“พี่ไม่เชื่อ รู้ไหมว่าตัวโกหกไม่เก่งเอาซะเลย” หนนี้หญิงสาวไม่ตอบเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ในเมื่อพูดไปแล้วเขาก็ไม่เชื่อกันอยู่ดี
“อ้ายมีงานต้องทำ ปะ…ปล่อยอ้ายไปเถอะนะคะ” ท่าทีคุกคามของเขาไม่ได้ทำให้เธอกลัวก็จริง แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้เพราะไม่รู้แน่ใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ ทำไมถึงดูโกรธกันนักกับเรื่องแค่นี้
“พี่จะปล่อยถ้าอ้ายสัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่ทำแบบนี้อีก ตกลงไหมครับ” นั่นดูเหมือนจะไม่ใช่คำขอร้องเลยสักนิด เพราะดูเหมือนว่าเขาจะยังคงปักหลักอยู่อย่างนี้ไปอีกนาน หากว่าไม่ได้คำตอบที่ถูกใจ
“กะ…ก็ได้ค่ะ”
“พูดว่าอ้ายสัญญาด้วยสิ” คนถูกสั่งแอบชักสีหน้าเบาๆ หากแต่แทนที่อีกคนจะหงุดหงิด เขากลับมีความสุขที่ได้เห็นอีกมุมของน้องน้อย ที่ดูเหมือนจะแอบมีมุมดื้อเงียบอยู่กับเขาบ้างเหมือนกัน
“อ้ายสัญญาค่ะ พอใจคุณหนึ่งรึยังคะ” คนพอใจพยักหน้ารับก่อนจะทำในสิ่งที่ทำให้อีกคนหัวใจสั่นรัว จนแทบจะเป็นล้มลมพับไป
“พอใจครับ พี่จะถือว่าอ้ายสัญญากับพี่แล้วนะ และนี่คือรางวัลที่พี่จะมอบให้เด็กดี” มันคือจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มก่อนที่เขาจะผละออกแล้วเดินผิวปากจากไปอย่างอารมณ์ดี
ทิ้งให้คนที่เพิ่งจะสูญเสีย ‘จูบแรก’ ยืนแน่นิ่งตกใจเพียงลำพัง!
หลังจากวันนั้น วันที่ถูกหลานชายเจ้าของบ้านขโมยจูบที่แก้มไปอย่างเอาแต่ใจ มธุรสก็ไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกเลย เธอรู้มาจากคนอื่นๆ ว่าวัชระกำลังจะขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารบริษัทคนใหม่แทนคุณท่านที่เตรียมจะวางมือเพราะอายุที่มากขึ้น มันเลยทำให้เขายุ่งตลอดวันจนไม่มีเวลามาหาเรื่องแกล้งให้เธอใจสั่นเล่นเหมือนทุกที หญิงสาวจึงสบโอกาสนี้ตั้งใจอ่านหนังสือสอบ เพราะปีนี้เป็นปีสุดท้ายสำหรับนักศึกษามหาลัยอย่างเธอแล้ว เธออยากตั้งใจทำให้มันออกมาดีที่สุด เพื่อที่ว่าคนส่งเสียให้เธอเรียนจะได้รู้สึกภาคภูมิใจ
“เทอมสุดท้ายแล้วใช่ไหม แล้วนี่คิดเอาไว้บ้างหรือยังว่าสอบเสร็จแล้วจะไปฝึกงานที่ไหน” คำถามที่ดังขึ้นจากผู้มีพระคุณทำให้คนที่กำลังตั้งอกตั้งใจบีบนวดให้ท่านอยู่ ต้องเงยหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ยตอบ
“อ้ายตั้งใจจะไปฝึกงานที่บริษัทพ่อของเพื่อนสนิทค่ะคุณท่าน” มยุรี หรือลูกตาลคือเพื่อนรักหนึ่งเดียวของเธอ หากไม่ได้อีกฝ่ายช่วยเธอเองก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะมีวันนี้รึเปล่า อย่างที่รู้กันดีว่าอีกฝ่ายนั้นเรียนเก่ง อีกทั้งยังมีน้ำใจคอยแบ่งปันอะไรหลายๆ อย่างมาให้กันโดยไม่ถือตัวเลยสักนิดเรื่องที่ต้องมีเพื่อนเป็นแค่ลูกคนใช้อย่างเธอ
ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ที่พอได้รู้ความจริงต่างก็ค่อยๆ พากันตีตัวออกห่าง ทำราวกับว่าเธอกับพวกเขานั้นอยู่กันคนละโลกไม่มีผิด
“ฉันก็ว่าดีนะ อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อน” หญิงสาวยิ้มรับในคำนั้น เธอไม่กล้าพอที่จะไปฝึกงานตามลำพัง อย่างน้อยถ้ามีเพื่อนไปด้วยมันก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจไม่น้อย โดยเฉพาะเพื่อนที่เก่งไปหมดอย่างมยุรี
“แต่ผมว่าไม่ดีครับคุณย่า!”
ทว่าเสียงเข้มของใครบางคนกลับดังขึ้นขัดจังหวะ ก่อนร่างสูงโปร่งในชุดสูทดูภูมิฐานจะค่อยๆ เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นย่าด้วยท่าทีปกติ
“อะไรที่เราว่าไม่ดี”
“บริษัทของเราก็มี ไม่เห็นต้องให้อ้ายไปฝึกที่อื่นเลยนี่ครับ อีกอย่างตอนนี้ผมเองก็อยากได้ผู้ช่วยเพิ่มสักคน ถ้าคุณย่าไม่ว่าอะไร ผมอยากจะขอแรงอ้ายให้ไปช่วยงานสักหน่อยได้ไหมครับ” คำบอกเล่านั้นทำให้คนฟังรู้สึกกลัว กลัวว่าคุณท่านจะตอบตกลงซึ่งก็เป็นตามนั้น
“นั่นสิ ย่าก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ว่ายังไงเล่ายัยอ้าย เธอติดขัดอะไรไหมถ้าจะเปลี่ยนมาฝึกงานที่บริษัทของฉันแทน” แม้คำถามนั้นจะดูเหมือนมีทางเลือกให้ตัดสินใจ แต่ใครเล่าจะกล้าขัดผู้มีพระคุณ
“ได้ค่ะคุณท่าน” สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงตอบตกลงไปเบาๆ ก่อนจะเงยขึ้นมองอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล สาบานได้ว่าแอบเห็นเขายิ้ม
ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มที่เธอรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย!
สองเดือนต่อมา
แม้ใจจะอยากให้เวลาเดินช้ากว่านี้อีกหน่อย แต่ก็ดูเหมือนมันจะไม่เป็นดั่งใจหวังสักเท่าไหร่ เพราะไม่ทันไรมธุรสก็สอบเสร็จ และกำลังเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการฝึกงานในบริษัทผ้าไหมของผู้เป็นมีพระคุณเป็นเวลาสองเดือนเต็มๆ ในฐานะผู้ช่วยเลขาของหลานชายท่าน คนที่ว่างเมื่อไหร่ก็ไม่ลืมแวะเวียนมาแกล้งให้เธอใจสั่นบ่อยๆ
“คิดอะไรอยู่ ทำไมถึงยังไม่รีบเข้านอนอีก พรุ่งนี้ฝึกงานวันแรกต้องตื่นนอนแต่เช้าไม่ใช่รึไง” เสียงของมารดาที่เอ่ยขึ้นทำให้ต้องหันกลับไปมองท่านก่อนจะตอบไปตามความจริง
“อ้ายยังไม่ง่วงเลยจ๊ะแม่ ถ้ายังไงอ้ายขอไปเดินเล่นได้ไหมจ๊ะ”
“จะไปก็รีบไป แล้วก็รีบกลับมาเข้านอนล่ะ ประเดี๋ยวนอนดึกพรุ่งนี้ตื่นสายแม่ไม่รู้ด้วยนะ” หญิงสาวยิ้มรับก่อนจะชิงหอมแก้มมารดาแล้วเดินออกมาเดินเล่นที่หน้าห้องพัก ภายในใจยังคงสับสนถึงหลายๆ สิ่งที่ทำให้เธอปวดหัวทุกทีที่คิดถึงมันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง…
เขาคนนั้น!
เขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่ ทำไมต้องเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเธอด้วย เรื่องฝึกงานนั่นก็หนหนึ่งแล้ว ไหนจะเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ที่เขาบังเอิญขับรถผ่านมาเจอเธอที่กำลังเดินเท้าอยู่ในซอยบ้าน ครั้งแรกเขาชวนขึ้นรถกลับบ้านด้วยกันดีๆ อยู่หรอก แต่พอถูกปฏิเสธเขาก็ทำท่าทีโกรธจัด ซ้ำยังลงจากมาอุ้มเธอขึ้นรถแบบนั้นอีก!
คนอะไรช่างเอาแต่ใจตัวเองเหลือเกิน…
แม้เมื่อคืนที่ผ่านมาจะนอนดึกแค่ไหนแต่พอนาฬิกาบอกเวลาตีห้าครึ่งมธุรสก็ตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชิน หญิงสาวใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก่อนจะออกมาช่วยในครัวเท่าที่จะพอช่วยได้ เมื่อถึงเวลาหกโมงจึงเดินออกจากบ้าน จุดหมายคือท่ารถประจำทางที่อยู่ปากซอย
บรี๊นๆ
ทว่าออกเดินได้ไม่เท่าไหร่เสียงบีบแตรของรถก็ดังขึ้น เมื่อหันไปดูก็พบว่าไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนนอกจากว่าที่เจ้านายคนใหม่ของตัวเอง
“ขึ้นรถสิ!” วัชระเอ่ยขึ้นก่อนจะลอบมองคนที่มักจะส่งยิ้มอ่อนหวานให้ทุกคนเสมอยกเว้นเขา ซึ่งเห็นทีไรมันทำให้หงุดหงิดทุกที
แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์คิดแบบนั้น แต่มันก็อดหวงไม่ได้ทุกที ยิ่งตอนเห็นเธอให้ความสำคัญกับทุกคนยกเว้นตัวเองก็ยิ่งหงุดหงิด
“ไม่เป็นไรค่ะ อ้ายไปเองได้ค่ะ” มธุรสปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดอะไรให้เหนื่อยเปล่า มันคงเป็นเรื่องอื้อฉาวน่าดูที่จู่ๆ เด็กศึกษาฝึกงานอย่างเธอจะนั่งรถไปกับผู้บริหารระดับสูงอย่างเขาตั้งแต่วันแรกของการฝึกงานแบบนี้ แค่ต้องกลายเป็นเด็กเส้นมันก็มากเกินพอแล้วสำหรับเธอ
“จะขึ้นมาดีๆ หรือต้องให้ลงไปอุ้มแบบวันนั้น!” แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่คิดฟังคำตอบของเธอเลยด้วยซ้ำ เขากำชับสั่งเสียงแข็ง แถมยังจ้องกันด้วยสายตาดุดัน ทำให้รู้โดยไม่ต้องเอ่ยถามว่าเขาพูดจริงทำจริงได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเธอกล้าพอที่จะลองดีกับเขารึเปล่า
แน่นอนคำตอบคือไม่กล้า! เพราะหากกล้าเธอคงทำนานแล้ว