ทูตแลกเปลี่ยน [4.2]

1606 คำ
สี่ ทูตแลกเปลี่ยน “ข้าอยู่แต่ในวังหลวง ไม่จำเป็นต้องใช้องครักษ์หรอกพี่รอง” “แต่เด็กคนนั้นบอกว่าเจ้างามและน่ารัก” สีหน้าของรองแม่ทัพจริงจังยิ่งขึ้น “หากหลังจากนี้ไปมีบุรุษมากมายบ้าบิ่นบุกเข้าวังเพื่อชิงตัวเจ้า ข้าจะทำอย่างไร” กู่หลันอิงไม่รู้จะอายหรือโกรธพี่ชายก่อนดี “ท่านอย่าได้ล้อเล่น!” วันนี้มันอะไรกัน ไยจึงมีแต่คนกลั่นแกล้งนาง! กู่เลี่ยงผู้เด็ดขาดต่อหน้าผู้อื่น เอนกายพิงไหล่น้องสาวที่ตัวเล็กกว่า เหมือนหมาป่าตัวใหญ่ที่ออดอ้อนขอความรักผู้เป็นเจ้าของ “หากมิใช่เพราะเรื่องนี้ อิงอิง แล้วเจ้ากังวลเรื่องอะไร” น้ำหนักที่โถมลงมามิใช่เล่นๆ ทว่ากู่หลันอิงก็รู้ดีว่าเท่านี้อีกฝ่ายก็ยั้งมือไว้มากแล้ว หากรองแม่ทัพแห่งแคว้นเว่ยโถมแรงลงมาทั้งตัวจริง เกรงว่าต่อให้นางอ้วนกลมเพียงไรก็คงแบนติดพื้นห้องอยู่ดี “ทูตแลกเปลี่ยนมาเร็วกว่ากำหนดการที่แจ้งไว้” กู่หลันอิงที่พยายามขืนร่างไม่ให้ล้มตอบเสียงอู้อี้ “ข้ากังวลว่าที่ชายแดนอาจมีปัญหาบางอย่าง” “เรื่องนี้ข้าเองก็สั่งการให้คนไปสืบดูแล้ว หยวนเซ่าอธิบายว่าเขามีปัญหาเรื่องที่พักระหว่างทางจึงเร่งเดินทางมาที่นี่โดยไม่หยุดพัก ดังนั้นจึงมาถึงวังหลวงเร็วกว่ากำหนดการเดิม” ชายหนุ่มยอมผละตัวออกห่างร่างนุ่มนิ่มเพราะกลัวน้องสาวจะขืนตัวไม่ไหวจนล้มลงไป “แต่จริงดังที่เจ้าบอก เหตุผลที่เขาชี้แจงดูน่าสงสัย” “สาเหตุที่เขาเปลี่ยนกำหนดการเดิม อาจไม่ได้มีต้นเหตุมาจากทางเรา” กู่หลันอิงเบนสายตาไปยังเทียนไขที่อยู่ใกล้ตัว มองเพลิงที่เต้นระบำหยอกเย้ากับสายลมที่พัดผ่าน พยายามคาดเดาถึงสาเหตุดังกล่าว “เราอาจต้องตรวจดูรายชื่อคนที่เดินทางจากแคว้นลี่ว่าสอดคล้องกับคณะที่เดินทางมาถึงที่นี่หรือไม่” การกระทำดังกล่าวอาจดูมากเกินความจำเป็น แต่นางเชื่อว่าการป้องกันปัญหาไว้ก่อนย่อมดีกว่ามาแก้ไขทีหลังเมื่อมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ “แล้วพี่จะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่ใหญ่” กู่เลี่ยงแบ่งรับแบ่งสู้ เรื่องการสืบใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่ถ้าทางแคว้นลี่จับได้อาจเกิดความระแวงแคลงใจกันเปล่าๆ ดังนั้นเขาจึงต้องปรึกษากู่ฉินอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่ามันเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เขายอมรับในความเฉลียวฉลาดเกินวัยของกู่หลันอิง ทว่าน้องสาวของเขาเติบโตในวังหลวง ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่นางไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องละเอียดอ่อนอย่างการมีปฏิสัมพันธ์ต่อผู้อื่นนอกจากข้าราชบริพารหรือครอบครัว กู่หลันอิงไม่เคยมีเพื่อนวัยเดียวกัน แต่เดิมเขาคิดว่าไม่เป็นไรตราบใดที่มีพวกเขาคอยปกป้องและดูแลอย่างใกล้ชิด นางเติบโตในวังและเรียนทุกสิ่งจากเหล่าอาจารย์ที่ถูกเรียกตัวมาจากสำนักข้างนอก ทว่าหลังจากเด็กหญิงได้พบอาตงในวันนี้ ด้วยท่าทีเขินอายและการวางตัวที่มีเค้าความประหม่า ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่าคงได้เวลาที่กู่หลันอิงต้องรู้จักโลกกว้างให้มากกว่านี้เสียที นี่ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่เขาต้องปรึกษาบิดาและพี่น้องที่เหลือ เพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีที่จะทำให้ทั้งเขาและกู่หลันอิงยอมรับได้ กู่เลี่ยงครุ่นคิดไปถึงหลานชายของหยวนเซ่าที่อายุไล่เลี่ยกับน้องสาว หากเด็กผู้นั้นไว้ใจได้ ให้เขามาเป็นเพื่อนเล่นอิงอิงก็คงไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายคิดปฏิเสธอยู่แล้ว ณ ตำหนักรับรองฝั่งตะวันตก เนื่องจากทูตแลกเปลี่ยนเดินทางมาถึงเร็วกว่ากำหนดการเดิม แคว้นเว่ยที่ไม่ได้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับหรือเชิญร่วมมื้ออาหารจึงถือว่าไม่น่าเกลียด ในทางตรงข้าม พวกเขาซึ่งเร่งรีบเดินทางมาถึงก่อนกำหนดต่างหากที่ไร้มารยาท หยวนเซ่าเข้าใจจุดนี้ดี จึงทำตามที่องค์ชายกู่เลี่ยงตรัสอย่างไม่เรื่องมาก ทว่าเขาก็มีเหตุผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จึงต้องรีบมุ่งหน้ามาให้ถึงพระราชวัง โดยหลีกเลี่ยงเส้นทางที่กำหนดไว้แต่แรก ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของคนฝั่งเขา ด้วยเหตุผลที่มิอาจแจ้งแก่ฝั่งแคว้นเว่ย หยวนเซ่าตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดแอบฟัง จึงปิดประตูห้องแล้วหันไปเอ็ดคนอายุน้อยกว่า “เจ้าลักลอบเข้ามาในวังแบบนี้ได้อย่างไร องค์หญิงกู่หลันอิง ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องได้พบ เจ้าทำเยี่ยงนี้ช่างเป็นการเปิดตัวที่ไม่งดงามเอาเสียเลย” อาตงทำปากยื่นหน่อยๆ เขาไม่ได้อยากฟังคนเฒ่าบ่นเลยสักนิด “ข้าเพียงอยากไปแอบดูนาง ไม่ได้หวังจะให้ถูกจับได้เสียหน่อย” “ถึงอย่างไร ความใจร้อนของเจ้าก็ทำให้ภาพพจน์เสียหาย” “เท่าที่ข้าเห็น ทั้งองค์ชายและองค์หญิงต่างก็ไม่ถือสาอันใด” คนอายุน้อยกว่าตอบเสียงเอื่อยเฉื่อย “หยวนเซ่า เจ้าอย่าได้ทำตัวเป็นคนแก่ไปหน่อยเลย” อดีตรองเสนาบดีหนุ่มซึ่งได้รับตำแหน่งใหม่เป็นถึงท่านทูต สาวเท้าเข้ามาใกล้อาตง “แก่รึ! ข้าอายุแค่ยี่สิบเอ็ด จะเรียกว่าแก่ได้อย่างไร” “...” “อีกอย่าง เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘ท่านน้า’ ถึงจะถูก” อาตงยืนนิ่งประหนึ่งไม่ได้ยินคำสั่งของเขา “ข้าเห็นเจ้ากล่าวชมหนักหนาว่าองค์หญิงกู่หลันอิงทั้งฉลาดและวางตัวสุขุมเป็นผู้ใหญ่ แต่เท่าที่ข้าดูก็ไม่เห็นจะเป็นดังที่เจ้าว่า แน่ใจรึว่าคนที่ข้าเห็นวันนี้เป็นคนคนเดียวกัน” คำถามจากคนอายุน้อยกว่า ส่งผลให้หยวนเซ่าเผยสีหน้าลังเลเล็กน้อย เป็นเพราะยามนั้นเขาเข้าเฝ้าองค์หญิงผ่านฉากกั้น ดังนั้นจึงมิอาจยืนยันแน่ชัดว่าผู้ที่ตนเสวนาด้วยวันนั้นใช่องค์หญิงตัวจริงเสียงจริงหรือไม่ “ถึงอย่างไรการสนิทสนมกับองค์หญิงจะเป็นประโยชน์แก่เราในภายภาคหน้า” เด็กชายถอนหายใจพร้อมกับพยักหน้า