ตอนที่ ๒๒ คิดคำนึง
ส่งกันพันลี้ อย่างไรก็ต้องจากกันอยู่ดี
ลู่เสียนกลับมาใช้ชีวิตปกติ หยางเฟิงเจี๋ยไม่ได้แวะเวียนมาหานางอีก เมิ่งไป๋อิงดูจะมีความสุขกับการเข้ามาเยาะเย้ยถากถางนางและโอ้อวดสิ่งของที่องค์ชายสิบสามซื้อให้
ชีวิตของผู้คนดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็น ‘พี่เจี๋ย’ ได้กลายเป็นความทรงจำล้ำค่าของนาง ส่วน ‘เขา’ ก็เป็นองค์ชายสิบสามผู้สูงศักดิ์ เช้าเย็นเข้าวังว่าราชการ ยามว่างพาคู่หมั้นเที่ยวชมเมือง แม้ว่าลู่เสียนจะรู้สึกปวดใจอยู่ลึกๆ ทว่าก็ดีกว่านางถลำลึกไปกับคนที่ไม่อาจมีอนาคตร่วมกันได้
“คุณหนู ท่านวางหมากไม่ได้นอนมาสามวันสามคืนแล้วนะเจ้าคะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวไปสำนักบัณฑิตอีก” โม่เอ๋อร์ทักด้วยความเป็นห่วง นางรีบวางถาดลงบนโต๊ะ ก่อนจะจัดเตรียมของว่างให้นาง
สิ่วเอ๋อร์ถือถังน้ำเข้ามาในห้อง นางปาดเหงื่อบนใบหน้า แล้วก็ยกถังน้ำรินใส่อ่างทองเหลือง นำกลีบดอกไม้หอมโปรยลงไป หลังจากนั้นจึงยกมาวางไว้ข้างตัวลู่เสียน
“อากาศร้อน คุณหนูมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยไม่หลับไม่นอน สิ่วเอ๋อร์แอบไปถามเคล็ดลับจากแม่นมซวงมา นางบอกว่าหากได้น้ำลอยดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมจะทำให้คนรู้สึกสดชื่น”
ลู่เสียนใช้มือวักน้ำเอากลีบดอกไม้ขึ้นมาดม
“ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจริงๆ”
สิ่วเอ๋อร์ยิ้มกว้าง “ใช่หรือไม่ล่ะเจ้าคะ คุณหนูต้องพักผ่อนบ้างนะเจ้าคะ ช่วงนี้ท่านดูเครียดมากเกินไปแล้ว”
“เล่นดนตรีสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?” โม่เอ๋อร์ถาม พลางส่งชาที่เพิ่งชงเสร็จให้ลู่เสียนจิบ
สายตาของลู่เสียนมองไปยังพิณเจ็ดราตรีที่ถูกวางทิ้งไว้บนหลังตู้เสื้อผ้า โม่เอ๋อร์เห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของนางจึงรีบหุบปากเงียบ เปลี่ยนมาบีบนวดเพื่อประจบเอาใจ
ช่วงนี้คุณหนูของนางดูห่างเหินกับองค์ชายสิบสามจนคนทั้งตำหนักจับสังเกตได้ ระหว่างคนทั้งสองราวกับมีกำแพงหนาทึบคั่นกลางเอาไว้ บรรดาคนรับใช้ที่เอนเอียงหาคุณหนูเมิ่งไป๋อิงจึงได้ทีเยาะเย้ยพวกนาง เวลานี้ลู่เสียนเสมือนอนุที่องค์ขายสิบสามไม่โปรดแล้ว คราวก่อนนับว่าหยางเฟิงเจี๋ยคิดอ่านรอบคอบ ใบหน้าของลู่เสียนจึงยังเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้
“โม่เอ๋อร์ สิ่วเอ๋อร์ ไปแจ้งองค์ชายสิบสามว่าช่วงนี้ข้าไม่สบาย ไม่สะดวกออกไปไหน เรื่องอื่นห้ามพูดมาก”
“เจ้าค่ะ”
“นางไม่ได้นอนมาสามวัน? มัวทำอะไรอยู่”
สิ่วเอ๋อร์ยิ้มแห้ง หันไปกระตุกแขนเฮ่าเทียนให้ช่วยพูด นางสัญญากับคุณหนูไว้ว่าไม่ให้บอกองค์ชายสิบสาม
แต่ว่าไม่ได้ห้ามกับพี่เฮ่าเทียนนี่นา
“นางเดินหมากกับตัวเอง สามวันมาแล้วยังไม่จบกระดาน นางจึงไม่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วนางกินข้าวกินปลาหรือไม่?”
