“ขึ้นมาที่นี่ทำไม?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางหันกลับมามองผู้บุกรุกในยามวิกาล แววตาของสิงหาไม่ได้ฉายแววดุดัน แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนเท่าไหร่
“หิว”
“ที่นี่ไม่ใช่โรงครัว”
"รู้แล้ว แต่หลง...”
“ถึงไม่หลงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรกินหรอก ครัวปิดแล้ว คนอื่นๆ เขาเข้านอนกันหมด ไม่มีใครหิวตอนนี้”
“ห๊า!” ณัฐรินีย์ตาโต เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินผิดหรือสิงหาตั้งใจโกหกเพราะอยากกลั่นแกล้งกันแน่
ถึงตอนนี้เธอจะไม่มีนาฬิกา แต่ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลาลับขอบฟ้าไปได้ไม่นาน รวมกับระยะเวลาที่เธอเดินหลงอยู่ในป่านี้ เธอมั่นใจว่านี่ยังไม่ถึงสองทุ่มแน่ๆ แต่คนที่นี่เข้านอนกันหมดแล้ว?
นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก ตอนที่เธออยู่นิวยอร์กเธอไม่เคยนอนต่ำกว่าเที่ยงคืน ไม่นั่งวาดรูปก็รอรับสายจากนิคกี้ เพราะรายนั้นกว่าจะกลับอพาร์ทเม้นท์ได้ก็เข้าวันใหม่ทุกที ทั้งๆ ที่ต้องตื่นมาทำงานแต่เช้าแท้ๆ แต่ก็ยังทำงานจนถึงดึกดื่นทุกวัน เธอเลยยื่นคำขาดว่าถ้ายังไม่ได้เห็นเขาอาบน้ำเตรียมนอน เธอก็จะไม่นอนเหมือนกัน นิคกี้เลยยอมทำตามเพราะไม่อยากได้ยินเธอบ่นเหมือนแม่คนที่สอง
ยิ่งช่วงนี้เธอยิ่งมั่นใจว่านิคกี้คงทำงานไม่หลับไม่นอนแน่ๆ เขาต้องเคลียร์งานให้เรียบร้อยก่อนบินตามเธอมาที่ประเทศไทย รายนั้นอ้างว่าจะมาพักผ่อน แต่ความจริงเธอรู้ดีว่าเขาต้องการปกป้องเธอจากครอบครัว
นิคกี้เป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมาในชีวิต
พอคิดถึงคนที่อยู่อีกซีกโลกณัฐรินีย์ก็เริ่มกังวลขึ้นมา ตอนที่เธอยอมมากับนายสิงหาเธอไม่ได้คิดเรื่องอื่นนอกจากไม่อยากกลับบ้าน ลืมไปเสียสนิทว่านิคกี้บอกว่าจะโทรหาเธอทุกวัน แล้วนี่สิงหาเอามือถือเธอไปไว้ไหน นิคกี้โทรมาจะติดหรือเปล่า แต่เธอมั่นใจว่านิคกี้ต้องวิ่งวุ่นเป็นหนูติดจั่นอยู่แน่ๆ เธอรู้นิสัยผู้ชายคนนี้ดี
“ไม่ได้ยิน?”
“เอ๋?” สติสตังของณัฐรินีย์กลับเข้าร่าง เมื่อเสียงดุๆ นั้นเอ่ยขึ้นเหมือนกำลังไม่พอใจ “นาย... พูดอะไรเหรอ?”
สิงหาถอนหายใจออกมาจนหญิงสาวที่ตัวเล็กกว่าคอหดเหมือนเต่า เขาอยากจับตัวเล็กๆ นั่นมาเขย่าชะมัด ไม่รู้ที่จับเธอมานี่เป็นการทรมานครอบครัวนั้นหรือทรมานตัวเองกันแน่
“ฉันบอกว่าไม่มีอะไรกินหรอก กลับที่ของเธอไปได้แล้ว”
“แต่...”
โครก...
ณัฐรีนีย์แก้มแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ท้องเธอช่างเถรตรงเหลือเกิน ตรงจนเธอเริ่มรู้สึกอับอายขึ้นมาตงิดๆ
“หิวอะ”
“ทนเอา อีกไม่นานก็เช้าแล้ว”
“มันทนไม่ไหว ตั้งแต่เหยียบประเทศไทยฉันได้กินข้าวไปมื้อเดียวเมื่อตอนกลางวัน”
“แล้วไง?”
“แล้วไง? ก็หิวน่ะสิ อยากกินข้าวน่ะเข้าใจไหม น้ำซักขวดก็ยังดี น้ำใจน่ะมีไหม?”
สิงหาถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความรำคาญจนเส้นผมของหญิงสาวปลิวว่อน เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากขนาดนี้ ห่างกันเพียงแค่สองฝ่ามือกั้นเท่านั้น...
ดวงตากลมจ้องมองใบหน้าที่ซุกซ่อนอยู่หลังหนวดเส้นยาวอย่างสำรวจ ก่อนจะเลิกสนใจเมื่อมองไม่เห็นอะไรนอกจากหนวดที่ยาวเกินความจำเป็นจนรกรุงรังนั่น นี่ถ้าหนวดเป็นสีขาวและสิงหามีพุงกลมๆ คงไม่ต่างอะไรจากคุณลุงซานต้าที่ใจร้ายจนเด็กกลัว
โชคดีที่สิงหาไม่มีพุง มีแต่ เอ่อ... ซิกแพค ไม่สิ... ก้อนๆ นั่นเธอนับได้ตั้งแปดไม่ใช่หก
สิงหามองตามสายตาซุกซน เมื่อครู่เธอจ้องหน้าเขา แต่ตอนนี้กลับจ้องที่หน้าอกและหน้าท้องของเขาแทน ชายหนุ่มปิดปากเงียบไม่ได้เอ่ยห้าม เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าณัฐรินีย์จะเลิกมองเมื่อไหร่
“ของจริงหรือเปล่า?”
“อะไร?”
“อันนี้อะ” นิ้วเรียวจิ้มลงบนกล้ามเนื้อแน่นๆ จนเจ้าของแอบสะดุ้งเล็กน้อย “ของจริงนี่ แข็งมาก”
“ยุ่ง” เขาปัดมือที่จิ้มๆ หน้าท้องของตัวเองออก คิ้วขมวดเข้าหากันจนยุ่งเหยิง นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ผู้หญิงคนนี้ทำตัวง่ายๆ ทั้งพร้อมจะถอดเสื้อให้เขาดู ไหนจะมาแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายเหมือนคนหน้าไม่อายแบบนี้อีก
“หุ่นดีจัง นิคกี้ชิดซ้ายเลย” ถ้านิคกี้รู้ว่าเธอพูดแบบนี้รายนั้นคงหมกตัวอยู่ในยิมวันละสิบชั่วโมงแน่ๆ เธอพนันได้เลย
“กลับบ้านไป” สิงหาไม่สนว่านิคกี้คือใคร เขาเอ่ยไล่ “ไปสิ”
“ไม่เอา กลัวเจอกระต่าย”
“ปัญญาอ่อน”
“นี่!” ณัฐรินีย์เริ่มไม่สบอารมณ์ ไม่เคยมีใครว่าเธอแบบนี้มาก่อน ความกลัวของคนเรามันไม่ใช่เรื่องปัญญาอ่อนนะ เธอยังไม่เคยว่าคนที่กลัวงู หรือสัตว์อันตรายอื่นๆ เลยทั้งๆ ที่เธอชอบพวกมันจะตาย
แค่กลัวกระต่าย เธอไม่ชอบนี่ ไม่จำเป็นต้องมาว่ากันแบบนี้ก็ได้
“กลับบ้าน” สิงหาเอ่ยไล่อีกครั้ง เขายกแขนขึ้นกอดอก เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยเพราะผู้หญิงหน้าไม่อายคนนี้จ้องเอาๆ เหมือนจะกินเขาเข้าไปทั้งตัว
“ไม่กลับ!”
“เหมือนว่าเธอจะลืมว่าเธอเป็น...”
“นักโทษ!” ณัฐรินีย์สวนขึ้นก่อนที่สิงหาจะพูดจบ อยู่ที่นี่ยังไม่ถึงวันดี สิงหาพูดว่าเธอเป็นนักโทษจนจำได้ขึ้นใจแล้ว “รู้แล้วว่าเป็นนักโทษ แต่นักโทษในคุกยังได้กินข้าวเลย แล้วทำไมฉันไม่ได้กินล่ะ?”
