สี่
ทูตแลกเปลี่ยน
ดวงตะวันคล้อยต่ำใกล้ลับขอบฟ้า นภาสีแสดเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนถูกย้อมด้วยสีน้ำเงินสวย กลายเป็นเสน่ห์อันลึกลับของยามราตรี
“อิงอิง!”
เด็กหญิงที่กำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรับรู้ถึงฝีเท้ามากมายที่วิ่งตรงเข้าหา ครั้นหมุนกายไปก็พบว่ากู่เลี่ยงอยู่ในชุดเกราะเต็มยศ เดินมาพร้อมกองทหารกับอี้หลาน
นอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่งที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อน จากการแต่งกาย... กู่หลันอิงจำได้แม่นยำว่านางเคยเห็นฟ่านอู๋เฉียวแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่คล้ายคลึงกัน
คนจากแคว้นลี่!
“องค์หญิง!” อี้หลานซึ่งถือตะเกียงวิ่งตรงเมาหากู่หลันอิงที่ยืนนิ่งผิดวิสัย ก่อนจะผงะเมื่อเห็นว่าไม่ไกลจากองค์หญิงมีเด็กชายผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย
“เจ้าเป็น...”
นางกำนัลสาวพูดยังไม่ทันจบประโยค อาคันตุกะในวันนี้ก็แผดเสียงร้องตาม
“อาตง!”
กู่หลันอิงมองตามร่างของชายหนุ่มอายุน่าจะประมาณยี่สิบต้นๆ ซึ่งเดินตัดหน้าตนไปยังจุดที่คนไร้มารยาทยืนอยู่
นางเป็นสตรีที่มีความทรงจำแม่นยำตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นแม้ที่ผ่านมานางจะมีโอกาสได้เสวนากับอีกฝ่ายเพียงครั้งเดียวผ่านฉากกั้น ทว่านางจำเสียงนั้นได้
เป็นเสียงของรองเสนาบดีหยวนเซ่า เขามาทำอะไรที่นี่?
กู่หลันอิงมองภาพชายหนุ่มที่ยืนกันเด็กชายอย่างปกป้องก็มีข้อสันนิษฐานบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิด
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าหยวนเซ่าจะมาที่นี่ในฐานะทูตจากแคว้นลี่
ทว่าจากกำหนดการที่นางทราบ คณะทูตไม่ควรจะมาถึงเร็วเพียงนี้
“ท่านหยวนเซ่า” เป็นกู่เลี่ยงที่ก้าวออกมายืนบังน้องสาว “ข้าจะให้โอกาสคนของท่านอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น”
กลิ่นอายกดดันที่แผ่ออกจากร่างท่านรองแม่ทัพ ส่งผลให้หยวนเซ่าก้มมองเด็กชายนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม เขานึกไม่ถึงว่าระหว่างที่ตนเองกำลังแจ้งสาเหตุที่เดินทางมาถึงเร็วกว่ากำหนดการเดิมแก่กู่เลี่ยง อาตงจะแอบลักลอบเข้ามาในวังหลวงแบบนี้
“อาตง” แม้จะเป็นการเรียกเพียงสั้นๆ ทว่ากู่หลันอิงสามารถจับความนุ่มนวลในน้ำเสียงของหยวนเซ่าได้ “เจ้าทำเรื่องเสียมารยาทอันใดกับองค์หญิงกัน รีบสารภาพมาเร็วเข้า!”
“องค์หญิง? นางน่ะหรือ ” เด็กชายชี้นิ้วใส่กู่หลันอิง พลางหันมองหยวนเซ่าที่ยืนจับไหล่ตน
“ก็ใช่น่ะสิ!” ทูตหนุ่มซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงพระราชวังแคว้นเว่ยเป็นวันแรกตอบกลับหน้าเครียด
เจ้าเด็กคนนี้ยังมีหน้ามาถามหน้าซื่ออยู่อีก อย่างไรเสียเขาก็ต้องประจำการอยู่ที่นี่ตั้งห้าปี หากความสัมพันธ์ติดลบตั้งแต่วันแรก ต่อไปภาคหน้าจะเข้าหน้ากับคนของแคว้นเว่ยได้อย่างไร
ดูสิดู... องค์ชายรองพระพักตร์ดำทั้งแถบแล้วเห็นไหม!
ด้านอาตง ครั้นได้รับคำยืนยันจากปากหยวนเซ่า เขาก็ชักสีหน้าฟึดฟัดไม่พอใจนิดหน่อย
“ได้อย่างไร! ไหนข่าวลือบอกว่านางทั้งอ้วนทั้งอัปลักษณ์ แต่เท่าที่ข้าเห็น นางทั้งงามทั้งน่ารักเยี่ยงนี้ เจ้าคนที่ปล่อยข่าวลือช่างตาถั่วสิ้นดี!”
การกล่าวชมด้วยสีหน้าและแววตาอันจริงจังจากคนแปลกหน้า ส่งผลให้กู่หลันอิงที่ยังไม่หายตกใจกับการถูกแตะเนื้อต้องตัวรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า
จริงอยู่ที่นางกำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักเพื่อลบคำสบประมาทของฟ่านอู๋เฉียว สี่เดือนที่ผ่านมานางผอมลงนิดหน่อย แต่ร่างของนางยังอวบกว่าเด็กหญิงทั่วไปในวัยเดียวกันอยู่ดี
เขาคงพูดเพื่อเอาใจนางกับเสด็จพี่แน่ๆ เด็กชายผู้นี้ร้ายกาจนัก!
แม้สมองจะไตร่ตรองและตีความออกมาเช่นนั้น ทว่าร่างกายนางกลับอยู่เหนือความควบคุม
องค์หญิงน้อยผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของคนในวังหลวงอายจนหน้า หู และคอแดงก่ำ ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยาก กระทั่งอี้หลานที่คอยทำงานรับใช้อีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดมาหลายปียังไม่เคยเห็นนายของตนเป็นเช่นนี้
นางกำนัลสาวแทบอยากหยุดเวลาเพื่อดื่มด่ำกับภาพอันงดงามที่มิอาจหาสิ่งใดในใต้หล้ามาประเมินค่าเทียบเคียง ทว่าเพื่อไม่ให้นายหญิงของตนต้องลำบากใจ อี้หลานจึงใช้ปลายนิ้วเช็ดความชื้นที่ไหลออกมาทางหางตาด้วยความปลื้มปริ่ม
กู่หลันอิงทนไม่ไหว หันข้างให้คนทั้งมวล ไม่วิ่งหนีให้ขายหน้าต่อหน้าแขกจากต่างแคว้น
“ฮ่าๆๆๆ!”
หยวนเซ่าสะดุ้งตัว เมื่อกู่เลี่ยงยกมือเท้าสะเอวแผดเสียงหัวเราะ ก้าวอาดๆ เข้าไปหาเด็กชายที่ยืนหลังตรงมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร”
“อาตง” เขาตอบอย่างฉะฉาน
“ไม่เลว! เจ้าเป็นผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลม สมกับที่ท่านทูตไว้วางใจให้ติดตามมาด้วย”
เมื่อเห็นว่าผลที่ได้คือการได้รับคำชมเชย ทูตหนุ่มจึงปรับเปลี่ยนสีหน้า ตอบรับด้วยรอยยิ้มบางเบา “ทูลองค์ชาย หลานชายของกระหม่อมคนนี้แม้จะซุกซนแต่มีข้อดีตรงถือซื่อสัตย์ คิดสิ่งใดก็มักพูดออกมาตรงๆ โดยไม่ยับยั้งชั่งใจ กระหม่อมอบรมหลานไม่ดี รู้สึกขายหน้ายิ่งนัก”
“การพูดจาตรงไปตรงมาถือเป็นเรื่องปกติในแคว้นเว่ย แต่ไหนแต่ไรพวกเราไม่เข้มงวดเรื่องพิธีรีตอง หลานเจ้ายังมีเวลาอยู่ที่นี่อีกมาก ประเดี๋ยวอยู่ไป ค่อยๆ เรียนรู้ก็คงเข้าที่เข้าทางเอง” กู่เลี่ยงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้ถือสาเรื่องการชี้นิ้วเสียมารยาทของอาตง ด้วยเหตุนี้หยวนเซ่าจึงรู้สึกราวกับยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก
“อาตง รีบขอบพระทัยองค์ชายกับองค์หญิงเร็วเข้า”
ทันทีที่หยวนเซ่าพูด เด็กชายจากแคว้นลี่ก็ค้อมศีรษะให้ราชนิกุลทั้งสองอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยองค์ชาย ขอบพระทัยองค์หญิง...”
