ตอนที่ 7 ผู้อยู่เบื้องหลัง

1806 คำ
เรื่องนี้หากจะว่าแปลกประหลาดก็อาจจะใช่ แต่หากจะมองว่าไม่แปลกก็ต้องเป็นเพราะมีผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งคนผู้นั้นจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้ นอกจาก …อันอ๋อง ณ พระตำหนักเฉิงต๋า ฉินอันอ้ายนั่งจิบชาหลงจิ่งพร้อมกับหรี่ตามองเปลวเทียนที่วูบไหวไปตามแรงลมพลางถอนหายใจ ‘ในที่สุดภารกิจนี้ก็สำเร็จซะที’ แต่ก็เป็นเพียงขั้นแรกเท่านั้น การที่อี้เหม่ยหรงยอมเป็นฮองเฮาแต่โดยดีในระยะเวลาหนึ่งปีนั้นจะสามารถปัดเป่าโพยภัยทั้งหลายให้หมดไปจากแคว้นฉางได้จริงหรือไม่นั้นเห็นจะต้องมาดูกันอีกที ‘หลังจากสตรีที่มีเวลาตกฟากนี้ได้นั่งบัลลังก์หงส์ ภายในหนึ่งปีเหตุเภทภัยต่างๆที่เกิดขึ้นกับแคว้นฉางจะหมดไป แต่ถ้าหากว่าอยากให้แผ่นดินแคว้นฉางเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง มั่นคง เป็นปึกแผ่นกว่าเดิมนั้น นางจะต้องเป็นหงส์คู่บัลลังก์มังกรตลอดรัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์ต่อไป หากนางมีทายาท ทายาทของนางจะยิ่งใหญ่กลายเป็นมหาจักพรรดิ แคว้นอื่นๆต่างยอมอ่อนข้อและมาขอสวามิภักดิ์ แต่อย่างไรเสีย อย่างแรกเลย พวกท่านต้องหาตัวนางให้เจอก่อน’ คำพูดของซินแสเทวดาในวันนั้นยังก้องอยู่ในหัวของท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์จวบจนกระทั่งถึงวันนี้ “อืม…เอาเถอะ อย่างไรเสียวันนี้นางก็ได้ชื่อว่าเป็นฮองเฮาของแคว้นฉางแล้ว อย่างน้อยเหตุเภทภัยต่างๆก็น่าจะหมดไป ส่วนในภายภาคหน้านั้นยากจะคาดเดาได้ ขอแค่ให้แคว้นฉางหมดเคราะห์หมดเวรภายในหนึ่งปีนี้ก่อนก็เป็นที่น่าพอใจแล้ว” ฉินอันอ้ายพึมพำเบาๆกับตนเอง เขาได้รับการฝากฝังจากพี่ชายแท้ๆซึ่งเป็นอดีตฮ่องเต้ให้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับหลานชายซึ่งก็คือฉินหย่งเต๋อฮ่องเต้ และเรื่องสำคัญที่สุดที่อดีตฮ่องเต้ฝากฝังไว้ก็คือ…ตามหาสตรีที่มีเวลาตกฟากตามที่ซินแสเทวดาบอกให้เจอ และให้ดูแลปกป้องคุ้มครองนางอยู่ห่างๆ รอดูจนกระทั่งเมื่อฉินหย่งเต๋อขึ้นครองบัลลังก์เข้าปีที่แปดแล้วจะมีเหตุเภทภัยร้ายเกิดขึ้นกับแคว้นฉางจริงหรือไม่ หากทุกอย่างเป็นไปตามคำทำนายก็ขอให้อันอ๋องจัดการทำทุกวิถีทางให้นางมาเป็นฮองเฮาให้ได้ ฉินอันอ้ายสั่งให้คนของเขาเริ่มออกตามหาสตรีผู้นี้หลังจากที่ฉินหย่งเต๋อขึ้นครองบัลลังก์มังกรหมาดๆ ผ่านไปสองปีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจะเจอสตรีนางนี้ แต่อันอ๋องก็ไม่เคยถอดใจ เขาเพิ่มกำลังคนขึ้น ตามหาสตรีปริศนาผู้นี้จนแทบจะเรียกได้ว่าปูพรมค้นหา พอเข้าปีที่สามสายลับคนหนึ่งก็ได้เข้ามากราบทูลรายงานว่าเจอสตรีนางหนึ่งที่มีเวลาตกฟากตามที่ซินแสเทวดาบอกกล่าวเอาไว้แล้ว นั่นสร้างความยินดีปรีดาแก่เขายิ่งนัก ฉินอันอ้ายถึงกับต้องไปดูให้เห็นกับตาตนเอง ครั้งแรกที่ได้เห็นนาง เขายังคงจำภาพนั้นได้เป็นอย่างดี ดรุณีวัยแรกรุ่นหน้าตามอมแมม สวมอาภรณ์เก่าๆ มีรอยปะชุนเต็มไปหมด สิ่งที่นางสวมใส่น่าจะเรียกว่าผ้าขี้ริ้วซะมากกว่า