เรื่องนี้ต่อให้หยวนเซ่าไม่บอก เขาก็รู้อยู่แล้ว จากเหตุการณ์เมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าทั้งองค์ชายรองซึ่งดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพและทหารในสังกัดต่างให้ความสำคัญกับกู่หลันอิงมากเพียงไร “ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เคยสนิทสนมกับคนวัยเดียวกัน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง” อาตงกอดอก กล่าวไปตามความเป็นจริง “ที่เจ้าทำไปวันนี้ก็ถือว่าไม่เลว” หยวนเซ่าเอ่ยพลางทยอยหยิบหนังสือตำราออกจากหีบ “วันนี้? ” เด็กชายเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายกำลังสื่อ “ก็ที่เจ้าพูดชมองค์หญิงต่อหน้าองค์ชายอย่างไรเล่า” “ที่แท้ก็เรื่องนั้น” อาตงลากสายตาของตนไปยังบานหน้าต่าง แสงจันทร์นวลผ่องโดดเด่นบนผืนฟ้า เด็กชายวัยสิบเอ็ดใช้มือเท้าลงบนโต๊ะเพื่อยกร่างตนขึ้นไปนั่งห้อยขาด้านบน ปากก็พึมพำ “ข้าไม่ได้พูดออกไปเพื่อเอาใจองค์ชายเสียหน่อย” มือใหญ่ของทูตหนุ่มซึ่งกำลังเลื่อนสันตำราชะงัก หันไปมองคนอายุน้อยกว่า “หมายความว่าเจ้าพูดเอาใจองค์หญิงรึ” อาตงโคลงศีรษะ “นั่นก็ไม่ใช่” “ตกลงอย่างไรกันแน่” “ข้าชมว่านางงามก็เพราะว่าข้าคิดแบบนั้นจริงๆ” มุมปากเด็กชายยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงสีหน้าตกใจของกู่หลันอิงยามถูกเขาหยิกแก้ม เด็กหญิงแก้มยุ้ยที่พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวมิใช่จะหาได้ทั่วไป “ฟ่านอู๋เฉียวมีตาหามีแววไม่จริงๆ” “อาตง อย่าเอ็ดไป!” หยวนเซ่าดุเสียงเข้ม “เขาเป็นองค์ชาย เจ้าควรพูดจาให้เกียรติ...” “เป็นองค์ชายของท่าน ไม่ใช่องค์ชายของข้า” เด็กชายเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี รอยยิ้มที่มุมปากจางหายไปโดยสิ้นเชิง “ท่านจัดของต่อเถิด ข้าจะไปนอนแล้ว” “แต่เราควรปรึกษากันก่อนว่าจะทำอย่างไรต่อไป!” หยวนเซ่าตะโกนไล่หลัง ทว่าอาตงกลับโบกมือลา ไม่คิดจะเสียเวลาพูดคุยกับอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ ไม่แปลกที่หยวนเซ่าจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาบนหลังคาเหนือศีรษะของพวกเขา ในเมื่อชายหนุ่มทำงานศึกษาอยู่แต่ตำรา ไม่มีโอกาศได้ฝึกยุทธ์เหมือนกับเขา อาตงยกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก หยวนเซ่าด่วนตัดสินเร็วเกินไปหน่อยกระมัง แม้ปากกู่เลี่ยงจะพูดว่าไม่ถือสาเรื่องที่เขาแอบเข้าวังหลวง แต่ยังไม่ทันข้ามวันก็ส่งคนมาสะกดรอยตามเสียแล้ว เห็นทีช่วงนี้เขาคงต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมสักพัก ถือโอกาสนี้ค่อยๆ เรียนรู้และปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมใหม่ เพราะถึงอย่างไร เขาก็ต้องอยู่ที่นี่กับหยวนเซ่าจนกว่าจะครบวาระห้าปีที่อีกฝ่ายมาประจำการแคว้นเว่ยแห่งนี้ ------------
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม