หญิงสาวที่มีสถานะเป็นนักโทษยอมถูกลากไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนออกมา เธอเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างที่ชื้นเหงื่อขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดมันเปียกโชก แต่ถึงอย่างนั้นสิงหาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“เดี๋ยวสิ...” หญิงสาวขัดขืนเป็นครั้งแรก เธอยื้อตัวเองไว้ไม่ยอมเดินตามจนสายตาคมๆ ตวัดกลับมามองอย่างไม่พอใจ “ให้ฉันเก็บเสื้อผ้าก่อน”
เธอชี้ไปที่เสื้อผ้าที่ยังคงตากอยู่ที่เดิม สิงหาลากเธอจนมาถึงน้ำตกแสนสวยนี่แล้ว ที่จริงเธออยากขออาบน้ำอีกซักครั้ง แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์เสียแบบนี้ก็ได้แต่ปลอบตัวเองในใจว่าช่วงเย็นๆ ค่อยมาอาบก็ได้
“ฉันบอกเธอว่าอะไร?”
“ค่อยคุยกันได้ไหม ขอเก็บเสื้อผ้าก่อน โอ้ย!” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น นายสิงห์คนนี้กระชากแขนเธอจนเจ็บไปหมดแล้ว รับรองได้ว่าคืนนี้เธอคงร้าวระบมไปทั้งแขนแน่นอน
“เธอมันดีแต่ยั่วโมโหฉัน คิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรหรือไง!?”
“ฉันไปทำอะไรให้เล่า! นายก็บอกมาสิ ไม่ใช่มาลากๆๆๆ แล้วก็ใส่อารมณ์แบบนี้!”
ณัฐรินีย์เริ่มเสียงดังบ้าง เธอพยายามอดทนแล้วนะ แต่นายสิงห์คนนี้ทำให้ความอดทนของเธอขาดกระจุย เอะอะก็เสียงดัง เอะอะก็ขู่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากฆ่าก็ฆ่ากันเลยสิ นี่มันถิ่นเขาอยู่แล้วนี่!
สิงหาชะงักไปชั่วครู่เมื่อเผลอจ้องมองเข้าในดวงตาสีเข้มนั้น นัยน์ตาของณัฐรินีย์แสดงออกถึงความท้าทาย แต่ลึกลงไปกลับมีตะกอนความเจ็บปวดบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิด
“ไปเก็บเสื้อผ้า”
“อะไรนะ?”
“ก็จะเก็บเสื้อผ้าไม่ใช่หรือไง?” สิงหาปล่อยมือจากแขนเล็ก บ่งบอกว่าให้อิสระกับเธอแล้ว “เก็บสิ จะได้รีบกลับบ้าน”
“ฉันไม่เข้าใจนายเลย” อยู่ดีๆ ก็อารมณ์เสียเหมือนคนบ้า แต่ซักพักก็กลับมาเป็นปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น...
บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะมีปัญหาทางจิต เพราะคงไม่มีคนปกติที่ไหนจับตัวคนอื่นมากักขังไว้โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายแบบนี้หรอก
สิงหาไม่ได้ตอบอะไร เขายกแขนล่ำๆ ขึ้นกอดอกจนกล้ามเนื้อดันเสื้อยืดที่สวมใส่ออกมา พลางปรายตาให้นักโทษไปเก็บเสื้อผ้าตามที่ร้องขอ และเมื่อเธอเก็บข้าวของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สิงหาก็ก้าวนำกลับไปตามเส้นทางเดิมที่เมื่อช่วงสายพาเดินขึ้นมา
ครั้งนี้ไม่มีการฉุดกระชากลากถู สิงหาเพียงแค่เดินนำไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก ส่วนณัฐรินีย์เองก็กอดกระชับเสื้อผ้าตัวเองไว้ และเดินจ้ำเร็วๆ เพื่อตามเจ้าของแผ่นหลังกว้างให้ทัน ช่วงขาของเธอไม่ได้สั้น ที่จริงแล้วณัฐรินีย์ไม่ได้เตี้ย ส่วนสูงร้อยหกสิบสามเป็นส่วนสูงที่กำลังใส่เสื้อผ้าได้สวย ขาของเธอเรียวยาวจนหลายๆ คนพากันชื่นชม แต่เป็นเพราะสิงหาที่สูงเกินไปต่างหาก จึงทำให้เธอดูตัวเล็กมากเมื่ออยู่ใกล้เขา
