ครืด~ ครืด~ ครืด~
เสียงโทรศัพท์ที่สั่นอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาเกือบสามนาที คนปลายสายที่โทรเข้ามาอย่างไม่ขาดช่วง ทำให้คนตัวสูงที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จมองด้วยความแปลกใจ
“ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง”
(ตอนนี้ผู้หญิงกับผู้ชายที่อยู่กับคุณพราวมุกออกไปข้างนอกทั้งหมดเลยครับ แต่ผมเห็นว่าทั้งสองคนล็อกบ้านเอาไว้หมดเลย ก็เลยโทรมาบอกนายน้อยครับ)
“แล้วพราวมุกล่ะ”
(เมื่อเช้าผมเห็นเธอเข้าไปในบ้านแล้วนะครับ แต่ตอนที่สองคนนั้นออกมา ไม่มีคุณพราวมุกนะครับ)
“จับตาดูไปก่อน ถ้ามีเรื่องอะไรจริงๆ ค่อยเข้าไป”
(ครับนายน้อย) เขาไม่กล้าบุ่มบ่ามสั่งให้ลูกน้องเข้าไปในบ้านของพราวมุกตอนนี้ เพราะหากไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนที่ซวยก็คงเป็นลูกน้องของเขา อีกทั้งเขาจะโดนจับได้ว่าส่งคนมาสอดแนมที่บ้านของเธออีก
แต่เพราะหลังจากที่คะนิ้งเล่าเรื่องน้าของพราวมุกให้ฟัง ทำให้เขาไม่ไว้ใจน้าของพราวมุกจึงส่งลูกน้องไปสอดแนมแทน อย่างน้อยเขาก็จะได้มั่นใจว่าพราวมุกจะปลอดภัย
“คีตะ” ชายหนุ่มที่เพิ่งจะออกมาจากห้องนอนก็เจอกับแขกไม่ได้รับเชิญที่มานั่งอยู่โซฟาในห้องของเขา
“แม่โทรมาบอกให้ไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่บ้าน”
“อืม”
“สร้อยข้อมือ” คีตะชูสร้อยข้อมือที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี และจำได้ว่าใครคือเจ้าของสร้อยข้อมือเส้นนี้
“ไปเอามาจากไหน”
“ห้องของพี่ไง”
“ทำหล่นไว้งั้นเหรอ” คณินพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะรีบเข้าไปคว้าสร้อยข้อมือเส้นนั้นกลับมาไว้ที่ตัวเอง
“เมื่อคืนพราวมุกมาที่นี่เหรอ”
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน เอาเวลาไปยุ่งกับงานของตัวเองโน้น” เขาเอ่ยด้วยความหมั่นไส้น้องชายที่รู้ดีไปหมดทุกเรื่อง
“แค่นี้ก็ไม่ยอมรับ” คีตะที่รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพราวมุกและคณินดีไม่ต่างจากคะนิ้งก็เห็นแววว่าพี่ชายของเขากำลังพยายามจะกลับไปคืนดีกับพราวมุกอยู่
“พูดมาก”
“งั้นก็รีบคุยกับแม่นะ เพราะฉันได้ยินว่าแว่วๆ ว่าแม่กำลังจะจับคู่พี่กับลูกสาวของเจ้าสัวใหญ่”
“ไม่มีทาง”
“ถ้าพี่ง้อพราวมุกไม่สำเร็จ พี่ไม่รอดแน่นอน” ลูกชายคนรองสุดที่รักอย่างคีตะรู้นิสัยของผู้เป็นแม่ดี ถ้าหากคณินยังไม่มีคนรัก ยังไงแม่ก็ต้องจับคู่และให้แต่งงานกันภายในปีนี้อย่างไม่มีข้อแม้
“กลับไปได้แล้วมั้ง”
“ไปก็ได้ ไม่เห็นต้องไล่กันเลย” คีตะยอมออกไปจากห้อง แต่ก็ไม่วายทำท่าน้อยใจใส่คณินไปเล็กน้อย
คณินนั่งจ้องมองสร้อยข้อมือสีเงินประดับเพชร เขาจำได้ว่าเคยให้สร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นของขวัญวันเกิดของหญิงสาวก่อนที่เขาจะตัดสินใจไปต่างประเทศโดยไม่ได้บอกลาเธอสักคำ
คิดแล้วก็อยากจะทุบตัวเองให้หัวแตก...