“เธอขึ้นมาช้าเอง ที่นี่กินข้าวเย็นหกโมง”
“ก็เพราะใครล่ะที่สั่งห้ามไม่ให้ฉันออกจากบ้าน” คนตัวเล็กกว่าเถียงคอเป็นเอ็น ยังไงวันนี้เธอก็ต้องได้กินข้าว หรือแค่น้ำก็ได้
เธอเดินมาตั้งไกล แล้วยังต้องมาเถียงกับผู้ชายตัวใหญ่เหมือนยักษ์นี่อีก บอกตรงๆ ว่าตอนนี้พลังงานของเธอถึงจุดสีแดงแล้ว ถ้าไม่ได้กินน้ำซักอึกเธอเดินไม่ถึงบ้านแน่ๆ
แค่คิดว่าต้องเป็นลมในป่าที่มีกระต่ายอยู่ณัฐรินีย์ก็กลัวขึ้นมาจับใจ เรื่องนี้เธอไม่ยอมแพ้สิงหาแน่นอน เพราะระหว่างสิงหากับกระต่าย เธอกลัวกระต่ายมากกว่าหลายเท่า
“เธอนี่มัน... วุ่นวายจริงๆ”
“โทษตัวเองบ้างสิ”
สิงหายอมรับว่าเรื่องนี้เขาผิดจริงๆ เมื่อบ่ายเขาหงุดหงิดไปหน่อยที่เห็นผู้หญิงคนนี้ตีสนิทกับคนของเขา เลยสั่งออกไปว่าไม่ให้เธอออกไปไหน แต่ก็ลืมไปว่าบ้านหลังนั้นไม่มีอะไรกิน แม้แต่น้ำจืดก็ไม่มีเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ตักมาใช้อย่างที่ควรเป็น
อ้างนู่นอ้างนี่อ้างนั่น สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ตักน้ำกลับมาใช้ซักหยด พอหิ้วก็มาเย้วๆ ใส่เขา ไม่น่าจับมาให้เป็นภาระเลย สิงหาเพิ่งคิดได้ในตอนนี้
โฮ่ง!
ไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ฟาดฟันกันต่อ เสียงของบุคคล(?)ที่สามก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ณัฐรินีย์รีบหันกลับไปมอง ก่อนจะตาโตเมื่อเห็นสุนัขพันธุ์โปรดยืนตัวขาวอยู่ไม่ไกล
“ซามอยด์นี่!”
“บาร์บี้ ออกมาทำไม บอกให้รออยู่ที่บ้านไง”
หงิง..
“บาร์บี้เหรอ? ชื่อน่ารักจัง”
ณัฐรินีย์ถือวิสาสะเดินเข้าไปลูบหัวลูบตัวสุนัขพันธุ์ซามอยด์อย่างชอบใจ ซึ่งบาร์บี้ก็ไม่ขัดขืน เจ้าตัวขาวกระติกหางถี่ๆ หลับตาพริ้มให้คนแปลกหน้าลูบเนื้อตัวไม่สนใจเจ้านายที่ยืนตาเขียวปั๊ดอยู่
แค่วันเดียว แค่วันเดียวจริงๆ ที่ณัฐรินีย์มาอยู่ที่นี่ แต่เธอกลับทำให้สิงหาปวดหัวตุ๊บๆ อารมณ์ขึ้นลงยิ่งกว่าผู้หญิงมีประจำเดือน เธอไม่ฟังสิ่งที่เขาห้ามเลย ตีสนิทคนไม่พอ นี่หมาก็ยังไม่เว้นอีก
หงิง
ขนาดหมายังไม่สนใจสิงหา พอมีคนลูบหัวให้ก็ทำท่าเคลิ้มจนน่าตี ชายหนุ่มร่างกำยำถอนหายใจออกมารอบที่สาม ก่อนจะเดินนำหน้าทั้งคนทั้งหมาไปที่บ้านของตัวเอง
แค่ครั้งนี้เท่านั้นแหละ ต่อไปนี้อย่าหวังว่าจะได้มาเหยียบที่บ้านเขาอีกเลย ณัฐรินีย์
.
.
ถ้ำสิงห์มีลักษณะเหมือนบ้านสไตล์โมเดิร์นชั้นเดียวทั่วไป ก็แน่ล่ะเพราะสิงหาเป็นคนไม่ใช่สิงห์สาราสัตว์ที่ไหน แต่ณัฐรินีย์ค่อนข้างแปลกใจเพราะในตัวบ้านมีทุกอย่างครบครัน น้ำ ไฟ เครื่องปรับอากาศ โซฟา ทีวี หรือแม้แต่เครื่องออกกำลังกายที่เป็นลู่วิ่งและจักรยานไฟฟ้า
ถ้าไม่บอกว่าอยู่บนเกาะ เธอคงคิดว่าตัวเองอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร นี่ถ้ามีห้างหน่อยก็ครบเลย
ตัดภาพไปที่บ้านที่นายสิงหาให้เธอซุกหัวนอน ที่นั่นไม่มีอะไรซักอย่าง มีแค่ฟูกกับผ้าห่มผืนบางๆ อย่าว่าแต่ทีวีเลย น้ำไฟยังไม่มี ห้องน้ำดีๆ ยังไม่มีให้เธอใช้เลย นี่สินะชีวิตนักโทษ
“ทำอะไร” สิงหาถามเสียดุเมื่อแขกไม่ได้รับเชิญทำท่าจะเดินไปอีกทาง เขาไม่ชอบใจที่เธอทำอะไรโดยพละการ แต่ก็อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยเพาะบาร์บี้หันมาสนใจเขาแทนผู้หญิงคนนั้นแล้ว
“อยากเข้าห้องน้ำ”
“จะเยี่ยว?”
“จะฉี่!” ณัฐรินีย์อดแก้ไม่ได้จริงๆ แค่พูดว่าฉี่มันยากมากหรือไง “ได้ไหม? ขอเข้าหน่อยเถอะนะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“อย่าทำสกปรก”
“อื้อ!”
รับคำจบณัฐรินีย์ก็รีบเดินเข้าห้องน้ำไป เธอจัดการทำธุระของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย สำรวจห้องน้ำหอมๆ ว่าไม่ได้เผลอทำอะไรเปรอะเปื้อนให้โดนว่าได้อีก เมื่อมั่นใจแล้วก็กลับออกไปด้านนอกอีกครั้ง
โครก
สิงหาส่งสายตาเอือมระอามาให้ บาร์บี้ตัวขาวนั่งลิ้นห้อยอยู่ใกล้ๆ เจ้านายที่สวมเสื้อเรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะตรงหน้าสิงหามีกับข้าวหน้าตาน่ากินวางอยู่สองสามอย่าง
อยากกินจัง... แต่ผู้ชายใจดำแบบนั้นคงไม่ให้เธอกินหรอก
“มากิน”
“เอ๊ะ?”
“มากินข้าว” สิงหาสั่งพร้อมทำเสียงขึ้นจมูกฟึดฟัด ผู้หญิงอะไรน่ารำคาญได้ขนาดนี้ ให้เขาต้องพูดย้ำอยู่เรื่อย จะว่ามีปัญหาด้านการได้ยินก็ไม่ใช่ “รีบกิน จะได้กลับบ้านเธอไป”
“ฉันกินได้จริงๆ เหรอ?”
โฮ่ง!
“โอเคบาร์บี้ ฉันกินได้สินะ”
สิงหาซ่อนความไม่พอใจไว้เกือบไม่มิด ดูเผินๆ อาจจะไม่มีอะไร แต่ณัฐรินีย์กำลังกวนประสาทเขาด้วยการเชื่อฟังหมามากกว่าตัวเขา เธอกำลังหาเรื่องเขาชัดๆ
ไม่ต้องรอให้อัญเชิญเป็นรอบที่สามร่างบอบบางก็พุ่งเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวถัดไปจากสิงหาทันที ดวงตากลมโตมองอาหารบ้านๆ อย่างไข่ชะอม น้ำพริกกะปิ และแกงจืดหมูสับด้วยแววตาที่เหมือนเห็นอาหารล้ำค่าราคาแพง
เธอบริการตัวเองไม่ติดขัด ตักข้าวเอง รินน้ำเอง แถมยังมีน้ำใจเผื่อแผ่ให้สิงหาด้วยเมื่อเห็นว่าแก้วน้ำสีใสเริ่มว่างเปล่า สิงหามองการกระทำนั้นก่อนจะเลิกสนใจ
มื้อเย็นที่ค่อนไปทางดึกจบลงตอนสามทุ่ม ไม่ต้องบอกอะไรณัฐรินีย์ก็รีบเก็บจานชามทั้งหมดไปล้างอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเอาผ้าสะอาดเช็ดจานกระเบื้องจนสะอาดเอี่ยมอ่องอีก
“ลุง” พออารมณ์ดีณัฐรินีย์ก็เริ่มกลับมาเรียกสิงหาว่าลุงอีกครั้ง แต่ที่น่าเจ็บใจกว่าคือสิงหาดันหันตามเสียงเรียกนั้น ทั้งๆ ที่บอลคู่โปรดบนจอทีวีน่าสนใจมากกว่าแท้ๆ “ล้างจานให้แล้วนะ”
“อืม”
“ทำความสะอาดครัวให้แล้วด้วย”
“อืม”
“ขอบคุณสำหรับข้าวนะ”
“อืม”
“นอนนี่ได้ไหม?”
“อืม”
“จริงเหรอ?” ณัฐรินีย์เกือบกระโดดเต้น เธอไม่ได้รักสบายอะไรหรอก แต่แค่ไม่อยากเดินกลับบ้านตอนนี้ก็เท่านั้น ถ้าเจอกระต่ายอีกจะทำยังไง...
“ดีใจอะไร” สิงหาขมวดคิ้ว เมื่อครู่ทีมที่เขาเชียร์ยิงเข้าประตูจนนำไปหนึ่งศูนย์ เขาเลยไม่ได้ใส่ใจณัฐรินีย์เท่าไหร่ เธอพูดอะไรเขาก็อืออาไปตามเรื่องเท่านั้น
“ก็ลุงบอกว่าจะให้หนูนอนที่นี่”
“เพ้อเจ้อ”
“เป็นผู้ใหญ่อย่ากลับคำสิ ลุงอนุญาตแล้วอะ”
“ได้คืบเอาศอก”
“แค่วันเดียว ตอนนี้มันดึกแล้ว หนูกลัวผี”
กลัวผีหรือกลัวกระต่าย สิงหาถามในใจ แต่ไม่ได้พูดออกไปเพราะบอลที่เขาดูใกล้หมดเวลาเต็มที เขากำลังลุ้นให้ทีมที่เชียร์ชนะ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ เคยแพ้เพราะสามสิบวิสุดท้ายก็มีมาแล้ว
“นะคะนายสิงห์ขา” ณัฐรินีย์ฉลาดพอ เธอเห็นสีหน้าอารมณ์ดีของสิงหาก็รีบเอ่ยอ้อน “ให้หนูนิดนอนที่นี่นะคะ พรุ่งนี้หนูนิดจะทำความสะอาดบ้านให้”
“...”
“อาบน้ำให้บาร์บี้ด้วย เนี่ย ออกไปเดินข้างนอกมาเท้าดำเลย”
“...”
“นะคะ นะคะ ให้หนูนิดนอนที่นี่นะคะ”
“อืม”
ณัฐรินีย์ไม่กล้าถามย้ำ เพราะกลัวว่าที่ได้ยินจะคิดไปเอง
“จะนอนก็นอน” สิงหากดปิดทีวีเมื่อการแข่งขันจบลงและได้ผู้ชนะแล้ว “นอนตรงนี้ เพราะที่นี่มีห้องนอนห้องเดียว”
“ได้เลยค่ะ ไม่มีปัญหา!”
“อย่าลืมที่บอกว่าจะทำด้วยแล้วกัน ทำความสะอาดบ้าน อาบน้ำให้บาร์บี้”
ณัฐรินีย์แอบเบ้ปาก เห็นมองแต่ทีวีเธอก็นึกว่าจะไม่ได้ยินเรื่องนี้เสียอีก แต่เพื่อแลกกับที่นอนและไม่ต้องเสี่ยงไปเจอกับกระต่าย แค่ทำความสะอาดบ้านกับอาบน้ำหมามันเรื่องจิ๊บจ๊อย
“ไม่ลืมค่ะ”
“อืม”
สิงหาทิ้งท้ายแค่นั้น ก่อนจะพาร่างกำยำเข้าห้องนอนส่วนตัวไป
เพราะวันนี้ทีมที่เขาเชียร์ชนะหรอกนะ เขาถึงได้ยอมให้นักโทษเข้ามานอนในถ้ำสิงห์ง่ายๆ แบบนี้
แต่จริงๆ แล้วพอณัฐรินีย์พูดคะพูดขามันก็ทำให้เขาใจอ่อนได้นิดหนึ่งเหมือนกัน
แค่นิดเดียวเท่านั้น...