การได้เห็นสายน้ำทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเยอะ ยิ่งได้เห็นสีเขียว ยิ่งทำให้เธอสดชื่นขึ้นกว่าเดิม
“ขอบคุณนะคะ” ประโยคของเธอทำให้เขามองเธอนิ่ง
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็ยังเป็นลูกหนี้ของฉัน พี่ชายของเธอตายมันคือเรื่องจริงที่เธอต้องรับให้ได้ แต่สถานะทุกอย่างของเธอยังเหมือนเดิม”
เจ็บ!!! เธอรู้สึกเจ็บจุกเป็นที่สุดที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของเขา
ความคิดในคราแรกที่คิดว่าเขานั้นคงใจอ่อนสงสารเธอบ้างมันขาดสะบั้นลงในทันที
คนใจช้ำเบือนหน้าหนี รีบปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อโดนเขาจับข้อมือกระชากให้หมุนกายเข้าไปหา
“ว้าย! เฮียถิ่น!”
“กินอิ่มแล้วก็ควรที่จะทำงานใช้หนี้ ฉันเห็นว่าเธอผ่อนคลายแล้ว แสดงว่าอารมณ์ดีไม่เอาแต่นั่งอมทุกข์” ถิ่นจัดการตวัดร่างน้อยขึ้นสู่อ้อมแขน
คนปากร้ายเอาใจใครไม่เก่งไม่อยากยอมรับว่าเขานั้นปรารถนาเธอเป็นที่สุด ตลอดหลายวันที่เธอเอาแต่เศร้า เขาเข้าใจ แต่ในยามนี้เขาก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
แผ่นหลังของเธอถูกกดไปกับพื้นเตียงในบ้านพักริมน้ำตก เธอรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อมือหนาของเขาลูบไล้ท่อนล่างของเธอไม่หยุดหย่อน
เขาไล้ไปตามซอกขาด้านใน รวมถึงไล้ขึ้นไปยังสะโพกหนั่นแน่นของเธอ เสียงหอบหายใจของถิ่น บ่งบอกได้ถึงความปรารถนาที่รุกเร้ารุนแรง เขาต้องการเธอเดี๋ยวนี้และต้องได้เธอเดี๋ยวนี้ด้วย
ริมฝีปากร้อนผ่าวของเขากดจุมพิตริมฝีปากของเธออย่างดูดดื่ม มือหนาของเขาเลื่อนลูบไปตามสีข้างขึ้นมายังยอดปทุมถันเต่งตึง เขาใช้นิ้วโป้งบดบี้เบาๆ ยอดอกของเธอก็แข็งเป็นไต ร่างกายของเธอสั่นสะท้านยามที่เขาสัมผัสลูบไล้ และสิ่งที่เธอต้องทำในยามนี้ก็คือทำให้เขาพึงพอใจมากที่สุด
คนหมดสิ้นหนทางรู้สึกอดสูใจกับสถานะเมียบำเรอไร้ค่าอย่างที่สุด จะมีสักครั้งไหมที่เขาจะเห็นใจเธอบ้าง
แรงกระแทกจากร่างหนาหนักของเขาสอดรักเข้ามาเต็มๆ ลำ กายของเขาแข็งคึกฝากฝังเข้ามาอย่างไร้ความปรานี เธอร้องครวญครางไม่เป็นส่ำยามที่สะโพกสอบซอยเข้าซอยออกไม่หยุดหย่อน เขาโอบกอดแผ่นหลังเนียนละเอียดของเธอเอาไว้ ก่อนจะดันให้เธอขึ้นมานั่งบนตักแกร่ง
เธอหลุดเสียงร้องครางออกมาด้วยความรัญจวนใจ ในขณะที่เขาเร่งเร้าจังหวะรักให้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กายของเธอกับเขากระแทกกระทั้นเข้าหากันอย่างรุกเร้ารุนแรง และมันก็กำลังทำให้เธอสั่นระริกเพราะใกล้เสร็จสมอีกครั้งและอีกครั้ง
เธออาจจะเหมือนกับตุ๊กตายางไร้ค่าที่เขาจะพลิกคว่ำพลิกหงาย จัดท่าทางแบบไหนก็ได้ดั่งใจนึก
เสียงร้องไห้ของคนที่เขาได้ย่ำยีดังขึ้น ทำให้ถิ่นต้องผละออกห่าง มองหน้าของเธอนิ่งๆ
“เสียใจมากเหรอที่ต้องเสียตัวให้ฉันแบบนี้”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ”
“แล้วร้องไห้ทำไม”
“รวิแค่เสียใจที่ตัวเองดูไร้ค่า ต้องมาใช้หนี้ด้วยวิธีนี้ ถ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้ รวิคงทำไปแล้ว”
“งั้นหาวิธีนั้นมาก็แล้วกัน” ประโยคเชือดเฉือนของเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจเป็นแผลเหวอะหวะ ร่างกายชาหนึบไปหมด และเธอก็ต้องทนกับมันให้ได้ แม้ว่าใจช้ำๆ ของเธอนั้น จะเหมือนโดนเข็มทิ่มตำนับพันๆ เล่มก็ตามที
“หมดเวลาเสียใจของเธอแล้วรวิดา พี่ชายของเธอเลือกเส้นทางนี้เอง ถ้าเลือกที่จะพูดความจริงแต่แรก มีปัญหาอะไรฉันก็ช่วยเหลือเธอกับพี่ของเธอตลอด ทุกอย่างมันคงไม่เป็นแบบนี้”
“แล้วรวิผิดอะไรคะเฮียถิ่น” เธอเอ่ยถามเขาทั้งน้ำตา พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่เสียใจให้เขาได้เห็นอีก
“ผิดสิ ผิดที่เธอเกิดมาเป็นน้องสาวคนเดียวของได้ รวิกรไอ้คนทรยศยังไงล่ะ” ประโยคของเขาเจ็บจุกพอๆ กับความเฉยชาของเขา
ที่เขาทำดีกับเธอในคราแรกนั้นก็แค่อยากที่จะพาเธอมาที่นี่เท่านั้นเองรวิดา อย่าไปหลงเชื่อว่าเขาจะห่วงใยอะไรนักเลย
หญิงสาวบอกตัวเองในใจว่าไม่มีใครรัก เราก็ต้องรักตัวเอง คนที่จะอยู่กับเรา ทำให้เราเข็มแข็งก็คือตัวเราเอง คนเราเมื่อให้รู้สึกเกลียดกันไปแล้วก็คือเกลียด เธอคงไม่มีทางเอาชนะใจของถิ่นได้อีก
การแอบรักเขาควรจะเป็นความลับต่อไป จนตายจากกัน เพราะสำหรับเธอกับเขานั้น ชีวิตเหมือนเส้นขนาน
“สวัสดีครับยายตัวเล็ก” เสียงของถกลทำให้ร่างที่เดินตัวลีบเล็กเข้าไปในบ้านกับถิ่นต้องรีบเงยหน้าขึ้นมอง
“คิดถึงที่สุดเลย” ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงกอดตอบถกลไปเหมือนเคย แต่ในเวลานี้รวิดาได้แต่ตัวแข็งทื่อ ยิ่งเห็นแววตาของถิ่นเธอยิ่งเกร็ง รีบดันร่างของถกลออกห่างแทบจะทันที
“ไปไหนกันมาครับนี้” ถกลเอ่ยถาม ทำเหมือนไม่รู้เรื่องราวอะไรที่นี่ ทั้งๆ ที่เขาเองก็มีสายสืบเช่นกัน
“กลับมาเมื่อไหร่แล้วเจ้าตัวแสบ” ถิ่นเอ่ยถามน้องชายเสียงขรึม
“เมื่อตอนบ่ายครับ เฮียกลับมาซะค่ำมืดเลย ผมรอกินข้าวอยู่นะครับ หิวจนไส้แขวนแล้ว” ถกลลูบท้องของตัวเองไปมา
“แล้วทำไมไม่กินไปก่อน รอทำไม”
“อ้าว... ผมก็อยากกินข้าวกับคุณพี่ชายบ้างสิครับ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแน่ะ”
“แล้วเป็นยังไงบ้าง งานเรียบร้อยดีไหม” ถิ่นเอ่ยถามน้องชาย เดินนำไปที่โต๊ะอาหาร
“เรียบร้อยดีครับ” เมื่อได้คำตอบจากน้องชาย ถิ่นก็เลี่ยงไปล้างหน้าล้างตาและล้างไม้ล้างมือ ก่อนจะมานั่งรับประทานอาหารกับน้องชาย ในขณะที่รวิดากำลังจะเลี่ยงไปที่ห้องพักเล็กๆ ของเธอ แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้า เพราะเสียงเรียกของถกลดังขึ้นเสียก่อน
“จะไปไหนครับรวิ มากินข้าวกันก่อน” ประโยคของถกลดังขึ้น ในขณะที่วนิดาเดินมาสมทบที่โต๊ะอาหารพอดิบพอดี
วนิดานั้นสนิทกับถิ่น และเหมือนคนในครอบครัว เธอจึงมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับเจ้านายของมารดา
รวิดายืนเก้ๆ กังๆ ไม่กล้าเข้าไปนั่งรับประทานอาหารด้วย เพราะถิ่นไม่ได้ชวน แต่ถกลก็เดินมาดึงมือของเธอไปกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเขา
“เขาไม่อยากกินแล้วไปบังคับเขาทำไม” ถิ่นมองมือของถกลตาขวาง รู้สึกหวงแหนเด็กสาวตรงหน้าจับใจ ถ้าไม่ติดว่าเป็นถกลผู้เป็นน้องชาย เขาตะบันหน้าไปแล้ว
“ไม่อยากกินที่ไหนล่ะครับ ดูสิทำท่าหิวเสียขนาดนี้” ถกลไม่สนใจท่าทีของพี่ชายที่นั่งหน้ายักษ์อยู่ตรงหัวโต๊ะ เพราะหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็จะคุยเรื่องนี้กับพี่ชายให้รู้เรื่องเช่นกัน
“เฮียมีผู้ช่วยคนใหม่แล้วสิครับ”
“ใคร” เพราะมัวแต่สนใจใครอีกคน พอน้องชายพูดเช่นนั้นก็ทำเอาถิ่นเอ่ยถามอย่างงงๆ
ถกลนึกขำท่าทางของพี่ชายยิ่งนัก ทำให้ถิ่นตีหน้าขรึมใส่ในทันที
“ก็บัณฑิตจบใหม่ยังไงล่ะครับ” เขาบุ้ยใบ้ไปทางคนที่นั่งรับประทานอาหารอยู่อีกด้าน วนิดาทำหน้าเหลอหลาใส่เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะตกอยู่ในหัวข้อสนทนาได้
“นิดาเพิ่งเรียนจบ ก็ให้พักผ่อนไปก่อน”
“เด็กสมัยนี้เรียนจบกลับมาไม่รู้จะทำอะไรเป็นบ้างนะครับ” ถกลแกล้งแหย่ จึงได้รับสายตาเอาเรื่องจากวนิดากลับมา
“นิดาทำงานในไร่ได้ทุกอย่างค่ะ โดยเฉพาะสวมตะกร้อให้สุนัข”
“แค่กๆๆ” ถกลถึงกับสำลักกับประโยคเจ็บแสบของหญิงสาว
“ไร่เราไม่ได้ทำฟาร์มสุนัขนี่นิดา” ถิ่นก็พาซื่อ ทำเอาวนิดายิ้มกว้างในทันที
“เฮียครับ ผมว่าเราข้ามถึงสุนัขกันไปเถอะครับ” คนโดนพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที
“เฮียว่าให้นิดาไปเป็นผู้ช่วยนายน่าจะดีกว่า”
“แค่กๆๆ” รอบนี้คนที่สำลักเป็นวนิดาแทน ในขณะที่ถกลยิ้มกริ่ม
“ก็ดีนะครับ”
“ไม่ดีหรอก นิดาไม่อยากไปทำให้คุณกลวุ่นวาย” ถกลตะหงิดๆ ประโยคเรียกขานของคนตรงหน้านัก วนิดาเรียกถิ่นว่าเฮีย นับถือกันเป็นพี่ชาย แต่เรียกเขาว่าคุณกลเสียอย่างนั้น
“หรือทำอะไรไม่เป็นจริงเหมือนปากพูด ปากเก่งไปงั้น เลยไม่อยากไปทำงานกับฉัน” ถกลยั่วแหย่
“ฉันทำเป็นทุกอย่าง”
“อาฮะ”
“นี่คุณไม่เชื่อเหรอ”
“ไม่เชื่อ จนกว่าจะพิสูจน์”