ฉินหย่งเต๋อฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นจากฎีกาเมื่อขันทีคู่ใจเข้ามากราบทูลว่าหวังกงกงซึ่งเป็นหัวหน้าขันทีของพระตำหนักเหมยกุ้ยมาขอเข้าเฝ้า
“ให้เข้ามา” โอรสสวรรค์วางฎีกาไว้บนโต๊ะทรงงานก่อนที่จะเอนหลังพิงเก้าอี้ตัวใหญ่ที่มีหมอนผ้าแพรสีเหลืองปักลวดลายมังกรรองแผ่นหลังอีกชั้นหนึ่ง
“ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อม หวังหย่งคัง หัวหน้าขันทีจากพระตำหนักเหมยกุ้ย กระหม่อมมีเรื่องมากราบทูลรายงานพะย่ะค่ะ”
“อืม…นางตกลงยอมเป็นฮองเฮาแล้วใช่หรือไม่?” ฉินหย่งเต๋อเอนหลังพิงเก้าอี้พลางหลับตาใช้มือนวดขมับตนเองเบาๆ เสียงพูดของเขาฟังดูผ่อนคลาย
อันที่จริง ฉินหย่งเต๋อนั้นรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียหญิงสาวชาวบ้านสกุลอี้ผู้นั้นจะต้องยอมตกปากรับคำที่จะเป็นฮองเฮารับจ้างให้เขาอย่างแน่นอน การดูคนออก ใช้คนให้เป็น เป็นสิ่งที่โอรสสวรรค์พึงมี อี้เหม่ยหรงมีความจำเป็นเรื่องเงินทองถึงขีดสุด เมื่อจู่ๆมีคนยื่นหีบเงินหีบทองมาให้ มีผู้ใดบ้างจะไม่เอา ดูท่าทางแล้วนางเองใช่จะเป็นคนโง่เขลา ดูมีแววฉลาดใช่เล่น
“อะ…เอ่อ…ฝ่าบาททรงทราบ”
“อืม…ข้ารู้ตั้งแต่ก่อนเดินออกมาจากตำหนักเหมยกุ้ยแล้ว ต่อไปคงต้องรบกวนพวกท่านและนางกำนัลทั้งหลายช่วยดูแลนางด้วย อย่างไรเสียนางก็ได้ชื่อว่าเป็นฮองเฮา เป็นมารดาแผ่นดินของแคว้นฉาง ช่วยกันสอนกิริยามารยาท ขนบธรรมเนียมต่างๆในวังด้วย ที่สำคัญต้องคอยจับตาดูนางตลอด อย่าปล่อยให้นางทำอันใดแผลงๆ หากนางก่อเรื่องแล้วพวกท่านจัดการไม่ได้ให้รีบมาบอกข้าโดยเร็ว”
“รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ” หวังกงกงให้รู้สึกยินดีที่ภารกิจแรกของวันนี้ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว นั่นก็คือ การได้ฮองเฮาให้กับแคว้นฉางเสียที ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามคำทำนายด้วยเถิด หากดวงชะตาสตรีสกุลอี้ผู้นี้จะช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยของแผ่นดินแคว้นฉางได้จริงเขาเองก็พร้อมที่จะถวายหัวรับใช้นาง
หลังจากที่หวังกงกงเดินออกมาจากพระตำหนักหลงเฟยเฟิ่ง อีกเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ ( 15 นาที)ต่อมาสตรีนางหนึ่งก็ปรากฎกายขึ้นที่ด้านหน้าพระตำหนัก
“ทูลฝ่าบาทว่า ข้า…อวี้หวงกุ้ยเฟยมาขอเข้าเฝ้า” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้างดงามนั้นแม้จะดูหมองไปบ้างแต่ก็มิอาจลดทอนความงดงามของใบหน้าสตรีที่ได้ชื่อว่าเคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉาง
“พะย่ะค่ะ หวงกุ้ยเฟย” ขันทีน้อยผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้าไปด้านในห้องทรงพระอักษรอย่างรู้งาน
เป็นที่รู้กันดีว่า ฉินหย่งเต๋อนั้นไม่อนุญาตให้พระสนมนางในมาขอเข้าเฝ้าที่พระตำหนักหลงเฟยเฟิ่งได้ตามใจอยาก เพราะเขามีภาระกิจมากมายสุดจะคณานับ ฮ่องเต้หนุ่มทรงงานหนักทุกวันเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของราษฎร มีสตรีเพียงนางเดียวที่ได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าสตรีนางใดในวังหลัง ( ยกเว้นไทเฮาซึ่งเป็นพระมารดาของฮ่องเต้) สามารถขอเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ได้ทุกเมื่อที่นางต้องการ สตรีนางนั้นก็คือ อวี้หวงกุ้ยเฟย หรือ อวี้ไป๋หลาน
อวี้ไป๋หลานเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของอวี้เหว่ยเซิน หรือท่านแม่ทัพอวี้ ผู้ได้รับฉายาว่า ‘แม่ทัพไร้พ่าย’ เขาคือขุนนางคนสำคัญของแคว้นฉาง หากไม่มีเขาแคว้นฉางคงจะไม่อยู่เป็นปึกแผ่นเฉกเช่นทุกวันนี้ เพราะตำแหน่งของบิดาที่ทั้งยิ่งใหญ่และสำคัญ นั่น…จึงทำให้บุตรสาวเพียงคนเดียวอันเกิดจากฮูหยินเอกของแม่ทัพอวี้เป็นคนที่เย่อหยิ่ง ทะนงตนและรักในศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่นางเป็นสตรีที่ฉินหย่งเต๋อฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุด นางและเขาคือรักแรกพบของกันและกัน
ทันทีที่ขันทีประจำพระตำหนักหลงเฟยเฟิ่งเดินนำนางเข้ามาด้านในห้องทรงพระอักษร พระสวามีในดวงใจของนางก็เงยหน้าขึ้นมาจากฎีกา เขายิ้มบางๆให้นาง
“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”
“ว่าอย่างไรล่ะ หลานเอ๋อร์ ข้ากำลังจะไปหาเจ้าที่ตำหนักอยู่พอดี เจ้าคงคิดถึงข้าใช่หรือไม่” ฉินหย่งเต๋อรู้ดีว่าสนมรักของเขารู้สึกเช่นไรเมื่อได้รู้ว่าตอนนี้ตำแหน่งฮองเฮาไม่ได้ว่างอีกต่อไปแล้ว แน่นอน…เขารู้ว่านางรู้ คนระดับหวงกุ้ยเฟยย่อมมีคนของนางอยู่ทั่ววังหลัง
“คิดถึงแล้วอย่างไร ไม่คิดถึงแล้วอย่างไร อย่างไรเสียสตรีที่ฝ่าบาทเคยพร่ำบอกว่าเป็นรักแรก สตรีที่ฝ่าบาทเคยพร่ำบอกว่าจะไม่ยอมรักผู้ใดอีกก็ไม่มีโอกาสได้เป็นฮองเฮา เพราะฝ่าบาทได้มอบตำแหน่งฮองเฮาให้สตรีนางอื่นไปแล้ว อีกทั้งสตรีผู้นั้นยังได้ชื่อว่าเป็นสตรีจากชนชั้นต่ำซึ่งไม่มีสิ่งใดจะเทียบเคียงหม่อมฉันได้เลย มันน่าน้อยใจไหมเล่าเพคะ” อวี้ไป๋หลานดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อด้านในทำท่าซับน้ำตาที่ตอนนี้กำลังคลอเบ้าอยู่
หัวใจของฉินหย่งเต๋ออ่อนยวบ เขารู้สึกสงสารระคนเห็นใจหญิงคนรักยิ่งนัก อวี้ไป๋หลานคือรักแรกและรักเดียวของเขา เขาพบเจอกับนางครั้งแรกเมื่อตอนที่เขาเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ในปีแรก ครานั้นเขาเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ไปที่จวนสกุลอวี้เพื่อหารือเรื่องการศึกอย่างลับๆกับบิดาของนาง ถึงแม้ว่าฮ่องเต้หนุ่มจะพบเจอสตรีมากหน้าหลายตาที่เป็นเหล่านางกำนัลและคุณหนูจากสกุลต่างๆมาก่อน แต่เขาไม่เคยต้องตาต้องใจผู้ใด ความงดงามของดรุณีวัยแรกแย้มนามอวี้ไป๋หลานผู้นี้เป็นความงดงามที่เขามิอาจจินตนาการได้ว่าจะมีความงดงามเช่นนี้ในใต้หล้า เป็นความงดงามที่พร้อมจะกระชากวิญญาณของบุรุษทุกผู้ได้ทุกเมื่อ เขาตกหลุมรักนางในทันทีที่ได้สบเข้ากับดวงตาเมล็ดซิ่งซึ่งเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของนาง
“นางได้ตำแหน่งฮองเฮา แต่มิได้หมายความว่านางจะได้ตำแหน่งใดๆในใจของข้า ในหัวใจของข้ามีแต่เพียงเจ้าผู้เดียว เจ้าเองก็น่าจะรู้”
อันที่จริงอวี้ไป๋หลานก็ควรที่จะรู้ว่าในเวลานี้นางเป็นสตรีที่มีบทบาทในพระทัยของฮ่องเต้หนุ่มมากที่สุด เพราะขนาดลู่ไทเฮาพระมารดาแท้ๆของฮ่องเต้ยังมิอาจก้าวก่ายเรื่องหัวใจของเขาได้เลย อวี้ไป๋หลานรู้ดีมาตลอดว่าลู่ไทเฮานั้นหวังจะผลักดันหลานสาวคนโปรดของตนขึ้นเป็นฮองเฮา ลู่อิงเหยาผู้รั้งตำแหน่งเป็นกุ้ยเฟย เป็นรองแต่เพียงนางนั้นเป็นหลานสาวแท้ๆของลู่ไทเฮา สกุลลู่คงหวังที่จะสืบทอดอำนาจของตระกูลให้ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลใดๆในแคว้นฉางไปชั่วลูกชั่วหลานสินะ
“ฝ่าบาท จะมิให้หม่อมฉันน้อยใจได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันนั้นอาภัพนัก เป็นถึงบุตรสาวคนเดียวของท่านแม่ทัพอวี้ ตระกูลอวี้เป็นตระกูลแม่ทัพที่คอยปกป้องแผ่นดินแคว้นฉางมาหลายชั่วอายุคน พอแต่งให้กับฝ่าบาทถึงแม้นจะได้รับตำแหน่งเป็นหวงกุ้ยเฟย แต่ไทเฮาก็มิเคยทรงโปรดปราน อีกทั้งถึงฝ่าบาทจะทรงเมตตา เสด็จมาประทับกับหม่อมฉันบ่อยครั้งกว่าพระสนมอื่นๆแต่หม่อมฉันก็ไร้วาสนา มิสามารถให้กำเนิดทายาทไม่ว่าจะเป็นองค์หญิง หรือว่าองค์ชายถวายฝ่าบาทได้ เกิดมาเป็นสตรีชนชั้นสูงเสียเปล่าแต่กลับต้องมายอมก้มหัวให้กับสตรีจากชนชั้นต่ำผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมารดาแผ่นดิน” พูดจบอวี้หวงกุ้ยเฟยก็ทำท่าเหมือนจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น
ดีที่ฉินหย่งเต๋อรีบเข้ามาคว้าตัวนางไว้ได้ทัน เขากระชับวงแขนกอดรัดนางให้อยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา
“ฝ่าบาท” อวี้ไป๋หลานเงยหน้าขึ้นสบตากับพระเนตรคมของพระสวามีผู้มีฐานะเป็นโอรสสวรรค์
เรื่องหัวใจนั้นถึงจะสำคัญ…แต่อย่างไรก็มิอาจสำคัญสู้บ้านเมืองและราษฎรได้
“หลานเอ๋อร์ สตรีสกุลอี้ผู้นั้น ถึงจะมาจากชนชั้นล่างแต่นางมีชะตาหงส์ นางมีดวงชะตาที่จะสามารถคุ้มครองและปัดเป่าทุกข์ภัยทั้งหลายที่ตอนนี้แคว้นฉางกำลังประสบอยู่ได้ ขอให้เจ้าเห็นแก่แคว้นฉาง เห็นแก่ราษฎรตาดำๆที่กำลังตกทุกข์ได้ยากเถิด ฮองเฮานั้นเป็นเพียงตำแหน่ง แต่ในหัวใจของข้ามีเจ้าเป็นฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียว ขนาดเสด็จแม่ยังมิอาจบังคับให้ข้าแต่งตั้งลู่อิงเหยาให้มีตำแหน่งสูงกว่าเจ้าได้เลย”
‘หึ! ฝ่าบาทคงจะต้องการบอกเป็นนัยๆว่าถึงข้าจะเป็นสตรีที่มาจากชนชั้นสูง แต่สตรีจากสกุลอี้นั้นถึงจะมาจากชนชั้นต่ำ แต่นางมีชะตาหงส์ แต่ข้าไม่มีสินะ ฮึ! ข้าไม่เชื่อหรอก ไอ้คำทำนายบ้าบอไร้สาระนั่น ซินแสเทวดานั่นจะมีจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้’ อวี้ไป๋หลานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ฝ่าบาท เรื่องที่ว่านางมีชะตาหงส์ สามารถปัดเป่าทุกข์ภัยให้กับแคว้นฉางได้นั้นอาจจะเป็นเรื่องเหลวไหลที่มีคนตั้งใจปั่นหัวฝ่าบาทก็ได้นะเพคะ หม่อมฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีเรื่องไร้สาระพรรค์นั้น”
“แต่คนผู้นั้นคือเสด็จอาของข้านะ เสด็จอาเป็นพระญาติเพียงคนเดียวที่ข้ารู้สึกไว้วางใจและให้ความเคารพมากที่สุด เจ้าเองอยู่แต่ในวังคงไม่รู้สินะว่าข้างนอกน่ะราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง ทางทิศเหนือเกิดปัญหาน้ำท่วม ทางด้านทิศใต้เกิดฝนแล้ง ทิศตะวันออกมีโรคระบาดกระจายไปทั่ว ผู้คนล้มตายดั่งใบไม้ร่วง ทางด้านทิศตะวันตกมีกองโจรออกปล้นชาวบ้านตามเมืองต่างๆไปทั่วเพราะความยากจน ราษฎรอดอยากและมีความทุกข์ไปทั่วแคว้น ข้าเป็นฮ่องเต้มีหรือจะนิ่งดูดายได้ และทางเดียวที่จะปัดเป่าปัญหาเหล่านี้ออกไปจากแคว้นฉางของพวกเราได้ก็คือต้องหาสตรีที่มีเวลาตกฟากตามที่ซินแสเทวดาได้บอกกล่าวไว้และแต่งตั้งให้นางเป็นมารดาของแผ่นดิน เพื่อแผ่นดินแคว้นฉางแล้ว พวกเราทุกคนต้องเสียสละ ทั้งเจ้าและข้าต้องเสียสละ เจ้าจะเสียสละเพื่อแคว้นฉางได้หรือไม่ เพียงแค่หนึ่งปีหรือสามร้อยหกสิบห้าวันเท่านั้นที่นางจะอยู่ที่นี่ในฐานะฮองเฮา หลังจากที่สถานการณ์ต่างๆของแคว้นฉางดีขึ้นภายในหนึ่งปี จากนั้นนางจะไปจากที่นี่”
“จิ…จริง…จริงหรือเพคะ เพียงหนึ่งปีเท่านั้นนะเพคะ ฝ่าบาททรงสัญญาแล้วนะเพคะ ว่านางจะเป็นฮองเฮาเพียงแค่หนึ่งปี” อวี้หวงกุ้ยเฟยลิงโลด
“อืม…หนึ่งปี เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ข้าตกลงกับนางไว้”
“แล้ว…ถ้าเกิดว่านางไม่ยอมไปขึ้นมาล่ะเพคะ?”
“นั่นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ที่นางยอมอยู่ที่นี่ในฐานะฮองเฮา เพราะข้าว่าจ้างนางด้วยเงินหนึ่งหมื่นตำลึง และนางยังจะได้รับเบี้ยหวัดรายเดือนเดือนละสองพันตำลึงตามธรรมเนียมของวังหลังอีกด้วย”
“สรุปว่า…ที่นางยอมอยู่ที่นี่ ก็เพราะ…เงิน เช่นนั้นหรือเพคะ”
“เป็นเช่นนั้น” ฉินหย่งเต๋อค่อยพอจะเบาใจขึ้นมาได้บ้างเมื่อเห็นว่าสนมรักนั้นยิ้มออกแล้ว
‘หนึ่งปี แค่หนึ่งปี แค่สามร้อยหกสิบห้าวันเท่านั้น ตำแหน่งฮองเฮาก็จะเป็นของข้าในทันที’อวี้ไป๋หลานลอบอมยิ้มในขณะที่ฉินหย่งเต๋อกลับรู้สึกกลัดกลุ้มในใจ เงินค่าจ้างและเงินล้างหนี้ที่เขาได้สัญญาไว้กับอี้เหม่ยหรงเห็นทีว่าคงต้องหยิบยืมมาจากอันอ๋องซะแล้ว ก็เพราะในเวลานี้ท้องพระคลังกำลังจะติดลบนะสิ