ตอนที่ ๒๑ ความรู้สึกในใจ
สายลมฤดูร้อนพัดเอาความเย็นจากแม่น้ำฉางเจียงโชยปะทะผู้คนที่สัญจรไปมา
“เหตุใดเจ้าจึงให้เงินเยอะขนาดนั้น” ชายหนุ่มอดถามขึ้นมาไม่ได้ ปกติแล้วนางจะขี้เหนียวยิ่ง นึกไม่ถึงว่าจะมีน้ำใจให้กับผู้อื่นเช่นกัน
“พวกเขาล้วนเป็นคนเร่ร่อนที่พี่กู้ให้งานทำ เถ้าแก่หยูเป็นผู้ดูแลพวกเขาทั้งหมด ท่านดูวัตถุดิบที่เขานำมาทำอาหารสิ สดใหม่มากใช่หรือไม่?”
หยางเฟิงเจี๋ยเกิดความริษยาขึ้นมาในใจจนรู้สึกหงุดหงิดอีกครั้ง อะไรๆ ก็กู้เหยียนชิง ขนาดตอนเมาก็ยังคิดถึงแต่กู้เหยียนชิง
“พี่เจี๋ย?”
หยางเฟิงเจี๋ยหน้าตาบึ้งตึง เดินลิ่วโดยไม่สนใจนางอีก สู่เสียนกลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงโดนเขาเมินเฉยจึงรีบวิ่งเข้าไปขวาง
“พี่เจี๋ย?”
เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ ลู่เสียนกางแขนขวางทางเดินเขาเอาไว้ คนหนึ่งยืนขวาง คนหนึ่งยืนนิ่ง จ้องตากันอย่างไม่ลดละ
หยางเฟิงเจี๋ยเบี่ยงตัวเดินไปทางอื่น นางตามติด เขาขยับ นางขยับ สลับกันไปมาจนในที่สุดลู่เสียนก็หมดความอดทน
“คนงี่เง่า คิดว่าทำหน้าตาเย็นชาแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือ? เจ้าคนหน้าตาย ก้อนน้ำแข็ง หิน...หิน หินใต้ทะเล!”
กระทั่งนางเองก็ตกใจกับคำด่าของตัวเอง เขาเป็นถึงองค์ชายเชียวนะ!
ก็ได้! ยอมแพ้! ไม่ได้อยากสุงสิงกับคนหน้าตายเช่นนี้นักหรอก “ข้าเกลียดที่สุดคือคนที่ชอบทำตัวเย็นชา”
พูดจบนางก็เลิกขวางทางเขา เดินกลับทางเดิม ต่างคนต่างไป
มือหนาคว้าแขนของนางเอาไว้แล้วกระชากลู่เสียนเข้าหา ริมฝีปากของเขาประทับจุมพิตร้อนแรงจนนางชะงักค้าง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ฤทธิ์สุราทำให้นางหลงเคลิบเคลิ้มจนยินยอมให้เขาประทับจูบเนิ่นนาน
หยางเฟิงเจี๋ยค่อยๆ ถอนจุมพิตออกจากริมฝีปากนาง ลู่เสียนดวงตาอ่อนเชื่อม แขนขาไร้เรี่ยวแรงจนต้องพิงซบอกเขา ไม่กล้าสบตาเขาอีก
“ข้าขออีกอย่าง”
เขาถอนหายใจ มือข้างหนึ่งลูบแก้มขาวเนียนของนางแผ่วเบา
“อย่าพูดถึงกู้เหยียนชิงต่อหน้าข้าอีก”
กลางคืนเดือนหงาย แสงจันทร์ส่องลอดแมกไม้รำไร กลิ่นดอกจวี๋ฮวา[1]พัดโชยตามลมชวนให้จิตใจสงบ อากาศยามเที่ยงคืนไม่ร้อนไม่หนาว ลู่เสียนแนบแก้มเข้ากับแผ่นหลังของหยางเฟิงเจี๋ย มือเล็กๆ ซุกซนขีดเขียนแผ่นหลังเขาเล่นไปมา ปล่อยให้เขาแบกนางขึ้นหลังแล้วเดินไปเงียบๆ
ความมืดทำให้ผู้คนสนิทสนมกันถึงเพียงนี้
ครั้งแรกที่ริมทะเลสาบไท่หู ครั้งที่สองที่หอเฟิ่งหวง ครั้งล่าสุดกลางถนนในเมืองหลวง
“อันว่านอกจากการเฉลิมฉลองแล้ว คนมากมายร่ำสุราเพื่อดับทุกข์ บ้างเพื่อคลายความกลัดกลุ้ม เป็นวลีที่น่าขำนัก ดื่มเข้าไปก็เพียงเท่านั้น พอสร่างเมาแล้วก็กลับเป็นเหมือนเดิม” ลู่เสียนบ่นพึมพำ เสียงยานคางราวกับคนไร้สติ นางอยากให้เหตุการณ์ตอนนี้คงอยู่ตลอดไป ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราถูไถไปกับแผ่นหลังของเขา มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่นางรู้สึกว่าระยะห่างของเขากับนางหายไปจริงๆ
เป็นพี่เจี๋ยกับน้องลู่
หาใช่องค์ชายสิบสามกับอนุภรรยาไป๋เฟิ่ง
นางรู้สึกเจ็บหนึบในใจ ความแตกต่างระหว่างนางกับบรรดาท่านหญิงในสำนักบัณฑิตนั้นห่างไกลกันเหลือเกิน แม้นว่าความสามารถนางอาจจะพอถูไถไปได้ ทว่าชาติตระกูลทั้งหลายนั้นติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
เมิ่งไป๋อิงเองก็เช่นกัน นางอยู่ในฐานะคู่หมั้นที่ถูกต้องขององค์ชายสิบสามหยางเฟิงเจี๋ย โดยมีไป๋เฟิ่งเป็นตัวคั่นกลางระหว่างคนสองคน หากสลับกันแล้วนางไปเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ มีสตรีหนึ่งมาคั่นกลางกับคนที่นางรัก ลู่เสียนคงไม่มีทางทำใจได้ “สุราลืมทุกข์ สุราลืมทุกข์ สุดท้ายก็ต้องตื่นมาพบกับความจริง”
หยางเฟิงเจี๋ยชะงักฝีเท้า เบี่ยงหน้ามองคนที่อยู่ด้านหลัง ลู่เสียนหลับตาบ่นพึมพำ
“น้องลู่ เจ้ามีความทุกข์อะไรในใจหรือ?”
ลู่เสียนหัวเราะคิก ถูไถไปหน้ากับแผ่นหลังเขาราวกับแมวน้อยขี้เซา “ข้าแค่อยากพูดเรื่อยเปื่อย ท่านอย่าได้ใส่ใจ เดินต่อไปเถิด”
“ว่ากันว่าสุรามักทำให้คนพูดความจริง เจ้ามีอะไรปิดบังอยู่”
ลู่เสียนเอานิ้วชี้ทาบริมฝีปากตนเอง “จุ๊ จุ๊ จุ๊ พี่เจี๋ย วันนี้ท่านพูดมากเกินไปแล้ว ไม่มีก็คือไม่มี”
หยางเฟิงเจี๋ยสายหน้า ปากแข็งที่สุดก็คือลู่เสียน หากนางไม่พูดก็อย่าหวังจะได้อะไรจากนาง
“พี่เจี๋ย” ลู่เสียนเรียก นางถอนหายใจราวกับปลดปลงเรื่องในใจได้แล้ว
“หืม?”
“ท่านสัญญากับข้าเรื่องหนึ่งสิ”
ชายหนุ่มยิ้มบางๆ “หากไม่เกินความสามารถข้า”
“เรื่องคืนนี้ขอให้จบแค่คืนนี้ได้หรือไม่ ต่อจากวันนี้ไปต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง สักวันหนึ่งท่านต้องแต่งงาน ข้าเองก็เช่นกัน ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนที่มีความจริงใจผู้หนึ่ง แต่ข้าก็มีทางเดินที่ไม่อาจหวนกลับได้เช่นกัน อนาคตชะตาฟ้าลิขิต เรื่องราวระหว่างเราที่ผ่านมา ข้าอยากให้มันเป็นเพียงความทรงจำ” ลู่เสียนพูดช้าๆ เน้นย้ำทุกคำที่นางคิดในใจให้เขาฟัง
“เจ้า...หมายความว่าอย่างไร”
“ครั้งหนึ่งข้ารู้สึกดีเพราะท่านช่วยชีวิตข้า ครั้งที่สองเพราะท่านช่วยข้าจากเมิ่งชิง ครั้งที่สามยังกระโดดลงน้ำไปช่วยข้า บุญคุณของท่านใหญ่หลวงนัก เรื่องราวในวันนี้ทำให้ข้าได้ตระหนักถึงสิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ นั่นคือความแตกต่างระหว่างเราสองคน แม้ข้าจะไม่ประสาเรื่องระหว่างชายหญิง แต่ข้าก็รับรู้ได้ว่าท่านรู้สึกพิเศษต่อข้า ท่านอาจจะคิดว่าข้าโง่งมเข้าข้างตัวเอง” นางหัวเราะขื่นในลำคอ ผละหลุดออกจากหลังของเขาแล้วกลับมายืนด้วยขาของตัวเองอีกครั้ง
การดูถูกเล็กๆ น้อยๆ ของบรรดาคุณหนูและคุณชายตระกูลสูงทำให้นางตาสว่าง จะอย่างไรฐานันดรก็เป็นตัวบ่งบอกที่ยืนในสังคม คนไร้ชาติกำเนิดแบบนางก็เป็นได้เพียงดอกไม้ในแจกันที่รอวันแห้งเหี่ยวเท่านั้น