เมื่อได้เดินตามหลังเงียบๆ ณัฐรินีย์ก็ลอบสำรวจผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรก นายสิงห์หรือสิงหาเป็นผู้ชายตัวใหญ่และสูงมาก กะด้วยสายคงประมาณร้อยแปดสิบห้า เพราะเขาสูงกว่านิคกี้ที่สูงร้อยแปดสิบประมาณสี่ถึงห้าเซนติเมตรได้
รูปร่างของนายสิงห์บึกบึน กำยำกว่านิคกี้พอสมควร กล้ามเนื้อของเขาแน่นจนดันเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกมาบ้างในบางครั้งที่ขยับตัว เขามีสีผิวที่ออกแทนเพราะคล้ำแดด ดวงตาสีอ่อน เส้นผมยาวถึงต้นคนจนมัดรวบได้ และหนวดที่ยาวเฟื้อยปิดบังใบหน้าของเขาไปเกือบครึ่ง และเพราะแบบนั้นจึงทำให้ณัฐรินีย์ดูไม่ออกว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ดูจากรูปร่างแล้วเธอขอเดาว่าเขาไม่ใช่ไทยแท้ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีส่วนผสมของชาติไหนบ้าง
ขาลงเดินยากกว่าขาขึ้น แต่เหนื่อยน้อยกว่าหลายเท่า ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งสองคนก็หลุดพ้นจากเนินเขาและเจอกับหาดทรายรวมถึงบ้านหลังน้อยที่ตั้งอยู่อย่างเดียวดาย น้ำทะเลลดลงไปแล้ว ตอนนี้ทั้งสิงหาและณัฐรินีย์สามารถเดินไปที่ตัวบ้านได้ปกติไม่ต้องลุยน้ำเหมือนเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา
“ต่อไปนี้ไม่ต้องขึ้นไปทำงานที่คอกหมูและที่สวนอีก”
“อะ...อ้าว ทำไมล่ะ?”
“ฉันพลาดเองที่เปิดโอกาสให้เธอตีสนิทกับคนอื่นแบบนั้น ต่อไปนี้ถ้าฉันไม่ได้สั่ง เธอต้องอยู่แค่ในบ้านหลังนี้ ห้ามออกไปไหนอีก”
“เดี๋ยวสิ!” เสียงใสร้องลั่น สิงหาไม่ได้อธิบายอะไรเลย เขาสั่งจบก็ทำท่าจะเดินจากไปอย่างเดียว “แล้วนายจะให้ฉันทำอะไร?”
“ไม่ต้องทำอะไร แค่ใช้ชีวิตต่อไปก็พอ”
“อะไรนะ?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น ยิ่งเขาพูด เธอก็ยิ่งไม่เข้าใจ “นายจับฉันมาเพื่ออะไร ในเมื่อไม่ทำอะไรซักอย่าง ไม่ฆ่า ไม่ใช้งาน แล้วจะจับมาทำไม?”
“ฆ่างั้นเหรอ? หึ ฉันไม่ฆ่าเธอหรอก... ความตายมันง่ายเกินไป”
นี่คือเหตุผลที่เขาจับเธอมาแบบนี้สินะ
ใช่ ความตายมันง่ายเกินไป คนอย่างณัฐรินีย์รู้ดีว่าการมีชีวิตอยู่มันทรมานกว่าการจากไปหลายเท่า... เธอเริ่มมั่นใจแล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้โง่ เขาฉลาดเป็นกรด แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไม ทำไมถึงเป็นเธอ...
“ฉันไปทำอะไรให้นายตอนไหน?”
“จำไม่ได้?”
“แล้วฉันต้องจำอะไร?”
“หึ!”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ณัฐรินีย์ได้ยิน เพราะหลังจากนั้นสิงหาก็เดินจากไป ทิ้งให้เธอจมอยู่กับคำถามว่าทำไมซ้ำๆ ตามลำพัง
.
.
“หิว”
เพราะถูกสั่งไม่ให้ออกไปไหน ณัฐรินีย์จึงหมกตัวอยู่แต่ในบ้านหลังน้อย เธอไม่มีอาหารประทังชีวิต ไม่มีแม้แต่น้ำจืดที่สามารถกินได้ เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมสิงหาถึงได้บอกว่าความตายมันง่ายไป
เพราะสำหรับเธอ ไม่มีอะไรทรมานเท่าความหิวอีกแล้ว
“ไม่ไหวแล้ว!” ร่างเล็กลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มที่อยู่บนตัวร่นลงจนเห็นเรือนกายบอบบางที่ซ่อนอยู่ในเสื้อยืดสีขาวไร้ลวดลาย “หิว! หิว! หิว!”
