ตอนที่ 8 พบเจอ

2000 คำ
ตามธรรมเนียมของวังหลังในรัชศกชุนฉือนั้น เหล่าสนมนางในทุกระดับชั้นจะต้องไปเข้าเฝ้าถวายพระพรไทเฮาในวันคี่และต้องไปเข้าเฝ้าถวายพระพรฮองเฮาในวันคู่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะไทเฮาไม่ต้องการเจอหน้าพวกสนมนางในของพระโอรสทุกวัน บางครั้งนางก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายและผู้คนมากหน้าหลายตา “หึหึ! วันนี้แล้วสินะที่ข้าจะได้ยลโฉมสะใภ้คนใหม่” ลู่ไทเฮาแสยะยิ้ม “จะมีการต้อนรับฮองเฮาอย่างไรดีเพคะ?” ชุนเจียอียุแยงผู้เป็นนายอย่างรู้ใจกัน “สตรีจากชนชั้นต่ำบังอาจขึ้นมานั่งบนบัลลังก์หงส์ มีหรือที่ข้าจะยอมปล่อยผ่าน บัลลังก์หงส์ต้องเป็นของสกุลลู่เท่านั้น” ลู่ไทเฮากำหมัดแน่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ทางด้านพระตำหนักเหมยกุ้ย อี้เหม่ยหรงถูกจับแต่งเนื้อแต่งตัวตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ ฉลองพระองค์ของฮองเฮานั้นตัดเย็บจากผ้าไหมหยุนจิ่นสีแดงเลือดนกซึ่งเป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นอานเหนียง อาภรณ์ชุดนี้ตัดเย็บอย่างประณีตและใช้ผ้าไหมถึงห้าชิ้น นอกจากต้องสวมเครื่องแต่งกายที่ไม่เคยคุ้นแล้ว อี้เหม่ยหรงยังถูกจับประทินโฉมด้วยเครื่องแต่งหน้าชั้นดี เครื่องประดับในวันนี้ล้วนทำมาจากไข่มุกสีชมพู ทั้งปิ่นปักผมที่ทำจากไข่มุกต่างขนาดนำมาเรียงร้อยเป็นหงส์ที่กำลังกางปีกเริงร่า สร้อยคอ ต่างหูและสร้อยข้อมือต่างทำจากไข่มุกสีชมพูเป็นชุดเดียวกัน เครื่องประดับชุดนี้เป็นชุดเครื่องประดับประจำราชวงศ์ฉิน เรื่องราคานั้นมิอาจประมาณมูลค่าได้ “ฮองเฮา ทรงลองเดินดูหน่อยนะเพคะ ดูซิว่าทรงเดินถนัดหรือไม่” เป๋าเจียงเหมยออกความเห็น นางเกรงว่าผู้เป็นนายจะกลายเป็นตัวตลก เพราะที่วังหลังแห่งนี้คงไม่มีสนมนางในคนใดที่ไม่มีใจริษยา “อืม…ข้าจะลองเดินดู ว๊าย! ทำไมมันหนักอย่างนี้ล่ะ ดูสิ เดินไปก็โยกไปโยกมา ใครเห็นต้องหัวเราะข้าแน่ๆ ว๊าย!” อี้เหม่ยหรงร้องอุทานเมื่อนางล้มหน้าคว่ำลงไป โชคดีที่นางเอามือยันพื้นไว้ได้ทัน ใบหน้าที่ถูกตบแต่งไว้อย่างงดงามยังไม่กระแทกกับพื้น เหล่านางกำนัลขันทีต่างพากันส่ายหน้าน้อยๆ ถึงแม้ว่าฮองเฮาจะต้องปรับตัวเป็นอย่างมากและบางครั้งก็เป็นความยากลำบากสำหรับสตรีที่มาจากบ้านนอกอย่างนาง แต่กระนั้นอี้เหม่ยหรงก็ยังมีอารมณ์ขัน นางรีบลุกขึ้นมาและหัวเราะให้กับตนเอง “เอ่อ…ฮองเฮา คืออย่างนี้พะย่ะค่ะ” หวังหย่งคังเข้ามากระซิบ “มีอันใดเช่นนั้นหรือหวังกงกง?” หญิงสาวถามด้วยเสียงที่ใสปานแก้ว “การที่พระองค์ได้มาอยู่ในตำแหน่งฮองเฮา พระองค์คงจะพอทราบมาบ้างแล้วว่า ตำแหน่งนี้มีแต่ผู้คนอิจฉาริษยา” “และหาคนจริงใจได้ยาก หากเพลี่ยงพล้ำก็เตรียมพร้อมสำหรับการถูกซ้ำได้ทุกเมื่อ” อี้เหม่ยหรงพูดต่อ “ฮองเฮาทรงรู้” หวังกงกงทำท่าทางแปลกใจเล็กน้อย “หึ! มีที่ใดในใต้หล้าบ้างที่ผู้คนไม่มีความอิจฉาริษยา มีที่ใดบ้างที่ผู้คนไม่รอคอยเหยียบย่ำซ้ำเติมผู้อื่น มีที่ใดบ้างที่ผู้คนไม่จ้องทำลายกันเพื่อให้พ้นทางของตน ยิ่งเป็นสตรีในวังหลังด้วยแล้ว ที่นี่แหละอันตรายที่สุด” หวังหย่งคังหันไปสบตากับเป๋าเจียงเหมยและพยักหน้าให้กันเป็นเชิงรับรู้และเข้าใจตรงกัน “กระหม่อมดีใจที่ฮองเฮาทรงเข้าใจเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ในวังหลัง ตอนแรกกระหม่อมก็อดกังวลใจแทนไม่ได้” “ท่านคงกลัวว่าข้าจะเป็นสตรีบ้านนอกที่อ่อนแอและอ่อนต่อโลกจนไม่อาจจะต่อกรกับผู้ใดได้ใช่หรือไม่ ข้าขอบอกไว้ตรงนี้เลย ชีวิตข้านั้นยิ่งกว่าละครงิ้วซะอีก เรื่องร้ายๆข้าก็ผ่านมาเยอะ ข้าคิดว่าคงจะพอเอาตัวรอดไปจนถึงเวลาที่ข้าเป็นไทได้ อันที่จริงข้าอยากอยู่อย่างสงบ คบหาแต่กับคนที่จริงใจ ข้าไม่อยากต่อสู้กับผู้ใด ที่ผ่านมาชีวิตของข้านั้นต่อสู้กับอะไรต่อมิอะไรมามากแล้ว เฮ้อ!” “ฮองเฮาเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง น่าชื่นชมเหลือเกินเพคะ” “ฮ่าๆๆ อย่ามัวแต่ชมข้าเลย วันนี้ข้าจะรอดหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ได้ข่าวว่าลู่ไทเฮานั้นก็เอาเรื่องไม่เบามิใช่หรือ?” “วันนี้ฮองเฮาจะได้เจอไทเฮาแล้ว ต้องทรงตั้งสติและระวังตัวให้มากนะเพคะ” “อืม…ข้ารู้แล้ว” ยามเฉิน (07.00-08.59น.) ณ พระตำหนักเหลียนฮวา ลู่ไทเฮานั่งคอตั้งหลังตรงอยู่บนตำแหน่งประธาน บรรดาสนมนางในทั้งหลายต่างทยอยมาเข้าเฝ้ากันเกือบจะครบแล้ว เหลือก็แต่เพียงหวงกุ้ยเฟยและ…ฮองเฮา เรื่องที่อวี้หวงกุ้ยเฟยมาเข้าเฝ้าช้านั้นเป็นเรื่องปกติ อันที่จริงนางไม่อยากจะมาเหยียบที่พระตำหนักเหลียนฮวาซะด้วยซ้ำด้วยรู้ว่าพระมารดาของพระสวามีนั้นมิได้โปรดปรานนาง ออกจะเกลียดเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะขัดจารีตประเพณีมิได้นางจึงจำใจต้องมาเข้าเฝ้าวันเว้นวัน อีกผู้หนึ่งที่ตอนนี้ใครๆก็รู้ว่าถูกทุกคนในวังหลังจับจ้องอยู่นั้นก็คงหนีไม่พ้นประมุขแห่งวังหลัง อี้ฮองเฮาตั้งใจเอาไว้แต่แรกแล้วว่านางจะมาเป็นคนหลังสุด อยากจะรู้เหมือนกันว่าสตรีทุกนางทุกตำแหน่งจะมีปฏิกิริยาต่อฮองเฮาจากชนชั้นต่ำผู้นี้อย่างไร “นี่ใกล้จะหมดยามเฉินแล้ว ป่านฉะนี้ฮองเฮายังไม่เสด็จอีก แย่จริง หรือว่านางไม่รู้ว่าวันนี้ต้องมาเข้าเฝ้าถวายพระพรไทเฮา”ชุนเจียอีเหลือบมองพระที่นั่งของผู้ที่เป็นฮองเฮาซึ่งอยู่ด้านหน้าใกล้ๆกับพระที่นั่งของไทเฮาแล้วเบ้ปากส่ายหน้า เสียงที่พูดนั้นไม่เบาเกินไปและไม่ดังเกินไปเหมือนตั้งใจให้สนมนางในอื่นๆได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง “ฮองเฮาเสด็จ” เสียงประกาศการมาของประมุขแห่งวังหลังเล่นเอาสตรีทุกนางต่างหันไปมองด้วยความสนใจ พวกนางต่างอยากรู้ว่าสตรีที่บังอาจชุบมือเปิบเอาตำแหน่งอันทรงเกียรติที่พวกนางจับจ้องอยู่นั้นไปจะมีหน้าตาเช่นไร อี้เหม่ยหรงเดินลงจากเกี้ยวประจำตำแหน่งฮองเฮา หญิงสาวในชุดสีม่วงเข้มขลิบริมด้วยสีเหลืองทอง อาภรณ์ชุดนี้ปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทองเป็นหงส์เริงระบำ ซึ่งผ้าปักลายหงส์นี้มีสตรีเพียงหนึ่งเดียวในวังหลังที่มีสิทธิใช้นั่นก็คือฮองเฮา หรือหากไทเฮาอยากจะใช้ก็ย่อมได้แต่อาจจะดูเป็นการไม่เหมาะสมแก่วัยวุฒิ คุณวุฒิ และกาลเทศะ เป็นอันรู้กันดีว่า…หงส์นั้นคู่กับมังกร ซึ่งหมายถึงฮ่องเต้ ‘ดูนางสิ รู้ว่าตัวเองมาช้าแล้วยังแสร้งเดินกรีดกายอย่างชักช้า กว่าจะก้าวขาได้แต่ละที ฮึ! นางกำลังท้าทายไทเฮาอยู่ใช่หรือไม่’ ชุนเจียอีหรี่ตามองสตรีผู้มาใหม่อย่างไม่พอใจ ‘หึ! ความงามนั้นช่างห่างไกลจากข้านัก แต่…ฮื่ย! เจ็บใจนัก อาภรณ์ที่นางสวมใส่นั้นตัดเย็บจากผ้าไหมหยุนจิ่นใช่หรือไม่ เครื่องบรรณาการจากแคว้นอานเหนียง แม้แต่ข้ายังไม่มีอาภรณ์ชุดใดตัดเย็บจากผ้าไหมหยุนจิ่นจากอานเหนียงเลย แล้วนั่น…” อวี้ไป๋หลานตาเบิกโพลงเมื่อดวงตาสบเข้ากับลายหงส์ที่ปักโดยใช้ดิ้นเงินดิ้นทองบนอาภรณ์ของอี้เหม่ยหรง ‘นะ…นั่น ลายหงส์บนอาภรณ์ของนางนั่น ฮื่ย! นังแพศยา นังบ้านนอก นังคางคกขึ้นวอ เจ้ากล้าดียังไงมาใช้ผ้าปักลายหงส์ ผู้ที่มีสิทธิ์สวมใส่อาภรณ์ที่ปักลายหงส์มีเพียงสตรีสกุลลู่เท่านั้น’ ลู่ฝูหลันเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อสายตาของนางปะทะเข้ากับลายหงส์บนผ้าไหมหยุนจิ่นที่อี้เหม่ยหรงสวมใส่ ‘นี่น่ะหรือ หญิงสกุลอี้ สตรีจากชนชั้นต่ำที่โชคชะตานำพาให้ได้มาเป็นฮองเฮา นี่ข้าจะต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของนางจริงๆหรือ ดูหน้าตานางก็ถือว่างดงามพอใช้ได้ แต่หากจะเทียบกับสตรีจากชนชั้นสูงอย่างข้าก็ถือว่าคนละชั้น แต่…อาภรณ์นั่น เครื่องประดับนั่น…’ ลู่อิงเหยาเป็นต้องชะงักเมื่อสายตาของนางปะทะเข้ากับอาภรณ์ลายหงส์ที่ถูกตัดเย็บจากผ้าไหมหยุนจิ่น เครื่องบรรณาการที่ล้ำค่า ซึ่งมีเพียงไทเฮาเท่านั้นที่ฮ่องเต้ถวายผ้าไหมบรรณาการนี้เพื่อให้ตัดฉลองพระองค์หนึ่งชุด และเครื่องประดับที่นางสวมใส่มาวันนี้อีก นั่นมันเครื่องประดับประจำราชวงศ์ฉินซึ่งมิใช่ว่าสนมนางในคนใดก็สามารถสวมใส่ได้ มีเพียงไทเฮาและฮองเฮาเท่านั้นที่มีวาสนาได้สวมใส่ หรือสตรีจากชนชั้นต่ำผู้นี้จะมีวาสนาเหนือสตรีที่มาจากชนชั้นสูงที่นั่งหน้าสลอนอยู่เต็มไปหมดนี้นะ…ไม่จริง อี้เหม่ยหรงปรายตามองสตรีทุกนางในห้องโถงแห่งนี้พลางซ่อนยิ้ม สายตาทุกคู่ที่มองมายังนางหาได้มีแววแห่งความเป็นมิตรไม่ ทุกสายตาที่จับจ้องมาบ่งบอกเป็นความนัยว่านางคือศัตรูตัวฉกาจ หญิงสาวลอบถอนหายใจ สรรพสิ่งเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจเท่านั้นที่เล็ดลอดออกมา “ถวายพระพรไทเฮาเพคะ หม่อมฉันอี้เหม่ยหรงขอให้ไทเฮาทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี” นางยอบกายถวายความเคารพสตรีที่มีศักดิ์สูงที่สุดในที่นี้ตามที่ได้รับการฝึกสอนอย่างเข้มข้นมาข้ามวัน “นี่น่ะหรือ อี้ฮองเฮา ลุกขึ้นเถิดแล้วมานั่งที่ของเจ้า” ลู่ฝูหลันพูดด้วยเสียงราบเรียบ ใบหน้าดูบึ้งตึง “เหตุใดฮองเฮาถึงมาสายกว่าพระสนมคนอื่นๆเล่าเพคะ?” ชุนเจียอีเอ่ยถามอย่างไม่เกรงประมุขแห่งวังหลัง เพราะนางนั้นมีคนถือหางที่ใหญ่กว่าฮองเฮานะสิ “ตอบนางกำนัลท่านนี้” อี้เหม่ยหรงหันไปทางชุนเจียอีพลางส่งยิ้มบาง “ชุนมามา นางคือคนสนิทของข้าซึ่งเป็นไทเฮา หาใช่นางกำนัลชั้นต่ำไม่” ลู่ไทเฮาพูดเสียงกระด้างไม่พอใจที่คนสนิทของตนถูกเรียกว่า ‘นางกำนัล’ “อ้อ…ชุนมามา พอดีหม่อมฉันเพิ่งเข้าวังน่ะเพคะ เลยยังไม่รู้ขนบธรรมประเพณีหรือวิธีการพูดจาที่ถูกต้องหรือว่าเหมาะสม ชุนมามา ที่ท่านกล่าวว่าข้ามาช้านั้นหาได้เป็นจริงไม่ จริงอยู่ที่ข้าอาจจะมาถึงที่นี่เป็นคนสุดท้าย แต่ก็ยังทันเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการเข้าเฝ้าถวายพระพรไทเฮาเพราะยังไม่เลยยามเฉิน หากข้ามาเลยยามเฉิน จึงจะถือว่าข้ามาช้า จริงหรือไม่?” “อะ…เอ่อ…” ชุนเจียอีอ้ำอึ้ง “แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฮองเฮาจะได้เข้าเฝ้าไทเฮา หากเป็นสตรีนางอื่นคงจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจและกระตือรือร้นที่จะมาให้ถึงพระตำหนักเหลียนฮวาก่อนสตรีนางอื่น แต่ฮองเฮาหาได้เป็นเช่นนั้นไม่” นางกำนัลอาวุโสผู้นี้พูดราวกับว่าทุกคนที่เป็นฮองเฮาจะต้องกระตือรือร้นในการมาเข้าเฝ้าไทเฮาก่อนพระสนมอื่นๆกระนั้นแหละ “มันผิดด้วยหรือที่ข้ามิได้เป็นเช่นนั้น? อย่างน้อยข้าก็มิใช่สตรีอื่นที่ท่านว่า เพราะข้าเป็นข้า” อี้เหม่ยหรงเลิกคิ้ว “นี่ฮองเฮากำลังท้าทายอำนาจของไทเฮาอยู่ใช่หรือไม่?” ชุนเจียอีลืมตัวแผดเสียงดังลั่น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม