หลังจากกินข้าวมื้อกลางวันที่ล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสองเสร็จ สิงหาก็เดินนำหน้านักโทษสาวที่อิ้มแปล้พุงกางไปอีกทางหนึ่ง เป็นคนละทางกับคอกหมูที่ณัฐรินีย์ทำงานเพื่อแลกข้าวก่อนหน้านี้ เธอจำได้ขึ้นใจ
“พี่สิงห์จ๋า!”
ยังไม่ทันได้เห็นว่าถูกพามาที่ไหน เสียงแหลมๆ ที่หวานหยดย้อยก็ดังขึ้นเสียก่อน และหลังจากนั้นร่างสูงใหญ่ที่เดินนำหน้าก็เซแถ่ดๆ มาชนเข้ากับเธอ โชคดีที่ณัฐรินีย์ตั้งตัวทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปกองที่พื้นพร้อมกับมีร่างใหญ่โตเหมือนหมีควายทับให้ได้จุกเล่น
“กระแต!” เสียงทุ้มดูดุ แต่น้อยกว่าตอนที่ใช้พูดกับนักโทษอย่างณัฐรินีย์หลายเท่า “อย่าทำแบบนี้ ล้มไปจะเจ็บตัว”
“จ้ะ กระแตขอโทษน้าพี่สิงห์ กระแตแค่ดีใจที่ได้เจอพี่สิงห์ ไม่ได้เจอตั้งวันกว่าคิดถึ๊งคิดถึง”
“เยอะ!” ณัฐรินีย์แอบมองข้ามไหล่หนา เธอเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นหญิงวัยประมาณไม่เกินสี่สิบห้าปี ท่าทางแข็งแรงและหน้าตาสะสวยพอตัว “มานี่เดี๋ยวนี้นะกระแต เป็นสาวเป็นนางไปลามปามนายสิงห์เขาแบบนั้นได้อย่างไร?”
“แม่อะ! พี่สิงห์ยังไม่ว่ากระแตซักคำเลย ใช่ไหมจ๊ะ?”
“หึ” สิงหาเพียงแค่หัวเราะแผ่วๆ เขาไม่ได้ตอบสาวเจ้า แต่หันไปสนใจแม่ของเธอแทน “น้าพิมทำงานใกล้เสร็จหรือยัง เหลืออะไรอีกหรือเปล่า?”
“เหลือนิดหน่อยจ้ะนายสิงห์ คัดส้มตรงนั้น แล้วก็รดน้ำแปลงดอกไม้ก็เสร็จแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น้าพิมกับกระแตไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวตรงนี้จะมีคนมาทำแทน”
“ใครหรือนายสิงห์?”
สิงหาไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่เขาขยับเบี่ยงตัวไปอีกข้าง เพื่อให้พิมใจสามารถมองเห็นร่างเล็กๆ ที่ยืนหลบซ่อนอยู่ด้านหลังของเขาได้
“ใครอะ!”
กระแตถามเสียงตวัดก่อนที่พิมใจจะได้เป็นคนเอ่ยปากถาม ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่ดีใจจึงไม่ได้สังเกตว่าพี่สิงหาของเธอไม่ได้มาตัวคนเดียว พี่สิงหาพาผู้หญิงแปลกหน้าขึ้นมาถึงที่นี่ แถมยังสวยมากอีก แบบนี้เธอไม่ปลื้มเลย
ถึงจะสวยน้อยกว่าเธอนิดนึงก็เถอะ
“หลานป้าผ่องเขา” สิงหาพูดตามที่ตกลงกับป้าผ่องรวมถึงลุงมิ่งไว้ ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มาในฐานะอะไร นอกจากเขา ป้าผ่อง ลุงมิ่ง และเจ้าตัวเท่านั้น เขาไม่อยากอธิบาย ไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่านี้ “เอามาฝากทำงาน ป้าผ่องบอกว่าดื้อมาก ต้องใช้ให้งานหนักๆ”
“เอ๊ะ!” ณัฐรินีย์อยากจะเอ่ยค้าน เธองุนงงตั้งแต่ที่เขาบอกกับคนอื่นว่าเธอเป็นหลานของป้าผ่องแล้ว แต่ที่เธอไม่ชอบใจที่สุดคือเขาพูดเองเออเองว่าเธอดื้อ ทั้งยังบอกให้คนอื่นใช้งานเธอให้หนักแบบนี้อีก
นิสัยไม่ดี ผู้ชายอะไร
“เห็นไหม? แค่นี้ก็ทำท่าไม่พอใจแล้ว ไม่เรียกว่าดื้อจะให้เรียกว่าอะไร”
กลายเป็นว่าสิ่งที่ณัฐรินีย์ทำเข้าทางสิงหาเสียอย่างนั้น เพราะผู้หญิงที่ชื่อพิมใจส่งสายตาเอ็นดูมาให้ เหมือนว่าเธอเป็นเด็กน้อยซนๆ คนหนึ่งก็ไม่ปาน...
“ได้จ้ะ เดี๋ยวกระแตจัดให้”
เสียงของเด็กสาวที่ชื่อกระแตทำให้ณัฐรินีย์ขนลุกซู่ ดวงตากลมโตมองมาที่เธอเหมือนเธอเคยไปทำอะไรไม่ดีให้หรือไม่ก็เคยโกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แบบนี้เธอคงไม่แคล้วต้องถูกแกล้งแน่นอน ถึงเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงปวกเปียกอ่อนแอ แต่ตอนนี้เธออยู่ในถิ่นของเขา ทำตัวยุ่งยากมากเข้าอาจจะโดนโยนลงทะเลไม่รู้ตัวเลยก็ได้
“เรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กอย่ายุ่ง”
“แม่อะ!”
“นายสิงห์จะให้ทำอะไรหรือ? ให้ไปทำงานกับนายสิงห์จะดีกว่าไหม?” พิมใจหาได้สนใจเสียงกระเง้ากระงอดของลูกสาวไม่ เธอหันไปพูดกับเจ้านายเพื่อช่วยเกลี่ยกล่อม หลานพี่ผ่องคนนี้ไม่เหมาะกับสวนแบบนี้หรอก “รูปร่างหน้าตาผิวพรรณแบบนี้น้าว่าพาไปนั่งทำงานกับนายสิงห์น่าจะเหมาะกว่า งานในสวนมันเหนื่อยเกินไปนะน้าว่า ดูสิ... ตัวหลานป้าผ่องแกเล็กนิดเดียวเอง”
“หืม?” สิงหาหันกลับไปมองคนที่ยืนปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา เขายกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความยียวนกระประสาทที่สุด “เธอทำงานแบบนี้ไม่ได้หรอกเหรอ?”
คำถามของสิงหาดูเผินๆ เหมือนแสดงความห่วงใย แต่เมื่อได้จ้องมองแววตาคู่คมนั้นณัฐรินีย์ก็ปัดความคิดที่ไม่มีทางเป็นไปได้ทิ้งไป เพราะสายตาคู่นั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากความดูแคลนและท้าทาย
คิดว่าเธอทำงานพวกนี้ไม่ได้หรือยังไง? ล้างคอกหมูเป็นสิบคอกเธอก็ทำมาแล้ว อย่ามาดูถูกกันเชียว
“เอ่อ... น้าพิม?” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ ณัฐรินีย์ถึงกล้าพูดต่อ “หนูนิดทำงานที่นี่ได้ค่ะ สบายมาก เห็นตัวเล็กแบบนี้แต่ไม่ได้อ้อนแอ้นทำอะไรไม่เป็นหรอกนะคะ”
“ตายแล้ว! น้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะลูก”
“หนูนิดไม่ได้ว่าน้าพิมเลยค่ะ แค่บอกไว้ คนแถวนี้จะได้ไม่เข้าใจผิด” ท่าทางที่เหมือนจะฟาดฟันกันของคนสองคนที่ต่างเพศ ต่างวัย และต่างส่วนสูงตกอยู่ในสายตาของพิมใจตั้งแต่ต้นจนจบ คนอายุมากกว่าส่ายหน้าไปมา เธอไม่เชื่อหรอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นหลานของพี่ผ่อง มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นที่นายสิงห์ไม่ต้องการให้เธอรู้แน่นอน
“ไม่ว่าก็ไม่ว่า ว่าแต่ชื่ออะไรนะจ๊ะ หนูนิดหรือ?”