ยิ่งขยับ ณัฐรินีย์ก็ยิ่งรู้สึกหิวกว่าเดิม ลำคอของเธอแห้งผากเพราะขาดน้ำ ถ้าเธอยังไม่ยอมไปหาอะไรมาประทังชีวิต รับรองว่าเธอได้ตายอยู่ในบ้านหลังนี้แน่ๆ
ชั่ววูบของการตัดสินใจ เธอบอกตัวเองว่าไม่ควรขัดคำสั่งของผู้ชายคนนั้น แต่เพราะความหิวที่มากมายจนรับไม่ไหว ทำให้เธอตัดสินใจก้าวออกจากตัวบ้านไปเพื่อหาอะไรมาต่อชีวิตตัวเอง
อย่างน้อยๆ ก็น้ำซักอึก หรือไม่ก็ผลไม้ซักลูก เธอขอเพียงเท่านี้
ท้องฟ้าตอนนี้มืดสนิท ทั้งๆ ที่พระอาทิตย์เพิ่งตกไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ทั่วทั้งบ้านมีเพียงแค่แสงไฟจากตะเกียงที่จุดไว้สองที่ ณัฐรินีย์หยิบตะเกียงหนึ่งอันมาถือไว้ รวบรวมความกล้าอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าลงจากบ้านไป
ทางเดินที่เคยเดินผ่านเมื่อช่วงสายและช่วงบ่ายมืดจนมองไม่ออกว่าอะไรคืออะไร เสียงนกบางอย่างร้องขึ้นมาจนหญิงสาวที่อยู่แต่ในเมืองเกือบถอยหนี ดวงตาโตหันไปมองรอบข้างด้วยความหวาดระแวง ที่นี่จะมีเสืออย่างที่นายสิงห์บอกหรือเปล่า? ไม่ใช่ว่าการออกมาหาอะไรกินของเธอกลับกลายเป็นการเสนอตัวเองให้เป็นอาหารเสือหรอกนะ
โครก...
“รู้แล้วๆ” มือข้างที่ว่างวางบนหน้าท้องแบนราบของตัวเอง กระเพาะอาหารเธอเหมือนนกรู้ พอเธอลังเลก็ส่งเสียงร้องประท้วงเสียดังลั่น
แกร๊ก
เสียงฝีเท้าของตัวเองที่เหยียบเข้ากับใบไม้และกิ่งไม้กลายเป็นเสียงเดียวที่ณัฐรินีย์รู้สึกอุ่นใจ แสงไฟจากตะเกียงไม่มากพอให้เห็นรอบข้างในระยะเกินหนึ่งเมตร แต่มันก็ช่วยให้เธอไม่เผลอสะดุดล้มหัวคะมำได้
หญิงสาวขุดความจำที่เหลือเพียงน้อยนิดขึ้นมา เธอจำได้ว่าเส้นทางที่จะเดินไปโรงครัวของที่นี่ต้องผ่านน้ำตกที่เธอใช้อาบน้ำก่อน รวมถึงต้องผ่านคอกหมูนับสิบไปด้วย หลังจากนั้นก็เลี้ยวขวา แล้วก็จะเจอกับโรงครัวที่มีอาหารหลากหลายที่จะต่อชีวิตของเธอในค่ำคืนนี้ได้
เดินอย่างทุลักทุเลเกือบครึ่งชั่วโมงณัฐรินีย์ก็พบกับน้ำตกที่ตอนนี้ไม่เหลือเค้าความสวยงามใดๆ สายน้ำที่เคยเป็นสีครามสวยกลับดำมืดจนมองไม่เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ดวงตาคู่สวยเหลือบมองเพียงเสี้ยววิ ก่อนจะรีบเดินจากไปโดยไม่รู้ตัวว่ามีบางสิ่งบางอย่างตามหลังเธอไปอย่างเงียบเชียบ
.
.
“ไม่ใช่ทางนี้เหรอ?”
ณัฐรินีย์เริ่มเหงื่อตก เธอจำได้ว่าระยะทางจากน้ำตกหากเดินอีกเพียงสิบนาทีก็จะถึงคอกหมูที่เธอเป็นคนล้างมันเองกับมือ แต่นี่เธอเดินมาจะสามสิบนาทีแล้ว คอกหมูที่เธอตามหาหายไปไหน?
หรือว่าเธอจะหลงทาง?
“หาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ” หญิงสาวก่นด่าตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ นี่ถ้านิคกี้รู้ว่าเธอทำตัวก๋ากั่นขนาดนี้ เธอต้องถูกบ่นไปอีกหลายวันแน่ๆ
ในเมื่อหาทางไปต่อไม่ได้ ณัฐรินีย์ก็ตัดสินใจกลับบ้านน้อยของตัวเอง ถ้าบังคับตัวเองให้หลับได้ก็คงจะหายหิวไปได้บ้าง ดีกว่าต้องหลงอยู่ในป่าที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้
แกร๊ก
ทันทีที่หันหลังกลับ ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างขึ้น บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ได้รับเชิญจ้องมองมาที่เธอด้วยดวงตาสีแดงสด...
“กะ... กรี๊ด!!!!”
.
.
“กรี๊ดดด”
เคร้ง!
โฮ่ง! โฮ่ง!
“ชู่ว! เงียบก่อนบาร์บี้”
หงิง~
สุนัขพันธุ์ซามอยด์สีขาวเพศเมียหลบตาเจ้าของชีวิตเมื่อถูกดุ ร่างอวบๆ ขดตัวลงกับพื้น จนสิงหาอดใจไม่ไหวลูบหัวลูบตัวไปทีจนหางยาวสะบัดไปมาแรงๆ
“อยู่นี่นะ เดี๋ยวฉันมา”
สิงหาลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าว เสียงกรีดร้องดังไม่ไกลจากบ้านของเขาเท่าไหร่ และเสียงแบบนี้แปลว่ากำลังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ชายหนุ่มหยิบมีดเล่มเล็กมาถือไว้ อย่างน้อยมีอาวุธไว้มันก็อุ่นใจกว่า เขารีบจนไม่ได้สนใจสวมเสื้อที่ถอดพาดไว้ก่อนกินข้าว ขายาวก้าวเข้าไปในความมืดอย่างคุ้นชิน
“ออกไปนะ”
ยิ่งเดินห่างจากตัวบ้านเท่าไหร่สิงหาก็ยิ่งได้ยินเสียงนั้นชัดขึ้น เสียงคุ้นหูกำลังร้องสะอื้นอย่างหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง และนั่นทำให้สิงหารีบเร่งเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม
“ฉันกลัวแล้ว ได้โปรด...”
“ณัฐรินีย์!”
เสียงเข้มตะโกนลั่น เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุแล้วเจอเข้ากับร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้น ตะเกียงที่เธอคงถือมาด้วยตกอยู่ข้างตัว ส่วนสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวลงไปนั่งกับพื้นแบบนี้ก็คือ... กระต่าย
กระต่าย?
“ณัฐรินีย์” สิงหาแตะไหล่บาง อีกฝ่ายสะดุ้งและขยับตัวหนีอย่างคนขวัญเสีย “ณัฐรินีย์”
“ได้โปรด...”
“...หนูนิด”
ชื่อเล่นที่ถูกเรียกขานทำให้ณัฐรินีย์สงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ เธอเงยหน้าขึ้นมองคนมาใหม่ ก่อนจะรีบลุกขึ้นและถอยไปด้านหลังคนตัวโตเพื่อใช้เขาเป็นเกาะกำบังจากกระต่ายตัวนั้น
“ชะ... ช่วยด้วย ฉันกลัว”
สิงหามองคนที่หลบอยู่ด้านหลังสลับกับกระต่ายตัวขาว ดวงตาสีแดงของมันจ้องมองมาอย่างใสซื่อ สิงหาไม่อยากจะเชื่อ ถ้าสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้กลัวเป็นงูหรือสัตว์ร้ายเขาจะไม่แปลกใจเลย
แต่นี่เธอกลัวกระต่าย กระต่ายที่ตัวแค่ฝ่ามือและไม่มีพิษมีภัยอะไรทั้งนั้น
พอสิงหาจ้องนานๆ กระต่ายตัวนั้นก็เกิดตื่นกลัวขึ้นมา มันทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะกระโดดหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“มันไปแล้ว”
“จริงๆ นะ”
“จริง”
ณัฐรินีย์โผล่ดวงตาออกมาเพียงเล็กน้อย เธอกวาดตามองไปทั่วเพื่อหากระต่ายเจ้าปัญหาตัวนั้น แล้วก็พบว่ามันจากไปแล้วจริงๆ
“หัวใจจะวาย”
หญิงสาวบ่นพึมพำ เธอซบหน้าผากเข้าหาเกาะกำบังของตัวด้วยความโล่งอกโล่งใจ พลางบอกตัวเองในใจว่าไม่เอาอีกแล้ว เธอจะไม่ออกมาหาอะไรกินดึกๆ ดื่นๆ อีกแล้ว ถ้าต้องเจอกระต่ายแบบนี้เธอขอนอนหิวอยู่ที่บ้านดีกว่า
“กระต่ายไปแล้ว” สิงหาเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ “เธอก็ควรจะเลิกซบหลังฉันได้ซักที”
“เอ๊ะ?” ณัฐรินีย์รีบยกใบหน้าขึ้นเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะรีบถอยห่างเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป
เธอเผลอซบหลังของนายสิงหาเต็มๆ และที่สำคัญ... อีกฝ่ายไม่ได้ใส่เสื้อด้วย!
นี่มันหนีกระต่ายปะนายสิงหาชัดๆ