“พี่เจี๋ย ข้าแยกแยะไม่ออกว่าหลงในรูปลักษณ์หรือซาบซึ้งใจในตัวท่านกันแน่ แต่ข้าไม่อยากถลำลึกไปมากกว่านี้ คิดไปคิดมาแล้วแค่ข้าหลอกว่าเป็นอนุท่าน ความน่ากลัวของแรงริษยาเป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจทนรับได้ ท่านอาจจะเห็นว่าข้าแข็งกร้าว แท้จริงแล้วข้าคิดมาโดยตลอด เพียงแค่ทำคู่หมั้นท่านไม่พอใจข้ายังต้องสูญเสียของรักไป แล้วหากในอนาคตที่ท่านแต่งชายาสามอนุสี่เข้ามาจริงๆ ล่ะ ข้าทนรับแรงกดดัน …”
ลู่เสียนรู้สึกตัวเบาหวิว เผลอเพียงครู่เดียวก็ถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอดอุ่นร้อนของคนตรงหน้า น้ำตาแห่งความอ่อนแอของนางหลั่งริน นางยิ้มทั้งน้ำตา “พี่เจี๋ย ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ท่านไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ ข้าอยากยุติเพื่อไม่ให้เราทั้งสองถลำลึก” ลู่เสียนไม่อาจบอกได้ว่านางอาจจะต้องจากไปได้ทุกเมื่อ
“ข้า…”
“หุบปาก! ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูด” เขาเพิ่มแรงกอดรัดจนนางรู้สึกปวดร้าวลึกๆ น้ำตาของนางยิ่งไหลจนเปียกชุ่มอกเสื้อของเขา เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกอ่อนแอเปราะบางราวกับจะแตกสลาย
เป็นครั้งแรกที่ลู่เสียนรู้สึกหวั่นไหว เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกตระหนัก เป็นครั้งแรกที่นางเกือบเผลอใจ
นางขี้ขลาด ขี้ขลาดกว่าผู้ใด นอกจากความใจแคบแล้วนางยังใจเสาะ ไม่อาจทำใจได้หากวันหนึ่งความรู้สึกดีที่แปรเปลี่ยนเป็นความรักของนางไม่ได้รับการตอบแทนที่เท่าเทียม
หยางเฟิงเจี๋ยใช้มือลูบศีรษะของนางแผ่วเบา น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินช้าๆ อยากกอดนางเช่นนี้เนิ่นนานโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด
เขารังเกียจตัวเองนัก เพียงเพราะเป็นเชื้อพระวงศ์ จึงต้องถูกบังคับกะเกณฑ์ทุกอย่างให้อยู่ตามกรอบประเพณี กระทั่งปล่อยให้ตัวเองทำตามใจก็ยังมีคนจับผิด
นางขี้ขลาด...
เขากลับขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว…
เขาคลายอ้อมกอด ใช้มือเชยคางนางขึ้นมาสบตา
“ข้าขอโทษ”
ริมฝีปากได้รูปประทับจูบอ่อนหวานลงบนริมฝีปากนาง ถ่ายทอดความรู้สึกหวั่นไหวลึกๆ ให้นางได้รับรู้ รุกเร้าพัวพันจนนางหลั่งน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า รสจูบหวานกลายเป็นจูบทั้งน้ำตาที่ไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใดกันแน่
ในที่สุดก็ถึงเวลาตื่นจากฝัน...ชีวิตจริงไม่ใช่ความฝัน ผู้คนมากมายไม่อาจทำตามใจตัวเองได้
บางทีอาจจะต้องใช้เวลาทบทวนความรู้สึก ชั่งน้ำหนักในใจของตนเองอีกครั้ง ควรจะเสี่ยง หรือไม่เสี่ยง
นกกระทาเยาะนกเผิง[2]เรื่องบางเรื่องฝืนท้าทายไป สุดท้ายก็ถูกจำกัดภายใต้กฎอยู่วันยังค่ำ เรื่องบางเรื่องอาจจะต้องรอโชคชะตา เขาอาจจะได้หัวเราะเยาะนาง หรือนางอาจจะได้หัวเราะเยาะเขา
[1] จวี๋ฮวา ดอกเบญมาศ
[2] นกกระทาเยาะนกเผิง กฎบางอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในเวลารวดเร็ว