คณินหงุดหงิดกับตัวเองไม่หาย หลังจากที่ได้รู้ความจริงว่าตัวเองโดนคู่แข่งหลอกให้ออกไปจากชีวิตของผู้หญิงที่ตัวเองรักตั้งเกือบห้าปี
“ไอ้โง่เอ๊ย สมกับที่โดนพราวมุกด่าจริงๆ” ฝ่ามือหนาทุบไปที่ศีรษะของตัวเขาเองหลายทีจนหายหมั่นไส้ตัวเอง และพยายามหาทางที่จะขอโทษและขอคืนดีกับพราวมุกให้ได้
หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันจนเกือบจะชิดมาเป็นเวลากว่าค่อนวันแล้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มอยู่ไม่เป็นสุข เหมือนโดนไฟลนก้นอยู่ตลอดเวลา
เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องกลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านกับครอบครัวแล้ว แต่สีหน้าของเขากลับทำให้คนรอบตัวมองออกได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เป็นอะไรเหรอคณิน หน้าตาคร่ำเครียดเชียว” ดุจฤทัยเอ่ยถามลูกชายคนโต ที่เอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งแต่มาถึงที่บ้าน
“เอ่อ... เปล่าครับ”
“พี่คณินกำลังหาทางง้อผู้หญิงอยู่ครับแม่”
“จริงเหรอ?” ดุจฤทัยหันมามองลูกชายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ครับ” คณินยอมรับอย่างง่ายดาย ก่อนจะหันไปมองน้องชายตาเขม็ง
“แม่อยากรู้จังว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“น้องพราวมุกเพื่อนยัยคะนิ้งไงแม่” คีตะรีบเสริมทันที และนั่นยิ่งทำให้ดุจฤทัยเบิกตากว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดีใจจนซ่อนเอาไว้ไม่มิด
“หนูมุกงั้นเหรอ ว่าแต่แม่ได้ข่าวว่าหนูมุกเพิ่งเลิกกับแฟนนี่”
“คิดแล้วก็สงสารนะครับ ผู้ชายคนนั้นตามตื๊อพราวมุกมาตั้งสามปีจนพราวมุกยอมคบด้วยมาเกือบสองปี แต่ดันโดนสวมเขาซะงั้น อะ...โอ้ย” คณินจงใจเตะไปที่ขาของน้องชาย ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นแม่
“จริงด้วย ถ้างั้นคณินก็รีบไปขอคืนดีกับน้องซะ ถ้าน้องไม่ยอมก็ขอจีบน้องใหม่เลยสิ จะเป็นอะไรไป แต่ช่วงนี้น้องน่าจะอยู่ในช่วงที่สภาพจิตใจอ่อนไหว ฉะนั้นห้ามบุ่มบ่ามนะ เข้าใจไหม” ดุจฤทัยสนับสนุนลูกชายเต็มที่ เพราะที่จริงแล้วเธอก็แอบปลื้มพราวมุกไม่น้อย ช่วงที่คะนิ้งกำลังเรียนอยู่มหาลัยก็มักจะพาพราวมุกมาค้างที่บ้านอยู่หลายครั้ง เลยพอรู้จักและเคยพูดคุยอยู่บ้าง ซึ่งเธอก็ชอบนิสัยของพราวมุกมากๆ เช่นกัน
“ครับแม่”
“ส่วนคีตะ แม่ได้ยินว่ากำลังหาเลขาคนใหม่ใช่ไหม” ดุจฤทัยเอ่ยถามด้วยสายตาเจ้าเล่ห์คล้ายกับลูกชายคนรองอย่างคีตะราวกับถอดแบบกันมา
“ครับ พอดีเลขาคนเก่าเพิ่งลาออกไป”
“แม่มีคนที่แม่อยากให้ไปทำงาน ลูกจะว่าอะไรไหม”
“ได้สิครับ ถ้าเป็นคนที่แม่เลือกให้ ยังไงก็ต้องทำงานเก่งอยู่แล้ว” ในฐานะลูกชายคนโปรด เขาไม่มีทางปฏิเสธสิ่งที่แม่ขอเลยสักครั้ง ถ้าหากไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
“ดีมาก ลูกรักของแม่ทั้งสองคน”
“ว่าแต่พ่อเป็นยังไงบ้างครับ” คณินไม่ลืมที่จะถามถึงอาการป่วยของเคนตะผู้เป็นพ่อ หลังจากที่เพิ่งอาการดีขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
“ช่วงนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว แม่ไม่ทันห้ามก็แอบขึ้นเครื่องบินไปคุยงานที่อิตาลีโน้นแล้ว”
“เฮ้อ บ้างานไม่เคยเปลี่ยน” คีตะบ่นเล็กน้อย
“แต่เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วล่ะ เพราะแม่คุยกับพ่อเขาไว้ว่าจะไปเที่ยวด้วยกันปลายเดือนนี้”
“ครับ ขอให้เที่ยวกันให้สนุกนะครับ เดี๋ยวผมจะมาหาบ่อยๆ”
“จ้ะ มาให้แม่หอมแก้มหน่อยซิ” ลูกชายทั้งสองลุกขึ้นไปกอดดุจฤทัยก่อนจะยื่นแก้มมาให้เธอหอมพร้อมกับหอมแก้มของเธอกลับอย่างที่เคยทำมาตั้งแต่เล็กจนโต
ยิ่งเห็นลูกชายลูกสาวน่ารักกันแบบนี้ เธอยิ่งภูมิอกภูมิใจในตัวเองที่เลี้ยงลูกมาได้ขนาดนี้ อีกทั้งเธอกำลังจะมีว่าที่ลูกสะใภ้คนโปรดอีกต่างหาก ชีวิตนี้เธอก็คงไม่ต้องการอะไรนอกเสียจากการที่เห็นครอบครัวมีความสุขและอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
@London, UK
คะนิ้งเดินไปเดินมาภายในบริษัทเป็นรอบที่ร้อยของวันแล้ว ตอนนี้เธอกำลังสงสัยว่าเธอมาคุยงานในฐานะพันธมิตรหรือในฐานะของพนักงานในบริษัทนี้กันแน่
“ใช้ให้ฉันมาทำอะไรเนี่ย ฉันไม่ใช่พนักงานของคุณนะ”
“ก็เธออยากจะคุยงานกับฉันเร็วๆ ไม่ใช่เหรอ” ใบหน้าหล่อเงยขึ้นจากแฟ้มเอกสารที่กำลังอ่าน พลางมองตรงมาที่หญิงสาวที่กำลังโมโหอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันไม่ทราบ”
“ก็ถ้างานนี้ไม่เสร็จ ฉันก็คุยงานกับเธอไม่ได้หรอกนะ”
“เฮ้อ น่ารำคาญชะมัด คิดว่าเป็นคนสำคัญแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ ไม่องไม่เอามันแล้ว เซ็นก็เซ็น ไม่เซ็นฉันก็จะกลับบ้านแล้ว” หญิงสาวเอ่ยด้วยความโมโห ก่อนจะโยนเอกสารสัญญาใส่หน้าอีกฝ่าย และรีบออกไปจากบริษัทก่อนที่จะปรี๊ดแตกไปมากกว่านี้
“เหอะ สงสัยจะแกล้งแรงไปหน่อย” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหยิบเอกสารมาและเซ็นชื่อลงไปอย่างง่ายดาย
“ส่งกลับไปที่บริษัทของคุณเคนตะที” เขายื่นเอกสารให้กับเลขาที่นั่งอยู่ด้านหน้าห้อง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กที่บริเวณมุมปาก แล้วจึงรีบเดินตามไปหาหญิงสาวที่เพิ่งจะเดินออกไปจากบริษัท
“เดี๋ยวสิคะนิ้ง”
“ตามมาทำไมเนี่ย” หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น
ร่างสูงพุ่งเข้ามารั้งแขนของหญิงสาวเอาไว้จนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งหลักล้มเข้ามาใส่เขาพอดี
“โอ้ย! ทำอะไรของคุณเนี่ย” คำพูดที่เต็มไปด้วยความห่างเหินทำให้ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงอาการงอนของหญิงสาว
“งอนเหรอ”
“เปล่า ฉันจะกลับโรงแรมแล้ว”
“พี่ไม่ให้เธอกลับไปโดยไม่มีพี่ไปด้วยหรอกนะ”
“เรื่องอะไร ฉันต้องไปกับคุณด้วย” คะนิ้งไม่ชอบใจเมื่อถูกเซ้าซี้ แต่ความจริงแล้วเธอกำลังงอนเขาอย่างที่เขาบอก
“กลับกัน” สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายโดนเขาลากมาจนถึงรถและหมดหนทางหนีแล้ว
พอมาถึงคอนโดเธอก็รีบเดินนำหน้าเขาขึ้นไปด้านบนอย่างคุ้นเคย แน่นอนล่ะ เพราะนี่ไม่ใช่การเจอกันครั้งแรกระหว่างเธอกับเขาอย่างที่คนอื่นๆ เข้าใจ
“เดี๋ยว มาคุยกันก่อนสิ”
“อะไรของคุณเนี่ย” น้ำเสียงของหญิงสาวบ่งบอกถึงความไม่พอใจขั้นสุด จนเขาต้องพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบให้เธอใจเย็นลง
“พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก พี่ก็เพิ่งจะรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของอาเคนเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เอง”