ชางเหยียน ออกไปทำงานอย่างห่วงๆ เพราะดูแม่จะไม่ชอบในตัวภรรยาเขามากนัก อีกอย่างเขาก็กังวลที่แต่งภรรยามาแล้วดูแลเธอได้ไม่ดีพออย่างที่ได้รับปากกับปู่จางไว้ เขาเดินไปที่ทุ่งนาในส่วนที่จะไปไถนาในวันนี้
" อ้าว ชางเหยียน วันนี้นึกว่าจะหยุดอยู่กับภรรยา พึ่งจะแต่งงานกันไม่หยุดต่อสักวันสองวันล่ะ" เหล่าต้าโจว ร้องถามน้องชายที่ทำงานด้วยกัน
"ไม่ต้องหยุดหรอกครับเหล่าโจว งานกำลังเร่งด้วย"
" ถ้านายไม่มาฉันก็หาคนมาช่วยเองแหละ เอาเถอะถ้าไม่หยุดก็รีบทำเถอะ จะได้เสร็จเร็วๆ"
" ครับ "
ทั้งสองจึงช่วยกันทำหน้าที่ตัวเองตรงหน้า เพื่อจะได้เสร็จทันเวลาและจะได้กลับบ้านเร็วขึ้นด้วย
ส่วนเสียวม่ายเธอเก็บกวาดในห้องจนสะอาดก่อนจะไปเก็บห้องปู่อวี๋ ต่อจนเสร็จ ออกมาจากห้องปู่อวี๋ ก็เกือบเที่ยงดีที่ได้ทานของที่สามีเก็บไว้ให้ในห้องไม่อย่างนั้นคงจะแย่เหมือนกัน เธอเดินไปที่ห้องครัวแต่ตู้กับข้าวมีกุญแจล็อกไว้แน่นหนา เธอจึงเดินออกมาเพื่อจะหาแม่สามี เห็นแม่สามีนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้หลังบ้าน เธอจึงรีบเดินไปหา
" แม่คะ เอ่อมื้อเที่ยงมีอะไรทายได้ไหมคะ"
" นี่สะใภ้สามวันๆ ไม่ได้ทำอะไรยังจะกินอะไรนัหนา ฉันนี่ไม่อยากเชื่อเลย ที่นี่คนไม่ทำงานกิน 2 มื้อก็ถือว่ามากแล้วนะ ยังจะกล้ามาถามหามื้อเที่ยงเฮอะ"
" หนูไม่รู้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูไม่ทานแล้วค่ะขอตัวนะคะ"
" จะไปไหนวันๆ จะนอนสบายอยู่แต่ในห้องหรือไง เจริญจริงๆ สะใภ้นอนสบายแม่สามีต้องทำงานงกๆ"
" เอ่อ แม่มีอะไรให้หนูทำหรือคะ "
" สะใภ้สามนี่เธอกล้าย้อนฉันเหรอ "
" หน หนู เปล่าค่ะ หนูไม่รู้จะทำอะไรเท่านั้นค่ะ" เสียวม่ายรีบพูดเพราะคิดว่าเธอคงจะใช้คำพูดไม่ถูกแน่ๆ
" ฮึ เธอเอาตะกร้าไปเก็บผักมาให้หมูด้วย เก็บมาแล้วก็สับให้ดี แล้วรู้ไหมว่าต้องเก็บผักอะไร"
" เอ่อ ไม่ ไม่รู้ค่ะ " ถึงตอนนี้เสียวม่ายเริ่มรู้แล้วว่าแม่สามีคงจะไม่ชอบเธอกระมังถึงไม่เคยพูดจาดีๆ กับเธอ ตัวเธอไม่เคยต้องเจอการใช้น้ำเสียงไม่พอใจแบบนี้กับเธอมาก่อน จึงค่อนข้างจะกลัวเธอก้มหน้าหลบสายตาของแม่สามี
" ไปดูตรงคอกหมูแล้วไปเก็บที่ริมคลองด้านโน้น เดินไปไม่ไกลนักหรอกถามใครเขาก็รู้จัก เก็บให้เต็มตะกร้านะ"
" คะ ค่ะ "
เสียวม่ายถือตะกร้าและเศษผักที่เหลือ เดินไปตามที่แม่สามีบอก เธอรีบออกมาจนไม่ได้ใส่เสื้อคุมกันแดด เมื่อออกมากลางแดดจึงรู้ว่าร้อนมากเหมือนกัน เสียวม่ายเดินมาถึงคลองตามที่แม่สามีบอก เธอเดินเลียบคลองไปเรื่อยๆ เห็นผักขึ้นอยู่ตามริมคลองอย่างที่สามีบอก เธอจึงรีบเดินเข้าไปเก็บผักใส่ตะกร้า เดินเก็บไปได้เกือบเต็มตะกร้าที่ถือมาแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าตัวเองเดินมาไกลจนถึงฝั่งตีนภูเขาตอนนี้เธอรู้สึกหายใจหอบและเพลียมากเพราะความร้อนของแดดตอนเที่ยงวันผสมกับที่พักผ่อนน้อยและยังไม่ได้ทานข้าวเต็มอิ่มสักมื้อและเมื่อมองขึ้นด้านบนเธอเห็นแดดระยิบระยับสักพักเหมือนว่าทุกอย่างจะมืดลงเรื่อยๆ สุดท้ายขาก็ไม่มีแรงพอจะพยุงร่างกายได้อีก ทั้งคนและตะกร้าก็ทรุดไปตรงริมคลองน้ำนั่นเอง
***************************************
ปัจจุบัน
เสียวม่าย ที่ออกเดินทางไปสนามบินแต่เช้า พี่ๆ รอส่งเธออยู่หน้าบ้านก่อนจะออกไปทำงานของแต่ละคน ส่วนพ่อแม่ไปส่งเธอที่สนามบิน ซือเหริน ผู้เป็นมารดาจับมือเธอไว้ตลอด
" ม่ายเอ๋อ ลูกแม่ลูกเป็นคนดี จิตใจดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครองลูกให้มีความสุขและประสบความสำเร็จทุกอย่าง ขอให้ลูกของแม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะจ๊ะ"
" แม่คะ เสร็จแล้วหนูจะรีบกลับนะ ครั้งนี้หนูทำให้แม่เป็นห่วงแล้วอย่าโกรธหนูนะคะ"
" แม่ไม่โกรธจ้ะ ลูกแม่มีเหตุผลแม่รู้ แหวนที่แม่ให้ไปใส่ไว้นะลูก"
" ค่ะ รักแม่นะคะ" เสียวม่าย กอดมารดาอย่างอาวรณ์
" เสียวม่าย ดูแลตัวเองให้ดีนะ เจออุปสรรคอะไรก็ตั้งสติให้มั่นคงใช้ปัญญาแก้ไขปัญหานะ ตอนนี้ลูกสาวพ่อโตแล้วต่อไปต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเองแล้ว"
" ค่ะ พ่อแม่ไม่ต้องห่วงม่ายเอ๋อ จะดูแลตัวเองอย่างดี "
" อืม ให้ลูกไปเตรียมตัวขึ้นเครื่องเถอะเดี๋ยวจะตกเครื่องเอา " จางห่าว บอกภรรยา
เสียวม่ายกอดพ่อแม่อีกครั้งก่อนจะเข็นกระเป๋าเดินทาง เดินไปที่ช่องผู้โดยสารที่ตอนนี้เจ้าหน้าที่ประกาศเรียกขึ้นเครื่องยังดังต่อเนื่อง
"หวังว่าลูกเราจะได้กลับมาอีกนะคะคุณ"
" ทุกอย่างมันเป็นโชคชะตาในเมื่อฝืนไม่ได้ก็ต้องยอมรับให้ได้ ผมสงสารก็แต่พี่ๆ ของแกว่าจะรับได้ไหม ขนาดเรารู้ล่วงหน้ามาตั้งหลายปี ยังทำใจไม่ได้เลย ที่ผมไม่อยากจะคลุกคลีกับแกมากนักเพราะกลัววันนี้นี่แหละ"
" ค่ะ ยังไงฉันก็คงทำใจไม่ได้อีกนาน หวังแค่ว่าแกจะจากไปอยู่ในที่ที่ดีก็พอ คิดเสียว่าแกออกเรือนไปอยู่ที่อื่นก็แล้วกันนะคะ"
" อืม ขอแค่แกสบายดีผมก็พอจะทำใจได้ เราก็เลี้ยงแกมาอย่างเต็มที่แล้ว"
" กลับเถอะค่ะ เครื่องลูกออกไปแล้ว"
" ครับ"
เสียวม่าย ขึ้นนั่งบนเครื่องเรียบร้อยในใจยังรู้สึกหดหู่เล็กน้อยเธอหมุนแหวนที่มารดาให้มาเธอใส่ที่นิ้วชี้ได้พอดี จึงหมุนเล่นไปมาและจัดท่านั่งให้ถนัดเพื่อจะนอนสักงีบ เพราะเห็นว่าเครื่องบินนิ่งแล้ว ขณะที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น เธอก็ฝันเห็นผู้ชายแกแต่งตัวแบบคนจีนโบราณ ขมวดผมไว้ท้ายทอยหนวดยาวขาวโพลนมาอยู่ตรงหน้าเธอ เธอไม่มั่นใจว่าเป็นความฝันหรือเรื่องจริง
" ถึงเวลาแล้วนะนังหนู แหวนที่เจ้าใส่เป็นมิติเก็บของได้แต่สิ่งมีชีวิตเข้าไปไม่ได้ ส่วนของที่เป็นของเจ้าในภพนี้ได้อยู่ในนั้นแล้ว ถึงเวลาไปถึงที่นั่นเจ้าจะรู้เองส่วนที่ที่เจ้าจะไปอยู่ใหม่ก็ยังเป็นเจ้าในกาลก่อนถึงเวลาไปถึงเจ้าจะรู้เอง ข้ามาบอกให้เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้น ข้าไปล่ะนะ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ขอให้เจ้าโชคดี"
สิ้นเสียงเสียวม่ายก็เหมือนสะดุ้งตื่นจากภวังค์ และในตอนนั้นเองเธอรู้สึกว่าเครื่องบินกำลังโครงเครงเสียงพนักงานแอร์กำลังประกาศให้คนบนเครื่องคาดเข็มขัดเพราะรู้สึกจะเจอหลุมอากาศขนาดใหญ่ เสียวม่ายสะลึมสะลือตื่นมายังไม่หายงง เธอรู้สึกว่าเครื่องบินกำลังดิ่งลงด้วยความเร็วเสียงหวีดว้ายของคนในเครื่องดังต่อเนื่อง เวลาไม่นานเครื่องก็เหมือนจะถึงพื้นน้ำใต้ล่าง เสียวม่ายรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกระชากเธอออกมาแต่ไม่สิ ตัวเธอยังคงอยู่ในซากเครื่องแต่เป็นดวงจิตของเธอที่ถูกดูดและเหวี่ยงมาที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเธอยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นที่ไหนและทุกอย่างก็มืดลง.
ด้านเสียงม่ายที่ล้มลงที่คลองน้ำแม้จะไม่จมน้ำ เพราะเป็นน้ำตื้นไม่ได้ลึกมาก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้สิ้นใจไปแล้วช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะมีดวงจิตใหม่เข้ามาแทนที่ในร่างแล้ว เสียวม่ายเหมือนเห็นตัวเองอีกดวงจิตหนึ่งที่เข้ามาอยู่แทนที่เธอ แต่เพราะร่างของเธอนังไม่ได้สติจึงเหมือนเห็นตัวเองหลับอยู่
" นังหนูไปเถอะ หมดเวลาแล้วนั่นเป็นเจ้าของร่างนี้เขากลับมาอยู่ในที่ของเขาแล้ว เจ้าจะได้ไปอยู่ที่ขบเจ้าเช่นกัน"
" ท่านตา ฉันจะได้ไปไหนหรือคะ"
" ไปเกิดกับพ่อแม่ของเจ้าที่ไปรอเจ้าที่ภพหน้าแล้วพวกเขารอเจ้าอยู่ ไปกันเถอะ"
" แล้วเธอล่ะคะ"
" เดี๋ยวจะมีคนมาช่วย เธอไม่เป็นไรหรอก"
" ค่ะ ไปก่อนนะขอให้เธอโชคดีนะเสียวม่าย" เสียวม่ายหันไปบอกร่างตัวเองที่มีอีกดวงจิตหนึ่งหลับอยู่ พอเธอหันหลังไปกับท่านตา ก็มีคนเดินมาทางนี้พอดี
" หึ หึ ไปเถอะข้ามาส่งเธอแล้วและมารับเจ้าด้วย เจ้าต้องไปที่หนึ่งก่อนถึงจะไปเกิดใหม่ได้"
" จ้ะ ท่านตา"
ทางด้านเสียวม่ายที่เป็นลมอยู่ ตอนนี้ก็มีชาวบ้านผ่านมาพบพอดีและได้ช่วยกันพยุงเธอขึ้นมาอยู่ใต้ร่มไม้ แถวริมคลองตรงนั้น เพราะเธอพึ่งแต่งงานเข้ามาบ้าน อวี๋ จึงไม่มีใครเคยเห็นมากนัก แต่ก็มีคนสงสัยว่าจะเป็นสะใภ้บ้านอวี๋ จึงไปเรียกจ้าวลู่มาดูว่าใช่ลูกสะใภ้คนใหม่หรือเปล่า เสียงเอะอะโวยวายเรื่องคนเป็นลมที่คลองน้ำตีนเขาพูดกันจนไปถึงที่ชางเหยียนทำงานอยู่ เขาได้ยินว่าสงสัยเป็นสะใภ้ใหม่บ้านอวี๋ ตัวเขาก็รีบวิ่งมาที่เกิดเรื่องทันที
เมื่อชางเหยียนมาเห็นภรรยานอนเป็นลมอยู่ใต้ต้นไม้ มีชาวบ้านที่กำลังใช้หมวกปลีกพัดให้ ส่วนแม่ของเขาก็พึ่งเดินมาถึงเช่นกัน และเห็นเขาวิ่งมาถึงก่อนแล้วจึงยืนมองอยู่แค่ด้านนอก
" เสียวม่าย เสียวม่าย"
เขารีบเข้าไปประคองภรรยาสาว คนอื่นต่างหลีกทางให้เขาเพราะรู้แล้วว่าแม่หนูเป็นภรรยาของชางเหยียน
" ชางเหยียนนี่เมียเจ้าใช่ไหม รีบอุ้มเมียกลับบ้านก่อนเถอะ เช็ดหน้าเช็ดตาสักหน่อย สักพักก็คงฟื้นแล้ว" เสียงป้าเจิ้ง ที่นั่งพัดอยู่เมื่อครู่บอก
" ครับ ป้าเจิ้ง ขอบคุณครับที่ช่วยภรรยาผม"
" ไม่เป็นไรเห็นคนเป็นลมเป็นใครก็ต้องช่วย ดีที่เดินมาหลายคนจึงพามาจากริมคลองง่ายหน่อย อีกอย่างแม่หนูนี่ก็ตัวเบาด้วย ไม่รู้ได้กินข้าวบ้างหรือเปล่า ป้าไม่กล้าจับแรงกลัวตัวเธอจะหัก"
ป้าเจิ้ง ซุนหลี ที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากริมคลองมากนักเป็นคนเดินผ่านมาเห็นกับลูกสะใภ้ 2 คน จึงช่วยกันประคองเด็กสาวขึ้นมา แต่ลูกสะใภ้ไปทำงานต่อแล้วและไปบอกที่ทุ่งนาเรื่องคนเป็นลมให้อีกด้วย ทำให้ชางเหยียนรู้ข่าวด้วยเช่นกัน
" นี่เจ้าสามรีบพาเมียแกกลับบ้านสิ อะไรนักหนาแค่มาเก็บผักแค่นี้ถึงกับเป็นลมเป็นแล้ง" เสียงจ้าวลู่บอกลูกชาย
ชางเหยียนไม่พูดอะไร เขารีบช้อนอุ้มร่างเล็กเดินกลับบ้าน เพราะแดดร้อนเขาจึงถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้ภรรยาด้วย พอถึงบ้านจ้าวลู่ หยิบยาดมมายื่นให้ลูกชาย และไปเตรียมชงยาหอมมาให้ด้วย แม้จะปากร้ายแต่ก็ไม่อยากให้ใครมาป่วยในบ้านเพราะมันหมายถึงค่ายาค่าหมอที่ต้องจ่ายเพิ่มด้วย
เสียวม่ายรู้สึกตัวตอนที่ถูกอุ้มมาวางบนแคร่ ตรงหน้าบ้าน แต่เธอยังงงๆ อยู่กับสิ่งที่ได้ยินเสียงคนแปลกหน้าและภาษาที่ไม่ค่อยคุ้นเคยเหมือนเป็นคำพูดของคนยุคเก่าอยู่มาก แต่ก็ฟังเข้าใจเพราะเป็นภาษาเดียวกัน เธอยังหลับตาอยู่และคิดว่าที่นี่ที่ไหน เธอตายแล้วไม่ใช่หรือ เครื่องตกขนาดนั้น เพียงชั่วความคิดก็มีความทรงจำสายหนึ่ง เข้ามาในสมองตั้งแต่เล็กจนโตและถึงตอนนี้ที่ตัวเจ้าของร่างได้แต่งงานเมื่อวานนี้ กับผู้ชายคนที่คิดว่าอุ้มเธอมาเมื่อครู่ หน้าตาของเสียวม่ายคนนี้ที่มีชื่อเดียวกับเธอ ก็หน้าตาเหมือนเธอทุกอย่างเพียงแต่จะดูตัวบางกว่าเล็กน้อยอาจเพราะเรื่องโภชนาการในอดีตนั้นค่อนข้างขาดแคลน.