“ใช่ค่ะ เรียกหนูนิดหรือนิดเฉยๆ ก็ได้”
“ชื่อน่ารักเชียว”
“ชื่อกระแตก็น่ารักนะแม่” เสียงแว๊ดๆ สวนขึ้นมาอีก จนคนเป็นแม่หน้าบูบี้เพราะความรำคาญใจ
กระแตเป็นลูกคนเดียว ตอนเกิดเด็กคนนี้ไม่แข็งแรงเอาเสียเลย เคยป่วยหนักจนหมอขอให้คนเป็นแม่ทำใจเอาไว้บ้าง แต่สุดท้ายปาฏิหาริย์ก็มีจริง รักษาตัวอยู่ราวสองเดือนกระแตก็กลับมาเป็นปกติ
เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ใครต่อใครรวมถึงพิมใจต่างพากันตามใจกระแต เธออยากได้อะไรถ้ามันไม่มากไปพิมใจก็หามาให้จนได้ อีกทั้งนายสิงห์เองก็เอ็นดูกระแตไม่ใช่น้อย ขึ้นฝั่งทีไรหอบข้าวของขึ้นมาให้ตลอดจนกระแตมันคิดไปเองว่านายสิงห์มีใจให้
เด็กหนอเด็ก
“งั้นก็มาเถอะจ้ะ เดี๋ยวน้าสอนนะ”
พิมใจจูงมือเล็กให้เดินตามไป ทิ้งให้กระแตอยู่กับสิงหาที่ยืนปักหลักอยู่ที่เดิม เธอไม่ได้สนใจว่าลูกสาวกับนายสิงห์จะเกินเลยกันเมื่อไม่มีเธออยู่ด้วย เพราะรู้ดีว่านายสิงห์มองกระแตเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอด
มีแต่ลูกสาวเธอนั่นแหละที่คิดไปไกลอยู่ฝ่ายเดียว จริงอยู่ที่สิงหาค่อนข้างสุภาพกับกระแตกว่าคนอื่นๆ แต่นั่นไม่ได้แปลว่านายสิงห์จะรู้สึกอะไรลึกซึ้งเหมือนอย่างที่กระแตต้องการ เธอก็ได้แต่ปรามไว้ไม่ให้กระแตหลงระเริงเกินไป เพราะวันใดวันหนึ่งถ้านายสิงห์มีนายหญิงขึ้นมาลูกสาวเธอจะได้ไม่ผิดหวังมาก
ยังไงกระแตก็เป็นลูก ถ้าลูกเสียใจแม่อย่างเธอคงเสียใจยิ่งกว่า
“ตระกร้านี้ใส่ส้มขนาดใหญ่ ส่วนอันนี้ใส่ขนาดกลาง แล้วก็อันนี้ใส่ขนาดเล็กนะจ๊ะ ถ้าลูกไหนถูกนกเจาะให้ใส่ตระกร้านี้ ส่วนถ้าถูกหนอนเจาะใส่กระสอบนี้นะ”
“แยกส้มไปทำไมเหรอคะ หรือจะเอาไปขายที่ฝั่ง?” ณัฐรินีย์เอ่ยถาม มือก็สาละวนไปกับการแยกผลไม้สีส้มที่มีจำนวนมากจนตาลายไปหมด
“เปล่าหรอกจ้ะ กินกันเองนี่แหละ แต่แยกไว้เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ชอบส้มลูกใหญ่ๆ อย่างนายสิงห์น่ะชอบส้มลูกไม่ใหญ่มาก เขาว่าหวานกว่าส้มลูกใหญ่แต่น้าว่ามันก็พอๆ กัน”
ณัฐรินีย์ลอบเบะปาก ไม่ว่าจะชวนใครคุยก็ไม่พ้นต้องมีชื่อนายสิงห์อยู่ในบทสนทนาเรื่อยไป “ทั้งหมู ทั้งส้ม เลี้ยงเองกินเองหมดไม่ได้ขายออก แล้วแบบนี้เอาเงินที่ไหนมาจับจ่ายล่ะคะ? จะว่าอยู่แบบไม่ใช้เงินเลยก็คงไม่ได้”
“ที่นี่เราไม่ได้ใช้เงินกันจริงๆ จ้ะหนูนิด บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ต้องจ่าย แต่ทุกคนมีเงินเก็บนะ ไว้ซื้อของเวลาขึ้นฝั่ง ซื้อเสื้อผ้าที่อยากใส่ แล้วก็ไว้ไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาวด้วย”
“ยิ่งพูดยิ่งงงนะคะ” ณัฐรนีย์เกาหัวแกรกๆ พิมใจยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดูหญิงสาวที่แม้จะทำหน้าตางุนงงอยู่แต่ก็สวยน่ารักเหลือเกิน
“ที่นี่เรา...”
“น้าพิม แยกส้มเสียไว้ทำอะไร?”
เสียงที่เอ่ยขัดขึ้นมากลางปล้องทำให้พิมใจลืมเสียสนิทว่าจะพูดอะไรไป เธอหันไปเอื้อนเอ่ยกับนายสิงห์ด้วยความภาคภูมิใจที่ได้นำเสนอ
“ทำเค้กส้มจ้ะ วันก่อนน้าดูคลิปทำเค้กส้มในยูทูปแล้วอยากลองทำดู เลยว่าจะเอาส้มที่ถูกนกเจาะไปทำ แยกกลีบที่ยังไม่ถูกเจาะก็ได้โขอยู่จ้ะ”
คำพูดของพิมใจไม่ได้มีอะไรผิดปกติหากคนอื่นมาได้ยิน แต่ไม่ใช่กับหญิงสาวมาใหม่ที่แสร้งก้มหน้าก้มตาแยกส้มไม่สนใจผู้ชายตัวใหญ่เหมือนยักษ์ที่ยืนจังก้าอยู่
ดูคลิปในยูทูป?!
หมายความว่าที่นี่อินเตอร์เน็ตเข้าถึงอย่างนั้นเหรอ?!
แค่วันเดียว เกาะนี้กลับสร้างความประหลาดให้เธอตั้งมากมาย เหมือนว่าที่นี่ไม่ได้เป็นแค่เกาะ แต่เป็นเมืองๆ หนึ่งที่ไม่ต่างอะไรจากกรุงเทพฯ หรือเมืองนิวยอร์กที่เธอจากมา แต่ถ้าเทียบความสงบแล้วต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว ที่นี่ผู้คนใช้ชีวิตเชื่องช้าและเรียบง่าย ต่างจากเมืองหลวงที่วุ่นวายและเร่งรีบ
“ถ้าอร่อยจะได้ส่งไปที่รีสอร์ทด้วยไงจ๊ะนายสิงห์”
รีสอร์ท?!
ครั้งนี้ณัฐรินีย์ไม่สามารถเก็บสีหน้าตกใจไว้ได้อีก เธอหันขวับกลับไปมองคนที่ยืนค้ำหัวอยู่อย่างรวดเร็ว และก็พบว่าเขาเองก็มองมาที่เธอเช่นเดียวกัน
“ส้มบางลูกถูกเจาะไปนิดเดียวเอง จะทิ้งก็เสียดายออกนะนายสิงห์”
“เอาเถอะ น้าพิมอยากทำอะไรก็ตามใจ แต่อย่าหักโหมเกินไปก็พอ”
“วางใจเถอะจ้ะ”
สิงหาพยักหน้ารับ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางฉุดกระชากคนตัวเล็กที่นั่งแยกส้มให้ลุกขึ้นกะทันหันจนเซ ส้มที่ยังค้างอยู่ในมือบางหลุดร่วงลงบนพื้นให้ได้บอบช้ำ แต่สิงหาไม่สนใจ
“เอ๊ะ! นายสิงห์ ทำอะไร?”
พิมใจตกใจจนตาโต เธอมองนายสิงห์ที่จู่ๆ ก็อารมณ์ร้ายขึ้นมาด้วยความกังวล นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายสิงห์มีอาการแบบนี้ แต่มันหายไปนานแล้ว น่าจะตั้งแต่ที่นายสิงห์กลับมาเดินได้ แต่ทำไมจู่ๆ วันนี้...
กระแตเองที่เคยอ้อล้อนายสิงห์ก็เริ่มถอยห่าง คนบนเกาะนี้รู้ดีว่านายสิงห์ยามปกติก็ดีใจหาย แต่ยามร้ายก็ไม่มีใครเอาอยู่ซักคนเดียวนอกจากปล่อยให้สงบลงไปเอง และสิงหาก็รู้ตัวเองดี ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาเกิดอาการฉุนเฉียวขึ้นมาก็ไม่คิดจะอยู่ใกล้ใคร แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป
มือใหญ่ที่แข็งแรงเหมือนคีมเหล็กบีบต้นแขนเล็กไว้แน่นจนมันเกือบจะแหลกสลาย เขาดึงรั้งร่างกายที่แสนบอบบางเข้าประชิดตัว ณัฐรินีย์เจ็บจนกัดปากตัวเองไว้แน่น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่มีเสียงร้องออกมาซักคำ
“นายสิงห์... ปล่อยก่อนเถอะนะ มีอะไรค่อยๆ พูดกันดีๆ” พิมใจเห็นท่าไม่ดีรีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็กลัวแสนกลัว... แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะคำพูดของเธอไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“โอ้ย!”
“นายสิงห์!”
“แม่! อย่าตามไป!” กระแตรีบเข้ามาดึงแม่ตัวเองไว้ เพราะพิมใจทำท่าเหมือนจะเดินตามนายสิงห์และผู้หญิงคนนั้นไปจริงๆ ถ้าเธอปล่อยแม่ไปตอนนี้ไม่แคล้วแม่ต้องเจ็บตัวเป็นแน่ “อย่าตามไปเลยนะแม่”
“แต่แม่เป็นห่วงหนูนิดเขา”
“ไม่เอา กระแตก็เป็นห่วงแม่เหมือนกัน”
คำพูดของลูกมีอิทธิพลกับคนเป็นแม่เสมอ พิมใจหยุดแรงที่ขัดขืนลง เธอไม่ดื้อรั้นวิ่งเข้ากองไฟในตอนที่ไฟกำลังโหมกระหน่ำอีกแล้ว แต่เธอก็ภาวนา...
...ภาวนาให้ไฟกองนั้นมอดดับลง ก่อนมันจะทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่องราวให้ต้องเจ็บปวดไปอีกคน