เพล้ง!
“กรี๊ดดดด!”
เสียงกรีดร้องและเสียงวัตถุตกกระทบพื้นจากการขว้างปาทำลายข้าวของของหวงกุ้ยเฟยทำให้บรรดานางกำนัลและขันทีต่างไม่มีใครกล้าเข้าหน้า เพราะเกรงว่าตนจะโดนลูกหลง
“พวกเจ้า ออกไปให้หมด แล้วอย่าได้ปากพล่อยแพร่งพรายเรื่องที่เห็นในวันนี้ให้คนภายนอกรู้ มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” จางซิงอี๋ นางกำนัลคนสนิทของอวี้หวงกุ้ยเฟยมองนางกำนัลและขันทีทุกคนในตำหนักด้วยสายตาคาดโทษ
หลังจากที่บรรดาขันทีทั้งสิบสองคนและนางกำนัลอีกเจ็ดคนตาลีตาเหลือกออกจากห้องบรรทมของอวี้หวงกุ้ยเฟยไปแล้ว จางซิงอี๋ซึ่งเป็นนางกำนัลคนสนิทและหัวหน้านางกำนัลของพระตำหนักหลันฮวาก็ได้เข้ามาปลุกปลอบผู้เป็นนาย
“หวงกุ้ยเฟยเพคะ ทรงพระทัยเย็นๆ อย่าทรงแสดงอากัปกิริยาใดๆให้ผิดแผกไปจากภาพลักษณ์ที่พวกเราได้ตั้งไว้ คิดการณ์ใหญ่ ใจต้องนิ่ง พระองค์ต้องอดทนอดกลั้นให้มากที่สุดจะเป็นการณ์ดีสำหรับพวกเรานะเพคะ”
“แต่…ซิงอี๋ เจ้าจะให้ข้าทนได้เช่นไร ข้าคือหวงกุ้ยเฟย ก่อนเข้าวังเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพใหญ่ เรื่องความงดงามนั้นสตรีทุกนางในแคว้นฉางต่างยอมสยบให้กับข้า ข้าเกิดมาเพื่อเป็นที่หนึ่ง ข้าเกิดมาก็เหนือกว่าผู้อื่นทั้งปวง อีกทั้งยังได้เป็นผู้ครอบครองพระทัยของฝ่าบาท ชีวิตข้าช่างงดงามและน่าริษยายิ่งนัก ฮ่าๆๆๆ แต่ทำไม ทำไมๆๆๆ” อวี้ไป๋หลานหยิบหมอนมาฟาดลงไปบนเตียงซ้ำๆหลายรอบ
“ขอได้โปรดทรงสงบสติอารมณ์ก่อน หวงกุ้ยเฟยทรงระบายอารมณ์ไปเช่นนั้นนอกจากจะทำให้ตนเองเหนื่อยเสียเปล่าแล้ว ยังจะทำให้เสียภาพลักษณ์ เดี๋ยวพวกนางกำนัลขันทีเอาไปซุบซิบนินทาและแพร่งพรายออกไปถึงตำหนักอื่นเราจะยิ่งดูแย่เข้าไปใหญ่นะเพคะ”
จางซิงอี๋นั้นแต่เดิมเป็นสาวรับใช้ส่วนตัวที่ดูแลรับใช้อวี้ไป๋หลานมาตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อผู้เป็นนายได้ดิบได้ดี นางเองก็เหมือนได้ติดปีก คงมิอาจปฏิเสธได้ว่าจางซิงอี๋เป็นอีกหนึ่งนางกำนัลที่มีอิทธิพลในวังหลังเพราะเป็นคนสนิทของหวงกุ้ยเฟย เมื่อแรกเข้ามาอยู่ในวังหลวง จางซิงอี๋ได้วางภาพลักษณ์ให้อวี้ไป๋หลานเป็นสตรีที่งดงามทั้งภายนอกและภายใน ความงดงามภายนอกไม่ต้องพูดถึง ใครๆต่างก็รู้กันไปทั่วว่านางคือหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉางและเป็นผู้ที่ครอบครองพระทัยของฮ่องเต้ได้ตั้งแต่พบเจอกันครั้งแรก ส่วนความงดงามภายในนั้น จางซิงอี๋ให้อวี้ไป๋หลานวางตนให้เป็นสตรีที่มีจิตใจงดงาม มีเมตตา โดยเฉพาะกับคนที่ต่ำต้อยกว่า กิริยามารยาทอ่อนหวาน งดงาม สมกับมาจากสกุลชนชั้นสูงที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี มีความใจกว้าง ไม่หึงหวงแม้ว่าฮ่องเต้จะต้องรับพระสนมเข้าวังมามากมายเท่าใดเพราะนั่นคือคุณสมบัติของมารดาแห่งแผ่นดิน
“เราจะทำเยี่ยงไรดี ซิงอี๋ สตรีบ้านนอกจากชนชั้นต่ำผู้นั้น บัดนี้ถูกยกฐานะขึ้นมาเป็นฮองเฮา ได้รับเกียรติและถูกยกย่องให้เป็นมารดาของแผ่นดินแคว้นฉาง แบบนี้เท่ากับหักหน้าข้าผู้มาก่อนและยังได้ชื่อว่าเป็นสตรีจากชนชั้นสูงอีก” นางพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ ความคั่งแค้นกำลังคุกรุ่นดั่งไฟสุมในอก
“แต่ฝ่าบาททรงตรัสบอกหวงกุ้ยเฟยแล้วอย่างไรล่ะเพคะว่าขอเวลาเพียงแค่ปีเดียว เวลาเพียงสามร้อยหกสิบห้าวันนั้นไม่นานนักหรอกเพคะ ลองคิดดูสิเพคะ พรุ่งนี้ก็เหลืออีกเพียงแค่สามร้อยหกสิบสี่วัน และวันถัดไปก็เหลือเพียงแค่สามร้อยหกสิบสามวัน เรานับถอยหลังไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่นานก็หมดเวลาหนึ่งปีแล้วเพคะ”
“แต่เวลาหนึ่งปีช่างยาวนานเหลือเกิน ข้าอกจะแตกตายอยู่แล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะรอจนถึงวันนั้นได้หรือไม่”
จางซิงอี๋ยกยิ้มมุมปาก แววตาอันดุดันคมเฉียบของนางในตอนนี้บ่งบอกว่า นางคิดอะไรดีๆขึ้นมาได้
“บางทีนางอาจจะอยู่ที่นี่ไม่ถึงหนึ่งปีด้วยซ้ำ นอกจากเราแล้วยังมีผู้อื่นอีกหลายคนที่ไม่ต้องการให้นางอยู่ โดยเฉพาะไทเฮาและลู่กุ้ยเฟย บางทีเราอาจจะแทบไม่ต้องลงมือให้เหนื่อยด้วยซ้ำนะเพคะ”
ทางด้านพระตำหนักเหลียนฮวา
ลู่ไทเฮาเดินวนไปเวียนมาราวกับหนูติดจั่น ตอนนี้นางมีพระชันษาหกสิบพรรษาเข้าไปแล้ว แต่ยังคงแข็งแรงและมีพลานามัยสมบูรณ์ ก็แน่ละสิ…วันๆนางทำอันใดบ้าง กินดีอยู่ดี การงานไม่ต้องทำ มีข้าราชบริพารคอยรับใช้รองมือรองเท้าอยู่เต็มไปหมด ทั้งในและนอกพระตำหนัก แต่ลู่ไทเฮาไม่คิดเช่นนั้น นางรู้ว่านางมีงานที่ต้องทำและเป็นงานหนักที่เป็นงานใหญ่เสียด้วย นั้นก็คือการผลักดันหลานสาวของตนเองให้ขึ้นนั่งตำแหน่งฮองเฮา
“หึ! สกุลลู่ของเราจะได้ชื่อว่าเป็นสกุลของฮองเฮา ผู้คนนับหน้าถือตา เคารพยำเกรง สกุลลู่ของเราจะยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นฉาง” ลู่ฝูหลัน หรือ ลู่ไทเฮาเคยประกาศกร้าวเอาไว้ ตอนนั้นนางลืมไปเสียสนิทว่า สกุลที่ยิ่งใหญ่กว่าสกุลใดๆในแคว้นฉางนั้นคือสกุลฉิน ซึ่งเป็นสกุลของฮ่องเต้ที่สืบทอดราชบัลลังก์มาหลายรัชสมัยต่างหากล่ะ
“แต่…ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันเกรงว่า…” สตรีที่เอ่ยทักท้วงอย่างอึกอักนั้นมีใบหน้างดงามราวกับหยกสลัก ความงดงามของนางนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแคว้น หากเป็นรองเพียงแค่อวี้ไป๋หลานเท่านั้น
“เจ้าอย่าได้กังวลไป อย่างไรเสีย นางก็จะอยู่ที่นี่เพียงแค่ปีเดียว ฝ่าบาททรงให้สัญญากับข้าไว้แล้ว ส่วนเจ้า หน้าที่ของเจ้าก็คือทำอย่างไรก็ได้ให้ฝ่าบาททรงโปรดปรานและลุ่มหลงเจ้ามากกว่าสตรีทั้งหลายในวังหลังแห่งนี้ และที่สำคัญเร่งมีทายาทตัดหน้าอวี้หวงกุ้ยเฟยจะเป็นการดี เพราะพระโอรสที่เกิดจากเจ้าจะต้องเป็นองค์รัชทายาท” ลู่ไทเฮาเองทั้งๆที่ปากก็บอกให้หลานสาวไม่ต้องกังวลเรื่องทั้งหลาย โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งฮองเฮา แต่กลับเป็นนางเองที่ดูจะเป็นเดือดเป็นร้อนมากกว่าลู่กุ้ยเฟยซะอีก
“ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันคิดว่าเวลานี้ที่พระตำหนักหลันฮวาคงลุกเป็นไฟแน่ สตรีสกุลอวี้ผู้นั้นจะทนเล่นละครเป็นกุลสตรีที่เพรียบพร้อมดีงาม มีจิตใจเมตา ใจคอกว้างขวางต่อได้หรือ เมื่อจู่ๆตำแหน่งที่นางจับจ้องอยู่ตลอดเวลานั้นบัดนี้มีผู้อื่นมาชุบมือเปิบเอาไปแล้ว มิหนำซ้ำสตรีนางนั้นยังได้ชื่อว่าด้อยกว่านางทุกประการ” ชุนเจียอี หรือ ชุนมามา นางกำนัลคนสนิทของลู่ไทเฮาเอ่ยออกมาบ้าง
“แต่นางมีชะตาหงส์ หม่อมฉันเองเคยได้ยินพวกนางกำนัลขันทีซุบซิบกันบ่อยๆก่อนหน้านี้” ลู่อิงเหยาพูดตามซื่อ
“หึ! ชะตาหงส์อันใดกัน เรื่องไร้สาระทั้งเพ ข้าไม่เชื่อหรอก” ลู่ฝูหลันค้านเสียงหลง
“แต่เรื่องคำทำนายที่ว่า จะเกิดเหตุเภทภัยขึ้นหลังจากที่ฝ่าบาททรงครองบัลลังได้เข้าปีที่แปดก็เป็นจริงดั่งคำทำนายของซินแสเทวดาผู้นั้นนะเพคะ” ลู่อิงเหยาทำหน้าซื่อ
หึ! เรื่องเหตุเภทภัย น้ำท่วม ฝนแล้ง โรคระบาด กองโจร ผู้คนทั้งแคว้นอดอยากอย่างนั้นหรือ ลู่ฝูหลันไม่มีแก่ใจจะนึกถึงความทุกข์ของผู้ใดนักหรอก ตราบใดที่นางยังคงอยู่ดีกินดี ตราบใดที่นางยังคงกุมอำนาจสูงสุดในวังหลังแห่งนี้เอาไว้ได้อยู่ และตราบใดที่สกุลลู่ของนางนั้นรุ่งเรือง มีเพียงภารกิจเดียวที่นางจะต้องจัดการให้สำเร็จ นั่นก็คือ การผลักดันหลานสาวคนโปรดให้ขึ้นนั่งในตำแหน่งฮองเฮาของแคว้นฉางให้ได้ วันนี้นับเป็นอีกหนึ่งวันที่ลู่ไทเฮาหัวเสีย เพราะการประกาศแต่งตั้งสตรีสกุลอี้ สตรีที่เป็นหญิงชาวบ้านชนชั้นต่ำให้ขึ้นเป็นฮองเฮา ดำรงตำแหน่งมารดาแผ่นดินของแคว้นฉางนี่สิ นางรู้ว่าทั้งหมดนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคืออันอ๋อง แต่ไหนแต่ไรมานางกับอันอ๋องมักจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง แต่ครั้งนี้เขาทำให้แผนการของนางต้องเสีย จะไม่ให้นางหงุดหงิดได้อย่างไร
“ข้าจะคอยดู หลังจากที่อี้เหม่ยหรงเข้ามาเป็นฮองเฮา สตรีบ้านนอกไร้การศึกษา ไร้การอบรมเรื่องกิริยามารยาทเช่นนั้นจะมีชะตาหงส์จริงหรือไม่ สตรีจากชนชั้นต่ำผู้นั้นจะสามารถปัดเป่าโพยภัยให้หมดสิ้นจากแคว้นฉางได้หรือไม่ ข้าว่า…บางทีนางอาจจะไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งฮองเฮาได้ถึงปีซะด้วยซ้ำ อาจจะเผ่นกลับบ้านนอกไปก่อนก็เป็นได้” ลู่ฝูหลันสบตากับชุนเจียอีพลางยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
ทั้งนายและบ่าวต่างรู้กันดีว่า ชีวิตในวังหลังนั้นไม่ง่าย หากไม่แข็งแกร่งจริงหรือมีที่พึ่งพาที่มีอำนาจบารมีแล้วยากที่จะอยู่อย่างเป็นสุขได้ หากจะนับจำนวนสตรีที่นายและบ่าวคู่นี้ร่วมมือกันกำจัดตั้งแต่ครั้งที่นางยังเป็นฮองเฮาก็คงจะบอกได้แต่เพียงว่า ‘นับไม่ถ้วน’ อันที่จริงก่อนหน้านี้พวกนางกำลังคิดแผนการกำจัดอวี้หวงกุ้ยเฟย เพียงแต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ ‘ฮองเฮาหมาดๆ’ ก่อน พอกำจัดฮองเฮาจากชนชั้นต่ำผู้นั้นได้ รายต่อไปก็คือ หวงกุ้ยเฟย จากนั้นก็จะดันหลานสาวของตนเองขึ้นเป็นฮองเฮา
“ตามธรรมเนียม ฮองเฮาคือประมุขแห่งวังหลัง อยากจะรู้นักว่าสตรีบ้านนอกสกุลอี้ผู้นั้นจะสามารถมาปกครองวังหลังอันวุ่นวายที่เต็มไปด้วยผู้คนนับพันนี้ได้อย่างไร” ชุนเจียอีแสยะยิ้ม นางชักจะอดทนรอดูเรื่องสนุกในวังหลังไม่ได้เสียแล้ว
“หึ! จริงของเจ้า ข้าจะรอชมเรื่องสนุก เอ…แล้วเมื่อไหร่กันล่ะที่ข้าจะได้เจอหน้านาง ข้าชักจะอดใจไม่ไหว อยากยลโฉมลูกสะใภ้คนนี้เต็มที”
สองนายบ่าวที่รู้ใจกันและกันนั้นหัวเราะขึ้นมาพร้อมกันจนลั่นพระตำหนักเหลียนฮวา ส่วนลู่อิงเหยานั้นให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ นับจากวันแรกจนถึงวันนี้ไม่มีวันไหนเลยที่นางจะรู้สึกสงบใจซักวัน