“นางเพียงแต่กินของว่างที่โม่เอ๋อร์ทำให้ นอกจากนั้นก็ไม่ได้แตะอะไรอีก”
หยางเฟิงเจี๋ยกวาดสายตามองคนทั้งสองที่ยืนนิ่ง เฮ่าเทียนมีสีหน้าเงียบขรึมไม่หวั่นเกรงเรื่องใดทั้งสิ้น ทว่าสิ่วเอ๋อร์กลับตัวสั่น ยืนเกาะแขนเฮ่าเทียนราวกับลูกลิง สีหน้าเย็นชาขององค์ชายสิบสามทำให้สิ่วเอ๋อร์ขนลุกขนชัน ไม่กล้าสบตาเขา ได้แต่ยืมแขนพี่เฮ่าเป็นเกราะกำบัง บรรยากาศกดดันจนนางหายใจไม่ออก
“แล้วตอนนี้นางได้นอนหรือยัง”
โม่เอ๋อร์หลุบตามองเรองเท้าของตัวเอง “นอนแล้วเพคะ นางสลบคากระดานหมาก”
“สลบ!?” หยางเฟิงเจี๋ยตวาด
สิ่วเอ๋อร์สะดุ้งจนรู้สึกอยากร้องไห้ เฮ่าเทียนรีบดึงนางให้ไปอยู่ด้านหลังก่อนจะออกตัวว่า “คุณหนูลู่เสียนดื้อรั้นยิ่ง นางบอกว่าคิดไม่ตก มิอาจปล่อยให้ค้างคา ทำอย่างไรนางก็ไม่ยอมนอน คิดไม่ถึงว่านางจะฝืนตัวเองขนาดนั้น”
“ไปตามหมอมา” องค์ชายสิบสามพูดเสียงเย็น ไล่สายตาตรวจงานมากมายที่อยู่บนโต๊ะ ทำท่าราวกับไม่ได้สนใจลู่เสียนแล้ว
“เอ่อ…”
“ยังไม่ไปอีก?” น้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมกับสายตากดดันคู่นั้นทำให้เฮ่าเทียนที่มักจะปั้นหน้านิ่งตลอดเวลารีบดึงสิ่วเอ๋อร์ให้ออกมาจากห้องทำงานขององค์ชายสิบสาม
องค์ชายกำลังคิดอะไรอยู่เฮ่าทียนไม่เข้าใจ หลายวันมานี้ไม่สนใจคุณหนูลู่เสียนยังพอทน แต่ท่าทางเย็นชาเหินห่าง ขัดแย้งกับพฤติกรรมที่ให้เขาคอยรายงานความเคลื่อนไหวของนางทุกฝีก้าวคืออะไร?
ในห้องที่มืดสลัว เงาร่างขนาดใหญ่ร่างหนึ่งกำลังเอนกายพิงหัวเตียงจ้องมองร่างเล็กที่หลับลึก มือหนาไล้เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าของนาง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ผุดพรายเหล่านั้นด้วยความอ่อนโยน
ภาพเด็กหญิงสองคนกำลังแย่งของกันปรากฏในมโนภาพของลู่เสียน
‘ไม่นะ พี่สาว อย่าโยนพิณของข้าทิ้ง’
‘ทำไมข้าจะโยนไม่ได้ เจ้ามันตัวไร้ประโยชน์’ สิ้นเสียงนั้น เด็กหญิงเบื้องหน้าของนางก็โยนพิณลงไปในน้ำ ดวงตากลมโตถลึงใส่นางด้วยความสาแก่ใจ ด้านข้างมีสาวใช้คอยยืนยิ้มสมน้ำหน้านางอยู่
เด็กหญิงคนนั้นกรีดร้อง ใบหน้าที่มีปานสีแดงกลางหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ทันใดนั้นนางก็กระโจนลงไปในทะเลสาบด้วยความรวดเร็ว
‘เสี่ยวลู่’
เสียงหนึ่งตะโกนเรียกนางเอาไว้ ทว่านางกลับหยุดไม่ทัน ร่างกายดำดิ่งลงไปในน้ำลึก หลังจากนั้นเพียงไม่นานร่างนั้นก็ดำน้ำตามนางมา
ลมหายใจของนางกำลังจะหมดไป น้ำเย็นเยียบทำให้นางทนไม่ไหวรีบตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำ ทว่าร่างกายของนางพลันหนักอึ้ง หนึ่งในมือนั้นเอื้อมมาหมายจะคว้านางเอาไว้
ศีรษะของเขากลับถูกก้อนหินไม่รู้ที่มากระแทกในน้ำจนหมดสติไป นางกรีดร้องในใจด้วยความกลัว พยายามจะไปช่วยเขาทว่ามีคนอื่นลงมาช่วยเขาไปแล้ว ราวกับไม่มีใครเห็นนาง พวกเขาช่วยคนคนนั้นแล้วทิ้งนางไว้ใต้น้ำ
ปอดของนางราวกับจะฉีกขาด
แขนขาไร้เรี่ยวแรง
หัวใจของนางแหลกสลายและสิ้นหวัง
พิณที่นางรักและชีวิตของนางกำลังจะถูกพรากไป
กระแสน้ำโหมกระหน่ำ พัดพานางให้ล่องลอย สติค่อยๆ จางหายไป
ลู่เสียนลืมตาขึ้น หัวใจเต้นรัวเร็วบ้าคลั่ง สัมผัสอบอุ่นที่ฝ่ามือทำให้นางตกใจจนรีบสลัดมือออก
ร่างบางขยับเจ้าไปด้านในสุดของเตียงพลางถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านมาทำไม”
“บังเอิญผ่านมาได้ยินเสียงคนร้องไห้”
ลู่เสียนเอามือลูบใบหน้าตัวเอง ปรากฏว่ามีร่องรอยของความเปียกชื้นขึ้นก็หน้าร้อนวาบ “ข้าแค่ละเมอ”
“ดี ข้าจะไปแล้ว”
ลู่เสียนนิ่งงัน มองแผ่นหลังของหยางเฟิงเจี๋ยที่ค่อยๆ ห่างออกไปในเงามืด เสียงเปิดปิดประตูพลันดังขึ้น น้ำตาสายหนึ่งพลันหลั่งรินเงียบเชียบ
เย็นชาถึงเพียงนี้...ก็ถูกแล้ว นางยิ้มโง่งมกับตัวเอง
ในใจพลันหวนระลึกถึงความฝัน เด็กหญิงที่มีปานแดงกลางหน้าผากนั่นเป็นนางแน่นอน ทว่าใครกันที่แกล้งโยนพิณนางลงน้ำ
สาวใช้คนนั้น!
อาจู!
ลู่เสียนเบิกตากว้าง มือของนางสั่นเทา…
คู่หมั้นข้าชอบเล่นพิณมาก ตั้งแต่ที่นางเกือบเอาชีวิตไม่รอดในตอนเด็ก หลายปีผ่านไป ข้าเพิ่งมารู้เอาทีหลังว่าเพราะนางสูญเสียพี่สาวในตอนนั้น ทำให้นางไม่อาจเล่นพิณได้อีกครั้ง
เมิ่งไป๋อิงไม่ได้มีความรู้ทางด้านดนตรี นางดูเหมือนคนที่ไม่รู้จักแม้แต่วิธีการหยิบจับพิณด้วยซ้ำ ย่อมไม่มีทางเป็นสตรีที่หยางเฟิงเจี๋ยกล่าวถึง
ท่าทางของเมิ่งไป๋อิงตอนจับพิณ...ช่างเหมือนกับตอนนั้นนัก สายตาของนางที่มองพิณในมือ ไร้ซึ่งความหลงใหลในดนตรีโดยสิ้นเชิง
หากน้องสาวคนนั้นเป็นนาง...เหตุใดเมิ่งไป๋อิงจึงแอบอ้าง แล้วทำไมหยางเฟิงเจี๋ยไม่ระแคะระคาย
คนที่เรียกนางว่า ‘เสี่ยวลู่’ ในตอนนั้น และกระโดดลงมาช่วยจนถูกคนขว้างก้อนหินกระแทกศีรษะ…
เป็นหยางเฟิงเจี๋ยหรือ?
ลู่เสียนหัวเราะกับตัวเอง หากเมิ่งไป๋อิงแอบอ้างเป็นนางจริงๆ เสนาบดีเมิ่งและภรรยาจะถูกตั้งข้อหาหลอกลวงเบื้องสูง ถ้าหากว่าพวกเขาเป็นบิดามารดาของนางจริงๆ แล้ว
เท่ากับว่านางอกตัญญู
ยังมีพี่สาวของนางคนนั้นและคนใช้ที่ชื่ออาจู
ดวงตากลมโตที่เคยสว่างสดใสกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นชิงชัง
ภาพพิณคันนั้นกับเจ็ดราตรีที่วางอยู่บนหลังตู้เสื้อผ้าตกลงไปในน้ำฉายซ้ำในใจนางราวกับจะตอกย้ำ
“เมิ่งไป๋อิง...จะทำอย่างไรให้นางสารภาพความจริง”
ลู่เสียนพึมพำ จิตใจดำดิ่งสู่ความชิงชังโดยไม่รู้ตัว
ชีวิตแลกชีวิต? ไร้สาระเกินไป บ้านเมืองมีกฎหมาย นางไม่อาจทำตามอำเภอใจได้
ดวงตาคู่งามพลันเหลือบไปยังประตู มุมปากปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
อยากได้เขามากหรือ...ได้! ข้าจะแย่งเขามา...
“ว่ากันว่าเคราะห์กรรมมักมาถึงโดยไม่รู้ตัว...เมิ่งไป๋อิง อาจู”
นางถนัดนัก...หาจุดอ่อนของศัตรู
ทว่า...ยังจำเป็นอยู่หรือไม่ที่ต้องเข้าไปสืบหาความจริงเรื่องหยกแดงของนางในสำนักบัณทิต