เสียงของอาตงลากยาวกว่าปกติในท้ายประโยค เนื่องจากสายตาพราวระยิบของเขาเคลื่อนไปจับจ้องร่างอวบที่พยายามเบนสายตาหนีเขาอย่างสุดความสามารถ
อัปลักษณ์ได้อย่างไร? ผู้ที่พูดออกมาล้วนเหลวไหลทั้งเพ!
เนื่องจากองค์ชายรองทรงอารมณ์ดี เหตุการณ์ในอุทยานจึงคลี่คลายโดยง่าย คณะทูตแห่งแคว้นลี่ได้รับอนุญาตให้พักผ่อน ณ ตำหนักรับรองที่เตรียมไว้ ขณะที่กู่หลันอิงติดตามพี่ชายไปยังตำหนักของเขา
“พวกเจ้าออกไปให้หมด”
เพียงรับสั่งเดียวจากเจ้าของตำหนัก บ่าวไพร่ทั้งหลายรวมถึงอี้หลานก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
“อิงอิง เจ้าคงไม่โกรธที่พี่มองข้ามเรื่องคนของหยวนเซ่าไปง่ายๆ ใช่หรือไม่”
ร่างสูงใหญ่ของบุรุษวัยสิบหกนั่งลงเคียงข้างน้องสาว หากวันนี้เขาไม่ถามหรือพูดคุยกับนางให้เข้าใจ คืนนี้ทั้งคืนเขาคงข่มตานอนไม่หลับ
“พี่รองวางใจเถิด ข้าเข้าใจเหตุผลของท่าน” เนื่องจากวันนี้กู่หลันอิงนอนกลางวันไปค่อนข้างมาก ด้วยเหตุนี้แม้จะผ่านเหตุการณ์ชวนให้เลือดลมสูบฉีด นางก็ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือง่วงสักนิด “การที่เด็กซุกซนคนหนึ่งเข้ามาในวังด้วยความอยากรู้อยากเห็นถือเป็นเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ของสองแคว้น ทว่า... หากมันไม่ใช่แค่ความซุกซนเพียงอย่างเดียว...”
กู่เลี่ยงขมวดคิ้ว “อิงอิง เจ้ารู้อะไรมาอย่างนั้นหรือ”
กู่หลันอิงพยักหน้าน้อยๆ ขณะที่พยายามไล่ภาพที่อาตงหยิกแก้มนางออกจากหัวไปด้วย “ก่อนหน้าที่อาตงจะรู้ว่าข้าเป็นใคร เขาบอกข้าว่าต้องการพบองค์หญิง”
ผู้ฟังยกมือลูบคาง หยวนเซ่าอ้างว่าเด็กชายผู้นั้นเป็นหลาน ด้วยวัยเพียงสิบเอ็ดปี นอกจากน้องสาว เขาคิดว่าคงไม่มีเด็กคนใดในใต้หล้าที่มีความคิดแยบยลหรือซับซ้อนดังว่า “มิใช่เพื่อพิสูจน์ข่าวลือหรอกหรือ”
“พี่รอง แม้ข้าไม่ใช่ทหารและในวังของเราไม่เคยเกิดเหตุร้าย ทว่าการวางเวรยามรักษาความปลอดภัยก็ไม่ได้หละหลวม หากเด็กชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทางประตูหน้าดีๆ จะรอดพ้นสายตาองครักษ์ไปได้อย่างไร” เด็กหญิงชี้แจงเหตุผล “อีกอย่าง ข้าพบเขาในอุทยานเมื่อช่วงเย็น ดังนั้นย่อมหมายความว่าเขาเข้ามาในวังตั้งแต่ก่อนหน้านั้น”
“เขาอาจเข้ามาพร้อมกับรถม้าของคณะทูต” กู่เลี่ยงไม่อยากมองให้เป็นเรื่องใหญ่ ทว่าความละเอียดลออของน้องสาวก็เริ่มทำให้เขาติดใจเช่นเดียวกัน “เพื่อความไม่ประมาท พี่จะสั่งให้คนคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเด็กคนนั้นอย่างใกล้ชิด”
กู่หลันอิงพยักหน้า ทว่าสีหน้ายังไม่ผ่อนคลายเสียทีเดียว
“หากเจ้ายังไม่สบายใจ ข้าจะให้เจ้ายืมองครักษ์คอยคุ้มกันเจ้าด้วย ดีหรือไม่”
------------