้าพระตำหนักเหมยกุ้ย เป๋ามามาและนางกำนัลพร้อมขันทีได้ออกมายืนรอต้อนรับแล้ว “เชิญพระสนมทั้งหลายที่ห้องโถงใหญ่เพคะ” เวลานี้ห้องโถงของพระตำหนักเหมยกุ้ยอันยิ่งใหญ่และหรูหราได้ถูกตระเตรียมไว้ต้อนรับเหล่าบรรดาสนมชายา เก้าอี้ไม้จันทร์แดงหลายสิบตัวได้ถูกนำมาวางเรียงรายรอต้อนรับเหล่าโฉมสะคราญทั้งหลาย อี้เหม่ยหรงนั่งเป็นสง่าในตำแหน่งประธาน สายตานางจับจ้องเหล่าสนมชายาและนางกำนัลของพวกนางที่ทยอยเดินเข้ามาทีละคน ถึงแม้ตำแหน่งของพวกนางจะต่ำกว่าอี้เหม่ยหรง แต่จะมีสตรีจากชนชั้นสูงผู้ใดเล่าที่อยากจะก้มหัวให้สตรีที่กำเนิดจากชนชั้นต่ำ พวกนางจึงแสร้งทำไขสือ บางคนเข้ามาแล้วก็ไปเลือกเก้าอี้นั่งที่เหมาะกับตำแหน่งของตน บางคนก็ยืนนิ่ง ไม่มีผู้ใดที่จะทำการแสดงความเคารพต่อประมุขแห่งวังหลังเลย อี้เหม่ยหรงหรี่ตาลงพลางเหยียดยิ้ม “นี่พวกเจ้าอยู่ต่อหน้าผู้ใดกัน” เงียบ ไม่มีผู้ใดตอบ จู่ๆอวี้ไป๋หลานก็อดรนทนต่อไปไม่ไหว “ฮองเฮาลดเบี้ยหวัดของพวกเราทำไมกันเพคะ ทำเยี่ยงนี้มิเป็นการรังแกกันไปหน่อยหรือ?” น้ำเสียงและท่าทางของนางเดือดดาลยิ่งนัก อวี้หวงกุ้ยแฟยถือตนว่าเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ นางทั้งถือดี จองหองและเย่อหยิ่ง มีหรือที่จะยอมลงให้สตรีจากชนชั้นต่ำผู้อยู่ตรงหน้านี้ อี้เหม่ยหรงเหยียดกายลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะกล่าว “ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาก็ด้วยเหตุนี้แหละ แต่…พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าที่นี่คือที่ใดและข้าคือผู้ใด เวลานี้ข้าคือผู้ปกครองวังหลัง หากสนมชายาคนใดไม่ให้ความเคารพ ข้ามีสิทธิ์ตัดสินลงโทษได้ ฝ่าบาทได้มอบสิทธิ์และอำนาจนั้นให้แก่ข้าแล้ว พวกเจ้าดูสิ นี่คือสิ่งใด?” อี้เหม่ยหรงชูตราหงส์มังกร สัญลักษณ์ของฮองเฮาขึ้นมาตรงหน้า สายตาของโฉมงามหลายสิบคนต่างจับจ้องไปที่สิ่งที่พวกนางปรารถนาอยากจะครอบครองในมือของอี้เหม่ยหรง สรรพสิ่งรอบกายเงียบสงัดจนกระทั่งมีเสียงหนึ่งตวาดดังขึ้นมา “ยังไม่รีบคุกเข่าอีก” อี้เหม่ยหรงเสียงดังพร้อมสบถในใจ น้อยครั้งนักที่นางจะตวาดผู้อื่นเช่นนี้ เพียงเท่านี้เหล่าสนมชายาทั้งหลายต่างก็คุกเข่าลงแทบจะทันที พวกนางรับรู้ในบัดดลนี้ว่า สตรีจากชนชั้นต่ำผู้อยู่ตรงหน้านี้มิใช่ตะเกียงที่ไร้น้ำมัน “เอาล่ะ พวกเจ้าลุกขึ้นนั่งได้” “ฮองเฮาเพคะ คือ…เอ่อ…” สนมขั้นผินผู้หนึ่งลังเลเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดนางก็มิกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาใดๆออกมาอีก อี้เหม่ยหรงยกมือขึ้นปราม “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าต่อต้านข้า ต่อต้านคำสั่ง ต่อต้านประกาศของข้า แต่เวลานี้ข้าขอให้พวกเจ้าฟังข้าพูดให้จบก่อน” ทั่วทั้งห้องโถงเกิดความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง “พวกเจ้าเองแต่ละคนล้วนมีหูตากว้างไกล คงไม่ตกข่าวสารต่างๆกระมัง เวลานี้ราษฎรด้านนอกวังหลวงอดอยากแร้นแค้น มีเหตุเภทภัยมากมายอุบัติขึ้นกับแคว้นฉางของพวกเรา พวกเราที่เป็นนางในอาศัยอยู่ในวังไม่ได้เดือดร้อนอันใด มีที่อยู่ มีกิน มีข้าวของให้ใช้ไม่ขาดตกบกพร่อง อันที่จริงพวกเราไม่จำเป็นต้องใช้เงินซะด้วยซ้ำ ตอนนี้ท้องพระคลังร่อยหรอ อาจจะกำลังติดลบในไม่ช้า พวกเจ้ารู้จักคำว่าถังแตกหรือไม่ นั่นแหละ แคว้นฉางกำลังจะถังแตก ข้าจึงอยากขอให้พวกเราทุกคนช่วยเหลือกันคนละเล็กคนละน้อย สละเบี้ยหวัดรายเดือนคนละกึ่งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือราษฎรจะมิได้เชียวหรือ?” “แต่หม่อมฉันเป็นเพียงตาอิ้ง เบี้ยหวัดที่ได้รับรายเดือนก็เพียงแค่สามสิบตำลึงนะเพคะ หักไปกึ่งหนึ่งก็เหลือเพียงสิบห้าตำลึงเท่านั้น แต่ฮองเฮาทรงได้รับเบี้ยหวัดถึงเดือนละสองพันตำลึง หักแล้วยังเหลือตั้งหนึ่งพันตำลึง” นางก็คือตาอิ้งปากพล่อยที่มักจะคุมปากตนเองไม่ได้ นาม จินเซี่ยหรู “จินตาอิ้ง ที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้อง แต่…เงินที่เหลือหนึ่งพันตำลึงของข้านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าใช้จ่ายไปกับสิ่งใดบ้าง เป๋ามามา…พูด” อี้เหม่ยหรงหันไปสบตากับนางกำนัลอาวุโสคนสนิท เป๋าเจียงเหมยรอจังหวะนี้อยู่แล้ว ยิ่งประมุขแห่งวังหลังสั่งให้พูด นั่นหมายความว่ามิต้องเกรงใจผู้ใดแล้ว “ทูลพระสนมทั้งหลาย ฮองเฮาทรงให้ตั้งโรงทานทุกวัน แจกจ่ายอาหารให้กับราษฎรที่ยากไร้ เงินหนึ่งพันตำลึงนั้นก็หาได้พอไม่เพคะ” พระสนมบางคนหาได้แสดงสีหน้ายินดีในความมีเมตตาของฮองเฮาไม่ บางคนยังแอบทำเสียง ‘ฮึ’ ในลำคออีกด้วย “อีกอย่าง…ที่ข้าเคยได้ยินว่าพวกเจ้าบางคนดูแคลนข้าว่าเป็นสตรีมาจากชนชั้นต่ำ ข้าเองก็ยอมรับว่าเป็นความจริง” เมื่ออี้เหม่ยหรงพูดถึงตรงนี้เหล่าสนมชายาหลายๆคนโดยเฉพาะอวี้หวงกุ้ยเฟยต่างก็ยืดลำตัวขึ้นพลางเหยียดยิ้มโดยไม่คิดจะปิดบังสีหน้าของตนที่แสดงออกมา “จากที่ข้ารู้มา เหล่าสนมชายาที่ถูกคัดเลือกเข้ามาล้วนเป็นลูกหลานของสกุลผู้สูงศักดิ์ เป็นบุตรีของฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของบิดาทั้งนั้น” “ฮองเฮาทรงเข้าใจถูกต้องแล้วเพคะ” เป็นจินเซี่ยหรูอีกเช่นเคยที่โพล่งออกมาในขณะที่คนอื่นๆต่างเงียบ รอดูรอฟังว่าสตรีจากชนชั้นต่ำผู้นี้จะพูดอันใดต่อไป “พวกเจ้าล้วนเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ เป็นบุตรของภรรยาเอก แต่…” อี้เหม่ยหรงเว้นจังหวะเพื่อหายใจ “แต่อันใดเพคะ” คราวนี้เป็นอวี้หวงกุ้ยเฟยที่อดรนทนต่อไปไม่ได้ “แต่ต้องมาเป็นอนุน่ะสิ” “ว่าอย่างไรนะ ฮองเฮาทรงตรัสเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเราจะเป็นอนุได้อย่างไร ตรัสเช่นนี้มันเกินไปแล้ว” “ถือว่านี่เป็นการเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีของเหล่าสนมชายาที่เป็นลูกหลานของชนชั้นสูงโดยแท้ พวกเรายอมไม่ได้” “นี่พวกเจ้าจะโวยวายให้วุ่นวายไปทำไมกัน ฝ่าบาทเพิ่งจะทรงตรัสมิใช่รึว่าหมู่นี้พระองค์ต้องทรงงานหนัก ห้ามพวกเจ้าไปสร้างความวุ่นวายรบกวนพระองค์ และยังให้ข้าผู้เป็นประมุขแห่งวังหลังปกครองพวกเจ้า จัดการวังหลังให้อยู่ในความสงบ ที่ข้าพูดมาเพียงแต่ต้องการเตือนสติพวกเจ้า ลองคิดตามที่ข้าพูดดู ภรรยาเอกมีเพียงหนึ่ง และภรรยาเอกของฮ่องเต้คือผู้ใดหากมิใช่ผู้ที่เป็นฮองเฮา จะมาก่อน มาหลัง ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ตำแหน่ง เมื่อภรรยาเอกมีเพียงหนึ่งคือฮองเฮา เหล่าสนมชายาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระสนมขั้นสูงหรือว่าพระสนมขั้นต่ำ ฐานะที่แท้จริงก็คืออนุ พวกเจ้าว่าข้าพูดผิดหรือไม่ ลองเก็บเอาไปคิดดู เอาล่ะวันนี้พวกเจ้าไปได้แล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องให้คิดให้ทำอีกมาก ชีวิตของคนเป็นฮองเฮาจะหาสาระมิได้ได้อย่างไรกันล่ะ” พูดจบอี้เหม่ยหรงก็แอบยกยิ้มให้กับตนเอง วังหลังแห่งนี้ อย่างไรก็เป็นสนามรบของสตรีที่เป็นโฉมสะคราญทั้งหลายสินะ อี้เหม่ยหรงรู้ว่าเวลานี้คงมีสนมหลายนางที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันและหัวเราะเสียงขื่นในใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม