ตอนที่ 1
ตระกูลอวี๋ ( บ้านพระเอก)
อวี้ ชางเหยียน ( พระเอก) ลูกคนที่ 3
ปู่อวี๋ ชางฟู่ / ย่า เสียแล้ว
อวี๋ ชางอี้เทียน /หาน จ้าวลู่ (พ่อ แม่พระเอก)
อวี๋ ชางเหวิน ( พี่ใหญ่)/ ชุน ย่าหนาน สะใภ้ใหญ่
อวี้ เปาเป้ย ( พี่สาวรอง) / ซ่ง ซีซวน พี่เขย
อวี้ จ้าวเหม่ย น้องเล็ก
ตระกูลจาง สายหลัก (บ้านนางเอก)
จาง เสียวม่าย ( นางเอก) ลูกคนเดียว
ปู่จาง โม่ชวน ( ปู่นางเอก)
( ย่า พ่อ แม่ นางเอกเสียหมดแล้ว)
เสียวม่าย คนในอดีต เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เป็นเด็กไม่กล้าแสดงออก เรียนไม่เก่ง หัวค่อนข้างช้ากว่าคนอื่น ทำให้ไม่มั่นใจในตัวเอง เรียนจบ ม.ปลาย บ้านจางค่อนข้างมีฐานะ ถึงปู่จางไม่ได้ทำงานอะไรเป็นหลักแหล่ง เพราะสะเทือนใจตั้งแต่สูญเสียภรรยา ลูกชายและลูกสะใภ้ ไปพร้อมกัน แต่ก็มีกินมีใช้ไม่ได้ขาดแคลน ทำให้ท่านกลายเป็นคนเก็บตัว และเลี้ยงดูหลานสาวเพียงคนเดียว และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ท่านต้องมีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน ถึงตอนนี้ท่านจะทำใจได้มากแล้ว แต่เสียวม่ายก็โตมากับความเงียบเหงาจนกลายเป็นนิสัยของเธอไปแล้ว แม้จะเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมาแต่เด็ก แต่เรื่องเกี่ยวกับการใช้ชีวิตเธอก็แทบจะไม่รู้อะไรมากนัก และวันที่ปู่บอกเธอเรื่องสัญญาหมั้นหมายวัยเยาว์กับเธอ เธอก็เพียงให้ปู่ตัดสินใจแทนเธอได้เลย เพราะเธอไม่มีความคิดเห็นอะไร ปู่ว่าดีเธอก็ว่าดีเช่นกัน
ปู่จางนั้นห่วงหลานสาวคนเดียวเพราะเธอไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก ท่านจึงอยากให้หลานสาวได้คนที่ดีมาดูแล หากท่านเป็นอะไรไปก็จะได้ไม่ห่วงมากนัก เดิมทีปู่จางกับ ปู่อวี๋ นั้นเป็นสหายสนิทกันมานานตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อตอนที่ ปู่อวี๋ มีหลานชาย จึงได้ทำสัญญากับ ปู่จาง ว่าหากปู่จางมีหลานสาวจะขอหมั้นหมายเป็นสะใภ้บ้านอวี๋ ในตอนนั้นปู่จางยังไม่มีหลาน แต่ก็ได้ทำสัญญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นมั่นเหมาะ จวบจนหลายปีผ่านไป ลูกสะใภ้จึงคลอดหลานสาว ออกมาจริงๆ ปู่จาง นั้นยึดมั่นในสัญญาและได้บอกเรื่องนี้กับลูกชายลูกสะใภ้เอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเสีย มาถึงตอนนี้ท่านหวังเพียงว่า สหายอวี๋ของท่านจะยังคงยึดมั่นในสัญญาเก่าเช่นกัน.
เสียวม่าย รับรู้ถึงสัญญาหมั้นหมายที่ปู่จางบอก แม้จะรู้สึกอึดอัดพอสมควรแต่เพราะไม่เคยขัดคำสั่งสอนของปู่ และคิดว่าคงเป็นสิ่งที่ปู่เห็นว่าดีแล้วเธอจึงพร้อมจะยอมรับทุกอย่าง เสียวม่ายรู้ดีว่าปู่รักเธอแม้ท่านจะไม่พูดออกมานัก แต่ท่านก็ใส่ใจเธอด้วยดีมาโดยตลอดสิ่งใดที่จำเป็นในชีวิตเธอจะได้มาอย่างไม่ต้องร้องขอ ส่วนเรื่องทรัพย์สินนั้นเธอไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ทุกวันมีหน้าที่ทำอะไรเธอก็ทำของเธอไป แต่ปัญหาของเธอคือการอยู่ร่วมคนคนอื่น เพราะเคยชินกับการอยู่คนเดียวเพราะปู่จางนั้นเป็นคนรุ่นเก่า ตั้งแต่เธอเริ่มโตและช่วยเหลือตัวเองได้ท่านก็จะเว้นระยะกับเธอมากขึ้น ส่วนเรื่องงานบ้านนั้นปู่จางได้จ้างแม่บ้านมาช่วยทำงานบ้านแบบ ไป-กลับ เพราะท่านไม่อยากให้มีปัญหาตามมาจึงไม่จ้างแบบอยู่ประจำ ชื่อแม่บ้านเหลียง ที่เธอเรียกป้าเหลียงๆ สอนงานบ้านให้เธอหลายอย่างแต่ก็ไม่ใช่งานฝีมืออะไรมากมาย ส่วนใหญ่ก็เป็นงานบ้านทั่วไปอย่าง ทำกับข้าวง่ายๆ ทำความสะอาดบ้าน ซ่อมแซมเสื้อผ้าทั่วไป ตอนนี้ป้าเหลียงก็แก่มากแล้ว เสียวม่ายเองก็ทำทุกอย่างได้มากขึ้น ปีนี้เธอเรียนจบ มัธยมปลายและไม่ได้เรียนต่อเพราะมหาลัย ยังไม่เปิด ปู่จาง จึงได้คุยเรื่องการแต่งงานของเธอขึ้นมา ปู่จางเองก็แก่มากขึ้นเธอสังเกตเห็นว่าปู่เริ่มหลงๆ ลืมๆ ไปหลายอย่างความจริงเธออยากอยู่ดูแลปู่ไม่อยากแต่งออกไปนัก แต่ก็คงขัดท่านไม่ได้เพราะการที่เธอแต่งงานตามที่ท่านบอกน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านมีความสุขมากกว่า
" เสียวม่าย ปู่ได้ส่งจดหมายไปบ้านอวี๋แล้วอีกไม่นานทางนั้นคงจะติดต่อมา หลานก็เตรียมตัวด้วยนะ แต่งออกไปแล้วหลานจะได้มีคนดูแล ปู่จะได้หมดห่วงวันไหนปู่ไม่อยู่แล้วจะได้ตายคาหลับ"
" คุณปู่ยังคงแข็งแรงอยู่เลย ยังอยู่ได้อีกนานแต่ถ้าคุณปู่ว่าดีหนูก็ไม่ขัดข้องค่ะ หนูจะเชื่อฟังค่ะ"
" ดี ดีแล้ว วันหน้าหากเข้าไปอยู่บ้านสามี ต้องปฏิบัติตัวให้ดีเชื่อฟังผู้ใหญ่ พ่อแม่สามีก็เหมือนพ่อแม่ของหลานต้องปฏิบัติท่านให้ดีด้วย"
" ค่ะ แต่หนูเป็นห่วงคุณปู่ ที่ต้องอยู่คนเดียว"
" ไม่ต้องห่วงปู่หรอก ปู่คิดไว้แล้วว่าอยากไปอยู่นั่งภาวนาที่อารามบนเขากับต้าซือ ที่นั่นสงบ ร่มเย็น หากหลานอยากไปหาก็ไม่ได้ไกลนัก ส่วนบ้านหลังนี้ ปู่จะยกให้เป็นสินเดิมของหลานทั้งหมดรวมทั้งทรัพย์สินที่อยู่ในห้องลับด้วยนะ ที่เป็นสินเดิมของย่าและแม่ของหลานปู่เก็บไว้ให้หมดแล้ว แต่ตอนนี้คงนำออกมาใช้ยังไม่ได้ก็เก็บไว้ก่อน บ้านอวี๋ นั้นฐานะไม่ได้ยากจน สหายอวี๋ก็เป็นคนอัธยาศัยดีมีน้ำใจหลานคงจะไม่ลำบากนักหรอก ไม่ต้องกังวล"
"ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว"
" ตอนนี้ทางนั้นคงยังไม่ได้รับจดหมายยังมีเวลาอยู่พอสมควร หลานก็เตรียมตัวไปไม่รู้อะไรก็ถามป้าเหลียงดูนะ "
" ค่ะ คุณปู่"
ปู่จาง เมื่อสั่งความหลานสาวเสร็จก็เบาใจ ท่านรู้ตัวว่าตัวเองนั้นแก่มากแล้ว การหาคนที่วางใจได้ฝากฝังหลานสาวคนเดียวไว้ได้นั้น ก็จะได้ไม่ต้องกังวลอีก เพราะหากเป็นอะไรไปแล้วมีคนไม่ดีมารังแกหลานสาวท่านจะตายตาไม่หลับ คิดถึงตอนนี้ก็ขอบคุณสหายเก่าที่ได้ทำสัญญาหมั้นกันไว้ก่อนหน้า ไม่เช่นนั้นท่านคงทุกข์ใจมากกว่านี้.
******************************************
บ้านอวี๋ ......
ปู่อวี๋ หลังจากที่ได้รับจดหมายจากสหายเก่า แม้จะไม่ค่อยได้ติดต่อกันมากนักหลังจากที่ ตระกูลจาง ได้สูญเสียครั้งใหญ่เมื่อ 15 ปีก่อน สหายจางก็เก็บตัวมากขึ้น แม้จะมีส่งของขวัญให้แก่กันบ้างก็นานๆ ครั้ง แต่ท่านก็ไม่ได้หลงลืมสัญญาเก่าที่เคยได้ทำร่วมกันไว้ และเมื่อท่านได้รับจดหมาย จากสหายและได้กล่าวถึงสัญญาก่อนเก่าจึงได้เรียกลูกชายใหญ่ ลูกสะใภ้ และหลานๆ มาเพื่อบอกกล่าวกันเรื่องนี้แม้ ลูกชายและสูกสะใภ้จะรับรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานจนอาจจะหลงลืมกันไปบ้าง ถึงอย่างนั้นท่านก็ไม่คิดจะผิดในคำสัญญานี้อย่างแน่นอน.
" อาเทียน ที่พ่อเรียกทุกคนมาคุยในวันนี้ ก็คือเรื่องสัญญาหมั้นที่เคยทำไว้กับบ้านจาง สหายเก่าของพ่อ เรื่องนี้พวกแกก็คงพอจำได้อยู่หรอกนะ ตอนนี้ยายหนูจางอายุครบ 18 ปี ถึงเวลาที่จะต้องตกแต่งแล้ว ตาเฒ่าโม่ชวน เองก็เขียนจดหมายมาทวงสัญญากับเราแล้วด้วย พ่ออยากให้รีบทำให้เรียบร้อย แต่ก็ต้องเรียกทุกคนมารับรู้ให้เข้าใจตรงกันก่อน"
" ครับ คุณพ่อเรื่องนี้ผมรู้แล้วครับ ลู่ลู่ เองก็รับรู้อยู่แล้วด้วยครับ "
" คุณพ่อคะ ตอนนี้ตาใหญ่ได้คบหาดูใจอยู่กับ ลูกสาวหัวหน้าที่ทำงานอยู่ด้วยกันแล้วเห็นว่าอีกไม่นานก็จะแต่งเข้ามาแล้วด้วย หนูย่าย่า เองคุณพ่อก็เคยเห็น แล้วแบบนี้จะทำอย่างไงคะ"
" ในสัญญาแม้จะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าแต่งกับใครในความเป็นจริงก็ควรแต่งเธอมาเป็นสะใภ้ใหญ่" ปู่อวี๋
" ปู่ครับ ตอนนี้ผมมีคนรักแล้วและอีกอย่างเราได้เสียกันแล้วด้วย ผมคงจะแต่งกับหล่อนไม่ได้แล้วหละครับ" ชางเหวิน รีบพูด
" หา จริงเหรอ อาเหวิน"
" ครับ ผมต้องรับผิดชอบเธอครับ ไม่อย่างนั้นพ่อเธอคงไม่ยอมแน่"
" ถ้าอย่างนั้นก็ให้แต่งกับเจ้าสามสิคะคุณพ่อ เจ้าสามยังไม่มีคนรักนี่นาใช่ไหมเจ้าสาม" จ้าวลู่ ถามลูกชายอีกคน
ชางเหยียน ที่นั่งฟังอยู่อีกมุมหนึ่งเงียบๆ หันไปมองหน้าพ่อแม่และปู่ แต่ไม่ได้ตอบอะไรเพราะถึงจะพูดไปใครจะรับฟังเขากัน อีกอย่างตอนนี้ตัวเขาก็ยังไม่มีคนรักอย่างที่แม่เขาพูดจริงๆ ตัวเขานั้นยังไม่ได้คิดเรื่องคู่ครองเพราะพี่ชายยังไม่แต่งภรรยาจึงคิดว่ายังไม่ถึงเวลา เรื่องนี้ยังไงก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่จัดการให้ได้ แม้จะมีหญิงสาวหลายคนชายตาให้เพราะบ้านอวี๋ ในหมู่บ้านนี้ก็ถือว่ามีความเป็นอยู่ดีพอสมควร ลูกๆ บ้านอวี๋ได้ร่ำเรียนในเมืองกันทุกคน แม้แต่น้องเล็กที่เป็นผู้หญิงก็กำลังเรียนมัธยมปลายอยู่ตอนนี้ ปีนี้ชางเหยียน อายุ 20 ย่าง 21 ปี ส่วนพี่ชายใหญ่ อายุย่าง 25 ปี พี่สาวรอง อายุ 22 ปี แต่งงานออกไปได้ 2 ปีแล้ว น้องสาวคนเล็กนั้นอายุ ย่าง 17 ปี จะเรียนจบปีนี้แล้วเหมือนกัน
"ผมก็เห็นด้วยกับลู่ลู่ ครับคุณพ่อเจ้าสามปีนี้จะ 21 ปีแล้วก็ถึงวัยต้องแต่งงานแล้วเช่นกัน"
"ถ้าอย่างนั้นเรื่องเจ้าใหญ่เหวิน พวกแกก็ไปทำให้ถูกต้องอย่าให้บ้านชุน มาว่าเอาได้ส่วนเรื่องบ้านจางฉันจะเป็นคนจัดการเองรวมทั้งเรื่องงานแต่งเหยียนเอ๋อด้วย"
" ถ้าอย่างนั้นเรื่องงานแต่งเจ้าใหญ่ฉันจะรีบจัดการให้เรียบร้อยเองค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะให้แม่สื่อรีบไปคุยให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องเจ้าสามคุณพ่อก็จัดการได้เลยค่ะ ฉันจะไม่ยุ่งแต่ถ้าจะให้ทำอะไรคุณพ่อก็ค่อยบอกอีกทีแล้วกัน" จ้างลู่ บอกพ่อสามี
" ได้ ปกติเธอก็ไม่ค่อยได้สนใจเหยียนเอ๋ออยู่แล้ว ฉันจัดการเองเรื่องสินสอด.."
" เรื่องสินสอดอาเหวินฉันจัดการไว้แล้วค่ะ ส่วนของเจ้าสามก็คงมีไม่มากนักนะคะ"
" เอาเป็นว่าของเหยียนเอ๋อ พ่อจะเป็นคนจัดการเอง เธอดูแลของเจ้าใหญ่ไปเถอะ"
" คุณพ่อครับ เรื่องสินสอดของเจ้าใหญ่กับเจ้าสามผมจะดูให้เหมาะสมเองครับ" อี้เทียน บอกบิดา
" เหยียนเอ๋อ หลานขัดข้องอะไรไหม" ปู่อวี๋ หันไปถามหลานชายอีกครั้ง
" ไม่ครับ ปู่จัดการได้เลยครับ"
" อืม ดี ๆ ยัยหนูจางอายุ 18 ปีแล้ว สมัยแต่ก่อนแม่ของเธอถือว่าเป็นสาวงามล่มเมืองเลยนะ ลูกสาวคงจะได้แม่มาไม่น้อย ฮ่าๆ" ปู่อวี๋ หัวเราะอย่างถูกใจ ตัวท่านเองรักหลานๆ ทุกคนแต่เพราะตอนเด็ก ชางเหยียน ไม่ค่อยแข็งแรงเวลาใครไปไหนก็ไม่ค่อยได้ไปกับคนอื่นและจะทิ้งไว้ให้ท่านช่วยดูแลมาแต่เด็ก จึงค่อนข้างสนิทมากกว่าหลานคนอื่นๆ
บ้านอวี๋ หลักตอนนี้มีเพียงลูกชายคนโตกับครอบครัวอยู่ เพราะปู่อวี๋มีลูกเพียง 3 คน แต่ลูกสาวคนที่ 2 นั้นแต่งงานไปอยู่บ้านสามีที่ต่างอำเภอ นานๆ ครั้งจะกลับมาเยี่ยมบ้าน ส่วนลูกชายคนเล็กก็เป็นทหารแต่งงานแล้วขอแยกไปอยู่ที่กรมทหารทั้งครอบครัว 2 ปีจะกลับมาเยี่ยมสักครั้ง แต่ก็ยังส่งเงินมาให้ท่านตลอด ทำให้ท่านมีเงินส่วนตัวตรงนี้เก็บอยู่ไม่น้อย รวมทั้งทรัพย์สินเก่าของท่านเองที่เหลือจากการแบ่งให้กับลูกๆ แต่ละคน
จ้าวลู่ ที่ฟังพ่อสามีพูดได้แต่คิดในใจถ้าเลือกได้ใครจะอยากรับหญิงกำพร้ามาร่วมบ้าน ไม่มีครอบครัวหนุนหลังแม้ตระกูลจาง จะเป็นตระกูลเก่าแก่ แต่ผู้เฒ่าจางก็ไม่ได้มีกิจการอะไรและไม่มียศมีตำแหน่งให้เชิดหน้าชูตาสักอย่าง วันหนึ่งถ้าผู้เฒ่าจางตายจากไป สะใภ้คนนี้ก็คงเหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีใครหนุนหลังสักคน เป็นแบบนี้เธอจะให้มาเป็นสะใภ้ใหญ่ได้อย่างไร เทียบไม่ได้เลยกับ ยัยหนูชุน ที่เก่งทั้งงานในและนอกบ้านทำงานในโรงงานมีตำแหน่ง มีเงินเดือน แบบนี้สิเหมาะสมตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ตระกูลอวี๋จริงๆ แต่เรื่องนี้ขัดขวางก็ไม่ได้เพราะถ้าเธอยกเลิกสัญญานี้ จะทำให้คนเอาไปพูดได้ว่าบ้านอวี๋รังแกคนอื่นมากเกินไป และพ่อสามีกับสามีคงไม่มีทางยอมเช่นกัน ฉะนั้นปล่อยให้ท่านจัดการดีกว่า อีกอย่างเธอไม่ได้สนิทกับลูกชายสามเท่าไหร่ ปล่อยให้พ่อสามีจัดการไปดีที่สุดแม้จะเสียดายสินสอดอยู่บ้างก็เถอะ
" เอาตามนั้นถ้าได้ฤกษ์ยามแล้วก็จัดการเรื่องของอาเหวินก่อน พ่อจะเขียนจดหมายไปบอกตาเฒ่าโม่ชวน ว่าทางเรารับรู้และจะหาฤกษ์ยามเสร็จแล้วจะไปรับตัวเจ้าสาวอีกที ทางนั้นจะได้เตรียมตัวด้วย"
" ครับ เอาตามคุณพ่อว่า"
" ค่ะ ฉันจะรีบจัดการ อาเหวินลูกก็บอกหนูย่าย่า ให้เตรียมตัวล่ะ"
" ครับ พรุ่งนี้ผมจะบอกย่าย่าครับ เธอต้องดีใจมากแน่ๆ "
" อืม"
" ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ จะไปล้างคอกหมู" ชางเหยียนบอกกับทุก
" ไปเถอะ " ปู่อวี๋ บอก
ชางเหยียน เดินออกมาจากห้องและเลยไปที่คอกหมูหลังบ้าน เขากำลังคิดว่าถ้าจะแต่งงานจริงๆ ต้องเตรียมอะไรไว้ให้เจ้าสาวไหม เรื่องนี้คงต้องไปปรึกษา เหล่าต้าโจว ก่อนแล้วถึงจะเป็นการแต่งงานแบบไม่ตั้งใจก็ต้องควรใส่ใจสักหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่คุณปู่ที่เขารักจัดการให้ด้วย คงต้องใส่ใจหน่อย ห้องที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นห้องเล็กที่ต่อเติมออกมาจากห้องคุณปู่ ตอนเด็กเขานอนกับปู่พอโตขึ้นปู่จึงต่อเติมห้องให้แต่เขาอยากดูแลท่านด้วย จึงต่อเติมออกมาติดกับห้องของท่าน พื้นที่ไม่มากนักทำให้ขนาดห้องแคบ เรื่องนี้ค่อยคุยกับพ่อและปู่อีกที.