หญิงสาวกำลังหาบน้ำจากลำธารซึ่งห่างจากบ้านถึงสองลี้มาใส่โอ่ง ฉินอันอ้ายให้รู้สึกตื่นตะลึงเมื่อเห็นว่าถังน้ำที่นางใช้หาบน้ำนั้นเป็นถังใบใหญ่และแต่ละข้างของไม้คานนั้นมีถังข้างละสองใบ ‘เหตุใดนางจึงต้องทำงานหนักเยี่ยงนี้ เอ…แต่จะว่าไปนางก็ดูแข็งแรงมาก มากกว่าบุรุษหลายๆคนซะอีก’ ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์นึกในใจ เขาเฝ้าติดตามดูชีวิตความเป็นอยู่ของสตรีวัยแรกรุ่นผู้นี้พร้อมกับตรวจสอบข้อมูลเวลาตกฟากของนางกับทางการของเมืองซ่งจุนและให้คนไปล้วงข้อมูลนี้จากมารดาแท้ๆของนางอีกด้วยเพื่อความมั่นใจ หญิงสาวผู้นี้มีเวลาตกฟากตรงกับที่ซินแสเทวดาบอกกล่าวเอาไว้จริงๆด้วย และในแคว้นฉางนี้ก็มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่เกิดเวลาและ วัน เดือน ปี นี้ ทุกอย่างเจาะจงมาแล้วว่าต้องเป็นนาง สตรีสกุลอี้….อี้เหม่ยหรง หลังจากที่อันอ๋องกลับมาที่เมืองหลวงเขาก็ให้คนของเขาแอบตามดูชีวิตความเป็นอยู่ของอี้เหม่ยหรงมาตลอด เขารู้ว่า บิดานางเพิ่งจะเสีย มารดาร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยออดๆแอดๆ สามวันดีสี่วันไข้ ตัวนางเองก็เลยต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูมารดาและยังมีภาระอันใหญ่หลวง นั่นก็คือ…หนี้ก้อนโตหลายก้อนที่บิดาผู้ไม่เอาไหนของนางได้ก่อไว้ก่อนตาย “อืม…ใช้ได้ นางเป็นคนกตัญญู อันคุณงามความดีทั้งปวง ความกตัญญูถือว่าเป็นที่หนึ่ง” ฉินอันอ้ายยกยิ้มอย่างพึงพอใจ “นางเป็นคนขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ หาเงินมาได้ก็เอามาเป็นค่ายารักษามารดาและเอาไปจ่ายดอกเบี้ยมหาโหดให้พวกเจ้าหนี้ทั้งหลายพะย่ะค่ะ” คนของฉินอันอ้ายกราบทูลรายงานเพิ่มเติม ถึงแม้ว่าฉินอันอ้ายจะพำนักอยู่ในเมืองหลวง แต่เรื่องราวต่างๆในชีวิตประจำวันของอี้เหม่ยหรงนั้นเขาได้รับทราบตลอด “วันนี้นางตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ( 03.00-04.59น.) มาตำข้าว จากนั้นก็ทำอาหารเตรียมไว้ให้มารดา ก่อนที่จะเข้าไปในป่าเพื่อหาของป่า วันนี้นางได้เห็ด มันเทศ หน่อไม้ และยังได้กระต่ายป่ามาหนึ่งตัว กลับถึงบ้านนางก็ไปรับจ้างปลูกผักที่สวนผักขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ยคอกให้กับแปลงผัก ตัดผัก และช่วยคนงานอื่นๆเข็นผักไปส่งในตลาด ร้านค้าในตลาดรับซื้อผักจากสวนผักแห่งนี้แล้วส่งขึ้นคารวานรถม้ามาขายที่เมืองหลวงอย่างเมืองเป่าไฉพะย่ะค่ะ นางทำงานหนักต่างกุลีเช่นนี้ทุกวัน พอตอนเย็นราวๆยามโหย่ว (17.00-18.59น.) นางก็กลับถึงบ้าน จากนั้นรีบไปหาบน้ำจากลำธารที่อยู่ห่างจากกระท่อมไม้ไผ่ของนางถึงสองลี้ เพราะจวนเจียนจะมืดแล้ว นางจึงหาบน้ำคราวละสี่ถัง นับว่าเป็นสตรีที่แข็งแรง แข็งแกร่งและมีความอดทนสูงมากพะย่ะค่ะ กระหม่อมเองยังนับถือ” อันอ๋องอ่านสารที่คนของเขาส่งให้หลังจากที่แกะกระดาษออกจากขาเจ้านกพิราบส่งสารที่มันบินมาเกาะที่ขอบหน้าต่างแทบจะทันที พวกเขามักจะใช้นกพิราบในการส่งสารเพราะมันรวดเร็วกว่าม้าเร็วซะอีก “อืม…คอยจับตาดูนางไว้ อย่าให้คลาดสายตา แต่ก็อย่าให้นางรู้ตัว เรื่องที่พวกเจ้าหนี้คอยจ้องจะจับนางไปขายที่หอคณิกาพวกเจ้าต้องขัดขวางให้ได้ เรื่องนี้ผิดพลาดไม่ได้ เพราะนางคือว่าที่ฮองเฮา นางคือผู้กุมดวงชะตาของแคว้นฉาง” ฉินอันอ้ายส่งข้อความกลับไป อันอ๋องได้รับทราบเรื่องราวของสตรีผู้ที่จะพลิกชะตาของแคว้นฉางมาโดยตลอด เขาให้รู้สึกชื่นชมนางยิ่งนัก “หากเปรียบเป็นอัญมณี นางก็คงแข็งแกร่งดุจจ้วนสือ ( เพชร) คุณงามความดีดุจหยกล้ำค่า ถึงแม้ว่าจะเกิดในที่ต่ำ แต่นางมีชะตาหงส์ที่จะพานางขึ้นสู่ที่สูงได้” “เอ่อ…แล้วเรื่อง การแต่งงานออกเรือนของนางล่ะพะย่ะค่ะ กระหม่อมไปสืบมาแล้ว มีบุรุษที่หมายปองนาง แต่ก็เพียงหวังได้นางมาเชยชมเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว พวกเขารู้ว่านางนั้นมีหนี้สินก้อนโต ไม่มีผู้ใดอยากรับภาระหนี้สินแบบนี้ จึงได้แต่เพียงหลอกให้นางดีใจว่าพวกเขาจะแต่งนาง” “หึหึ! ไม่มีผู้ใดสามารถแต่งกับว่าที่ฮองเฮาได้หรอก นางคือหงส์คู่บัลลังก์มังกร ใช้เงินไล่ให้พวกเขาไปให้พ้นจากชีวิตนางเสีย คนละสองพันตำลึงพวกเขาไม่น่าจะปฏิเสธ และสั่งกำชับพวกเขาให้ดีว่าอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของอี้เหม่ยหรงอีก พร้อมทั้งห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดรู้” “รับทราบพะย่ะค่ะท่านอ๋อง” ฉินอันอ้ายให้คนเฝ้าดูชีวิตของอี้เหม่ยหรงมานานหลายปี จนกระทั่งเมื่อฉินหย่งเต๋อฮ่องเต้ครองบัลลังก์เข้าปีที่แปด เวลานี้อี้เหม่ยหรงเองก็มีอายุยี่สิบปี ทั่วแคว้นฉางเกิดเหตุเภทภัยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทางทิศเหนือเกิดปัญหาน้ำท่วม ทางด้านทิศใต้เกิดฝนแล้ง ทิศตะวันออกมีโรคระบาดกระจายไปทั่ว ผู้คนล้มตายดั่งใบไม้ร่วง ทางด้านทิศตะวันตกมีกองโจรออกปล้นชาวบ้านตามเมืองต่างๆไปทั่วเพราะความอดอยาก ราษฎรทุกข์ร้อนแสนเข็ญ ทุกอย่างเป็นไปตามคำทำนายของซินแสเทวดาผู้นั้น เมื่ออี้เหม่ยหรงเผลอเขาจึงให้คนของเขาจัดการจับตัวนางมา ส่วนมารดาของนางนั้นเขาส่งคนไปดูแลพร้อมกับปลอบประโลมว่า อี้เหม่ยหรงมีงานสำคัญที่ต้องทำ ไม่ต้องเป็นห่วงนาง นางไม่ได้ถูกจับไปขายที่หอคณิกาแต่อย่างใด ทางด้านอี้เหม่ยหรงนั้นคราแรกที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาที่พระตำหนักเหมยกุ้ยนางก็คิดว่าที่นี่คือหอคณิกา น่าจะเป็นหอคณิกาชั้นสูงเพราะดูจากความหรูหราโอ่อ่า หญิงสาวรู้สึกตกใจกลัวและหวาดระแวงอยู่บ้าง แต่เพราะทุกครั้งที่ผ่านมามักจะมีบุคคลนิรนามกลุ่มหนึ่งที่มักสวมชุดดำ และปิดบังอำพรางใบหน้าด้วยผ้าสีเดียวกันมาช่วยนางออกไปจากหอนางโลมทุกครั้ง นางจึงไม่หวาดกลัวมาก เพียงแค่รอคอยชายชุดดำเหล่านั้นให้มาปรากฏตัวเท่านั้น แต่แล้วก็ผิดคาด เมื่อผู้ที่ปรากฏตัวกลับมิใช่พวกชายชุดดำเหมือนครั้งก่อนๆ หากแต่เป็นขันทีสิบสองคนและนางกำนัลอีกสิบคน นั่นทำให้อี้เหม่ยหรงทั้งงุนงง ทั้งสับสน ระคนหวาดระแวง แต่สิ่งที่ทำให้นางงุนงงเพิ่มขึ้นมาอีกก็คือการที่พวกเขาเหล่านั้นต่างพากันเรียกนางว่า…ฮองเฮา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม