ตอนที่ 6 ดวงข้าอาภัพคู่จริงหรือ

2021 คำ
วันนี้อี้เหม่ยหรงเริ่มต้นวันด้วยการถูกนางกำนัลปลุกขึ้นมาตั้งแต่ต้นยามเหม่า ( 05.00-07.59น.) เพื่อมาชำระร่างกายด้วยน้ำแร่จากหุบเขาฟงซาน อ่างอาบน้ำไม้ใบใหญ่ถูกตระเตรียมไว้สำหรับประมุขแห่งวังหลัง อี้เหม่ยหรงให้รู้สึกเขินอายเมื่อนางไม่อาจปฏิเสธการปรนนิบัติดูแลขณะอาบน้ำจากเหล่านางกำนัลได้ ยังดีที่ในอ่างน้ำนั้นมีกลีบมวลบุปผานานาพันธุ์ลอยอยู่เต็มไปหมด หญิงสาวอาศัยกลีบดอกไม้นับสิบชนิดเหล่านั้นปิดบังบางส่วนที่นางไม่ต้องการให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้อื่น “ฮองเฮาเพคะ ไม่ต้องหลับตาก็ได้เพคะ” “ก็ข้าอายนี่ ข้าไม่เคยเปลือยกายต่อหน้าผู้ใดมาก่อน เฮ้อ!” หลังจากอาบน้ำเสร็จอี้เหม่ยหรงก็ถูกพรมร่างกายด้วยน้ำอบน้ำปรุงจนหอมฟุ้งน่าเวียนหัว ฉลองพระองค์ของฮองเฮานั้นถูกสั่งตัดอย่างเร่งด่วน ช่างหลวงของห้องภูษานั้นเร่งงานทั้งวันทั้งคืนจนไม่ได้หลับได้นอน ในที่สุดก็ได้ฉลองพระองค์มาสิบชุด อี้เหม่ยหรงมองดูเงาเต็มตัวของตนเองในคันฉ่องบานใหญ่ด้วยสายตาตื่นตะลึง “นี่ข้าจริงๆหรือ?” หญิงสาวอุทานเพราะแทบไม่เชื่อว่านี่คือตัวนางเองจริงๆ “ฮองเฮาทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่งนักเพคะ เมื่อก่อนอาจจะไม่เคยประทินโฉมและแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยอาภรณ์ชั้นดี ก็เลย…เอ่อ…” “ฮ่าๆๆ เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าดูมอมแมม ไม่น่าดูใช่หรือไม่” “หม่อมฉันมิบังอาจ ขอฮองเฮาโปรดประทานอภัยด้วยเพคะ” เป๋าเจียงเหมยรีบคุกเข่าพลางโขกศีรษะกับพื้นหลายรอบจนหน้าผากแดงเถือก “หยุดเถอะ ข้าไม่ได้ถือโกรธ ความจริงมันก็เป็นเช่นนั้นนั่นแหละ ข้าน่ะนะ ไม่มีปัญญามีเงินมาซื้อพวกเครื่องแต่งหน้าหรือเครื่องประทินโฉมพวกนี้ รวมทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ดีๆหรอก เฮ้อ!” พูดจบนางก็ถอนหายใจไปอีกรอบ “ทูลฮองเฮา ขันทีจากพระตำหนัก หลงเฟยเฟิ่งได้อัญเชิญราชโองการแต่งตั้งมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ” หวังกงกงเข้ามากราบทูลประมุขแห่งวังด้วยความดีใจ การได้รับราชโองการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการย่อมทำให้ผู้คนในวังหลังยอมรับอี้เหม่ยหรงว่าเป็นประมุขแห่งวังหลังซักที “แล้ว…ข้า ต้องทำอย่างไรบ้าง?” อี้เหม่ยหรงเองก็ทำตัวไม่ถูก “ทำอย่างที่ได้ซักซ้อมกันไว้เมื่อเย็นวานอย่างไรล่ะเพคะ ไม่มีอันใดมาก เพียงแค่คุกเข่าและรับเอาราชโองการมาถือไว้” เป๋าเจียงเหมยกระซิบข้างหู “อ้อ…ถ้าข้าทำอันใดไม่ถูก พวกเจ้าก็เตือนๆข้าด้วยนะ” “รับด้วยเกล้าเพคะ” เหล่านางกำนัลและขันทีของพระตำหนักเหมยกุ้ยให้รู้สึกยินดียิ่งนักที่บัดนี้ผู้เป็นนายของตนได้รับแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาอย่างสมบูรณ์แล้ว แม้จะเป็นพิธีการที่ง่ายๆและรวบรัดก็ตามที ขึ้นชื่อว่าเป็นบ่าวรับใช้ของผู้เป็นประมุขแห่งวังหลังภาษีย่อมเหนือกว่าบ่าวรับใช้ของพระตำหนักสนมอื่นๆ อี้เหม่ยหรงนั่งทอดถอนใจอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย หญิงสาวจ้องมองเงาของตนเองที่สะท้อนออกมาจากคันฉ่องบานใหญ่ เวลานี้นางสั่งให้เหล่านางกำนัลและขันทีออกไปด้านนอกให้หมด นางจะได้มีเวลาส่วนตัวเพื่อที่จะพักผ่อนเสียที หญิงสาวรู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วร่าง เมื่อเย็นวานนางถูกเหล่านางกำนัลและขันทีจับดัดแขนดัดขา จะว่าไปมันก็คือการฝึกมารยาทและการปฏิบัติตัวต่างๆ ทั้งการถวายบังคม การถวายพระพร การคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ การเดิน การนั่ง ซึ่งในส่วนของการนั่งนั้นแบ่งออกเป็น การนั่งต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา การนั่งต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ซึ่งจะต้องดูสำรวม อ่อนน้อมถ่อมตน และการนั่งต่อหน้าพระสนมนางในทั้งหลาย ผู้เป็นฮองเฮาจะต้องนั่งด้วยท่วงท่าสง่างามดั่งพญาหงส์ ต้องยืดอกและหลังให้ตรงเพื่อแผ่บารมีให้ผู้คนตรงหน้าได้ประจักษ์ สายตาที่ใช้มองพวกสนมนางในเหล่านั้นจะต้องมีแววจิกเล็กน้อยเพื่อข่มพวกนางให้รู้ว่าใครเป็นใคร “เฮ้อ! ทำไมเป็นฮองเฮามันถึงได้ยากและเรื่องมากปานนี้นะ เหลือเวลาอีกกี่วันเนี่ย โอย! เพิ่งจะผ่านไปได้แค่วันเดียวเอง ข้ามิต้องขาดใจตายไปก่อนหรือ ชุดนี่ก็หนักเป็นบ้า แล้วยังมีมงกุฎ ปิ่น เครื่องประดับอะไรอีก โอย! หนักยิ่งกว่าหาบน้ำทีเดียวสี่ถังซะอีก” หญิงสาวบ่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายตาของนางปะทะเข้ากับดอกไม้ชนิดหนึ่งซึ่งดอกเป็นสีขาวแกมเขียวเล็กน้อย กิ่งที่ชูช่อดอกนั้นโน้มเอียงมาทางหน้าต่างของห้องบรรทมประมุขแห่งวังหลัง “นั่นมัน…ดอกเหมยนี่นา เป็นชี้งเอ้อเหมยด้วยสิ” อี้เหม่ยหรงลุกจากเก้าอี้กุ้ยเฟยก่อนจะเดินตรงไปที่ริมหน้าต่างเพื่อชมดอกเหมยใกล้ๆ หญิงสาวเปิดหน้าต่างรับสายลมโชยของต้นวสันตฤดู กลีบบุปผาชาตินานาพันธุ์ที่หลุดร่วงออกจากดอกต่างลอยล่องมาตามสายลมและปะทะเข้ากับใบหน้าที่ได้รับการประทินตกแต่งจนงดงามผิดตา อี้เหม่ยหรงหลับตาและสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อรับสายลมเย็นๆนั้น กลีบดอกไม้ที่ปลิวไปตามสายลมทำให้นางอดนึกถึงวันวานมิได้ “ดอกเหมยเช่นนั้นรึ ข้าจำได้ว่ามีคนเคยบอกว่าตัวข้าเปรียบเหมือนกับดอกเหมย คงเป็น…เจิ้งเลี่ยงหรง กระมัง” อี้เหม่ยหรงพลันนึกไปถึงชีวิตในวัยเยาว์ ตั้งแต่จำความได้ บิดาของนางก็ไม่เคยสนใจทำมาหากินโดยสุจริต เอาแต่เข้าบ่อนเล่นการพนัน จนเป็นหนี้เป็นสินไปทั่ว มารดาของนางนั้นเป็นหญิงอับวาสนา เกิดมาก็เป็นกำพร้า พอถึงวัยที่ต้องออกเรือนก็ได้สามีไม่เอาถ่าน บางครั้งถึงกับทุบตีลงไม้ลงมือกับภรรยาและบุตรสาวเมื่อไม่มีเงินให้เขาเพื่อเอาไปเล่นการพนัน บ่อยครั้งที่เจ้าหนี้มาตามทวงหนี้ถึงบ้านและเคยขู่จะจับนางไปขายที่หอนางโลมเป็นการใช้หนี้แทนบิดา บิดาของอี้เหม่ยหรงหยุดเข้าบ่อนเล่นการพนันก็ตอนที่เขาหมดลมหายใจนั่นแหละ อี้เหม่ยหรงจำได้ว่าช่วงนั้นเป็นหน้าหนาว หิมะตกทั้งคืน บิดาของนางเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายวันแต่ก็ยังดึงดันที่จะออกไปเล่นการพนันที่บ่อนให้ได้ ทั้งนางและมารดาห้ามก็ไม่ยอมฟัง ตลอดทั้งคืนที่หิมะตกหนักนั้นบิดาของนางก็มิได้กลับมาบ้าน รุ่งเช้ามีคนพบว่าเขานอนหนาวตายอยู่ข้างทางที่จะกลับบ้านนี่เอง ตอนนั้นอี้เหม่ยหรงอายุเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่น หลังจากสิ้นบิดา มารดาของนางก็มีความคิดที่จะให้บุตรสาวออกเรือน ถึงแม้ว่าบ้านของพวกนางจะมีฐานะยากจน แต่อี้เหม่ยหรงหาใช่สตรีที่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ อาจจะกล่าวได้ว่านางคือสตรีที่งดงามที่สุดในหมู่บ้านก็ว่าได้ อีกทั้งยังขยันขันแข็ง ไม่เกียจคร้าน มีบุรุษหลายคนจับจ้องนางอยู่ คนแรก…เจิ้งเลี่ยงหรง เขาเป็นหนุ่มเจ้าสำราญของหมู่บ้าน เขาให้พ่อสื่อแม่สื่อมาทาบทามมารดาของนางไว้ พร้อมบอกว่าจะให้สินสอดห้าตำลึง วัวอีกหนึ่งตัว แต่ให้รอหลังจากที่เขาไปสอบจอหงวนในเมืองหลวงก่อน แล้วจะกลับมาแต่งงานกับนาง ทั้งอี้เหม่ยหรงและมารดาต่างดีอกดีใจที่พวกนางจะได้มีที่พึ่งพา เจิ้งเลี่ยงหรงเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดี ฐานะก็ดีกว่าบรรดาชายหนุ่มอื่นๆในหมู่บ้าน อีกทั้งยังเป็นคนเจ้าคารม “เหม่ยหรง เจ้าช่างงดงามเหมือนดอกเหมย ทั้งหอมกรุ่น งดงามและแข็งแกร่ง” เจิ้งเลี่ยงหรงพูดก่อนที่จะลาจากนางเข้ามาเมืองหลวงเพื่อเตรียมตัวสอบจอหงวน จากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลาร่วมห้าปีแล้ว นางก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากเขาอีกเลย มีข่าวลือเมื่อสี่ปีก่อนว่าเขาแต่งงานกับบุตรสาวคหบดีผู้หนึ่งในเมืองเป่าไฉนี่เอง “หึ! พวกผู้ชาย ล้วนมิอาจเชื่อใจได้สักคน” นางแสยะยิ้มพลางนึกถึงบุรุษอีกหลายคน หลังจากหมดหวังจากเจิ้งเลี่ยงหรง ก็มีบุรุษอีกหลายคนที่ให้พ่อสื่อแม่สื่อมาทาบทามนาง แต่ครั้นจะถึงวันแต่งงานก็มีเหตุให้เป็นไปทุกครั้ง บุรุษผู้หนึ่งอ้างว่า บิดาของเขาอยากให้เป็นทหารรับใช้ชาติจึงจะไปสมัครเป็นทหารไปประจำการอยู่ที่ชายแดน เขาไม่อยากให้นางรอ เพราะไม่รู้ว่าตนจะรอดชีวิตกลับมาหรือไม่ บุรุษอีกผู้หนึ่งพอใกล้จะถึงวันแต่งงานก็เกิดเจ็บป่วยรุนแรงขึ้นมาจนต้องรีบยกเลิกงานแต่ง หลังจากนั้นเขาก็ย้ายออกจากหมู่บ้านทันที อ้างว่าจะไปตามหาหมอเทวดามารักษา บุรุษคนสุดท้ายที่อี้เหม่ยหรงคิดจะฝากฝังชีวิตของตนเองเอาไว้จู่ๆก็มาบอกว่าจะออกบวชและละชีวิตทางโลกก่อนวันแต่งงานเพียงแค่สามวัน มันช่างน่าแปลกนัก เหตุใดดวงชะตาของนางจึงเป็นเช่นนี้ อี้เหม่ยหรงเคยนึกน้อยใจในโชควาสนาถึงขั้นลั่นวาจาเอาไว้ว่า “ชาตินี้ข้าไม่หวังพึ่งบุรุษ ข้าไม่ต้องออกเรือนก็ได้ ขอเพียงยังมีสองขา สองแขน สองมือ ข้าก็ทำมาหากินเลี้ยงดูมารดาของข้าได้” ปกติแล้ว สตรีที่พ้นวัยปักปิ่นส่วนมากจะต้องออกเรือน สตรีในวัยสิบห้า สิบหกปีล้วนมีผู้หมายปองส่งพ่อสื่อแม่สื่อมาติดต่อทาบทามแทบทั้งสิ้น มีเพียงอี้เหม่ยหรงเท่านั้นที่ยังคงมีสถานะโสดสนิท ถึงแม้ว่าจะเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในหมู่บ้านก็ตาม จนเมื่ออายุนางล่วงเลยมาถึงยี่สิบปีทั้งนางและมารดาต่างก็พากันสิ้นหวัง “ชายหนุ่มในหมู่บ้านละแวกนี้มีตาหามีแววไม่” ซุนซินอิ๋ง มารดาของอี้เหม่ยหรงอดบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้ นางทั้งเห็นใจและสงสารบุตรสาวที่ไร้ที่พึ่งพา ต้องทำงานหนักตรากตรำคนเดียวเพราะตัวนางเองนั้นก็ไม่สู้แข็งแรงนัก เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะเรื่อยมา ที่น่าเจ็บใจคือพวกชาวบ้านที่ชอบซุบซิบนินทาผู้อื่นด้วยความคะนองปาก เมื่อเห็นว่าผู้อื่นตกต่ำก็ลุกขึ้นมาเหยียบย่ำซ้ำเติม “ข้าว่า เหม่ยหรงต้องเป็นตัวกาลกิณีแน่ๆ เห็นหรือไม่ ไม่มีบุรุษคนใดยอมแต่งนางเข้าบ้านเลย” “นางเกิดมาอาภัพ นางต้องเป็นคนไร้คู่แน่ๆ” “หน้าตาก็ออกจะงดงาม แต่ทำไมถึงไร้เสน่ห์นะ” เรื่องราวแปลกประหลาดในชีวิตของนางยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ มีหลายต่อหลายครั้งที่พวกเจ้าหนี้ส่งคนมาจับตัวอี้เหม่ยหรงเพื่อที่จะนำไปขายที่หอนางโลม ทุกครั้งหลังจากที่นางถูกนำตัวไปถึงหอนางคณิกาแล้ว มีเหตุให้จู่ๆก็มีคนบุกเข้ามาพานางหนีออกไปได้ทุกที และทุกครั้งก็ไม่มีคนของหอนางโลมตามมาจับตัวกลับไปอีก อี้เหม่ยหรงอยากจะถามคนที่เข้าไปช่วยนางว่าพวกเขาเป็นใคร แต่พอนางจะอ้าปากถามพวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ชีวิตของนางช่างเต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาดเสียจริง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม