เป็นสตรีที่น่าสนใจ

1994 คำ
แท้ที่จริงแล้วเฉินตงหยางหาได้เป็นปีศาจอย่างที่ถูกเล่าลือกัน ชายหนุ่มยังไม่ได้ทำอันใดด้วยซ้ำ สตรีเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่หวาดกลัวไปเอง เขาไม่ได้แสดงท่าทีคุกคาม หรือบังคับให้สตรีเหล่านั้นทำสิ่งใดในคืนเข้าหอ เขาไม่แม้นแต่ย่างกรายมาหาพวกนาง เป็นพวกนางเสียเองที่หวาดกลัวจนปลิดชีวิตตนเอง และหากจะให้บุรุษเช่นเขา เอ่ยปากอธิบายสิ่งเหล่านี้ต่อสาธารณชน ก็เป็นเรื่องที่ชายหนุ่มคิดว่าไม่จำเป็น นั่นจึงทำให้เขาถูกมองว่าเป็นปีศาจชั่วร้ายไปโดยปริยาย ทั้งสี่คนใช้เวลาสนทนาและเสวยอาหารร่วมกัน แต่ในขณะนั้นโจวลี่หลินสังเกตเห็นว่าเว่ยไทเฮาเสวยอาหารได้เพียงเล็กน้อย คล้ายกับรู้สึกไม่สบายพระวรกาย "ไทเฮาทรงประชวรหรือเพคะ" คำถามของโจวลี่หลินทำให้ทุกคนชะงักตะเกียบในมือ พร้อมกับจ้องมองมาที่นางเป็นตาเดียวด้วยความสงสัย เว่ยไทเฮาก็อดที่จะทอดมองนางไม่ได้เช่นกัน "เจ้ารู้ได้อย่างไร" "หม่อมฉันสังเกตว่า ในขณะที่พระองค์เสวยอาหารอยู่นั้น มีบ่อยครั้งที่มักจะถอนหายใจพร้อมกับคลึงขมับของพระองค์ไปด้วย" "เจ้าช่างเป็นสตรีที่รู้จักสังเกตผู้คนรอบข้างดีเหลือเกิน เป็นอย่างที่เจ้าว่า ระยะนี้อัยเจียมีอาการวิงเวียนตาลายบ่อยครั้ง จนทำให้เกิดความรู้สึกไม่สุขสบายอยู่บ้างอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ" "เหตุใดหมอหลวงถึงไม่ดูแลเรื่องนี้ ปล่อยให้เสด็จแม่ ทรงประชวรเช่นนี้ได้อย่างไร" เฉินไฮ่หมิงฮ่องเต้กล่าวตำหนิ ที่หมอหลวงทำหน้าที่บกพร่อง "โอสถที่หมอหลวงนำมาถวายให้ แม่ได้ลองไปหลายเทียบแล้ว บางครั้ง พวกเขาก็ดูแลฝังเข็มให้กับแม่ไปด้วยเช่นกัน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย นี่อาจจะเป็นอาการทั่วไปของคนที่มีอายุมากแล้ว เจ้าอย่าได้กังวลนัก" "ให้หม่อมฉันลองรักษาพระอาการประชวรนี้ให้กับพระองค์ดีหรือไม่" เพียงแค่โจวลี่หลินได้ฟัง ก็รู้ได้ในทันทีว่าอาการนี้เกิดจากสาเหตุใด "แม้แต่หมอหลวงยังไม่สามารถรักษาได้ เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด อย่าได้คิดประจบประแจงเสด็จแม่จนไม่ประเมินความสามารถของตนเอง" วาจาตำหนิของเฉินตงหยางดังขึ้นมา ทำให้บรรยากาศเกิดความตึงเครียดขึ้นในทันที "บางครั้งพระองค์จะมีอาการวิงเวียนพระเศียรในตอนเช้า หลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาหรือในขณะที่เคลื่อนไหวพระวรกายกระทันหัน อาการเหล่านี้มิได้เป็นอยู่ตลอดเวลา แต่จะเกิดขึ้นเป็นบางครั้ง และบางเวลาพระองค์ยังมีอาการหน้ามืดคล้ายกับทรงตัวไม่อยู่ด้วยใช่หรือไม่เพคะ…!?" โจวลี่หลินไม่เพียงไม่สนใจคำสบประมาทนั้น นางยังเอ่ยคำถามเหล่านี้ออกไปด้วยความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง "เจ้ารู้ได้อย่างไร…" เว่ยไทเฮาแสดงพระพักตร์เหลือเชื่อ พระนางทอดมองดวงหน้าของโจวลี่หลินอย่างต้องการถาม "เพราะอาการเหล่านี้ เป็นอาการปกติทั่วไปของผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงผิดปกติ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเสวยอาหารบางอย่างสะสมเป็นเวลานานเพคะ" "ความดันโลหิตสูงคืออันใด อัยเจียไม่เห็นเคยได้ยินโรคนี้มาก่อน" โจวลี่หลินเข้าใจดีว่าในยุคสมัยนี้ผู้คนยังไม่เข้าใจถึงภาวะความดันโลหิตสูงเท่าใดนัก นางจึงคิดว่าจำเป็นต้องอธิบายถึงความเป็นมาของโรคนี้ให้ละเอียดมากขึ้น หญิงสาวร้องขอให้นางกำนัลนำกระดาษและพู่กันมาให้กับตนเอง หญิงสาวอธิบายตั้งแต่อวัยวะภายใน และการทำงานแต่ละอย่างๆละเอียด คล้ายกับว่าผู้สูงศักดิ์ทั้งสามได้ยินในเรื่องที่แปลกประหลาด แต่เมื่อได้เห็นท่าทีที่ดูมั่นอกมั่นใจและน่าเชื่อถือของนางแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกคล้อยตาม "เจ้าเป็นสตรีในห้องหอ เหตุใดถึงสามารถรู้เรื่องราวที่แม้นแต่หมอหลวงยังไม่สามารถรู้ได้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร" เป็นเฉินตงหยางที่ยังคงกังขาเกี่ยวกับการอธิบายของนาง โจวลี่หลินจ้องมองใบหน้าคมเข้มของเขาพร้อมกับแสยะยิ้มที่มุมปาก "เพราะหม่อมฉันเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน ความรู้เหล่านี้ก็เคยอ่านมาจากหนังสือของชาวโพ้นทะเล ที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดนำมามอบให้ ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ของหม่อมฉันหมดไปกับการเรียนรู้เกี่ยวกับตำราแปลกประหลาดพวกนี้ ดังนั้นความสามารถในเรื่องของสตรีที่ควรมี จึงมิเคยได้ฝึกฝน แต่กลับมีความสามารถในเรื่องที่สตรีอื่นมิค่อยนิยมกัน" "งั้นเปิ่นหวางขอดูหนังสือของชาวโพ้นทะเลที่เจ้าว่าเป็นบุญตาดูสักครั้งดีหรือไม่" "ถูกท่านพ่อเผาทำลายไปหมดแล้ว" นางจะมีหนังสือเหล่านั้นได้อย่างไร ในเมื่อความรู้พวกนั้นเป็นความรู้เก่าที่ติดตัวมาจากยุคสมัยใหม่ ที่นางเคยเรียนรู้มาทั้งสิ้น ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงคำกล่าวอ้าง ซึ่งไม่มีหลักฐานใด และแน่นอนว่าทุกอย่างที่นางกล่าวมา ย่อมไม่มีหลักฐานพิสูจน์ให้พวกเขาสามารถเชื่อได้ เฉินตงหยางแสดงสีหน้าดูถูก "งั้นก็เป็นเพียงคำกล่าวอ้าง ที่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ เมื่อรู้อย่างนี้จะกล้านำมาพูดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและเสด็จแม่ ช่างเป็นสตรีที่ไม่กลัวตายเสียจริงๆ" "ในเมื่อยังไม่ได้ลองด้วยซ้ำ แล้วจะรู้อย่างไรว่าไม่ได้ผล ทุกอย่างที่หม่อมฉันกราบทูล ล้วนแล้วแต่เป็นความจริง หากพระองค์ไม่ทรงเชื่อก็สุดแล้วแต่ หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าจะหาคำอธิบายใดเช่นกัน" หญิงสาวไม่ชอบใจเลยสักนิด ที่ถูกดูถูกด้วยถ้อยคำเหล่านั้น นั่นจึงทำให้นางเผลอตอบกลับเฉินตงหยางออกไปอย่างลืมตัว เว่ยไทเฮาและเฉินไฮ่หมิงฮ่องเต้ลอบยิ้มให้แก่กัน ถึงแม้นแต่ละประโยคของเฉินตงหยางนั้น เป็นการหาเรื่องโจวลี่หลินอย่างชัดเจน แต่ทั้งสองพระองค์รู้ดีว่า โดยปกติแล้วเฉินตงหยางไม่แม้นแต่จะเสียเวลาต่อปากต่อคำกับสตรีคนใด เขาเพียงทอดมองสตรีเหล่านั้นด้วยความน่ารำคาญ แต่แปลกที่ครั้งนี้เขายอมโต้เถียงไปมากับนางอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย มันต้องเป็นสัญญาณที่ดีอย่างแน่นอน "พอแล้ว แม่คิดว่าที่ชายาเจ้าพูดมา ก็ดูมีเหตุผล ลองดูก็ไม่เสียหาย ซึ่งมันก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ แค่เพียงแม่ งดอาหารบางอย่าง และลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น ดีกว่าอุดอู้อยู่แต่ในตำหนักแห่งนี้ หากมันจะช่วยให้อาการของแม่ดีขึ้น แม่คิดว่าจะลองดู เทียบยาก็แสนจะธรรมดา หาได้ง่ายๆทั่วไป ซึ่งแม่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันจะนำมาใช้รักษาอาการของแม่ได้ด้วยซ้ำ" โจวลี่หลินได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มจนถึงดวงตาให้กับเว่ยไทเฮา หลังจากนั้นพวกเขาก็สนทนากันอีกหลายเรื่อง เฉินตงหยางและโจวลี่หลินจึงได้ขอตัวกลับตำหนักของตนเอง ซึ่งในตอนนั้นก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เฉินตงหยางที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด เขาเลือกที่จะนั่งกลับมาในรถม้าคันเดียวกันกับนาง ซึ่งแน่นอนว่าบรรยากาศภายในรถม้าเต็มไปด้วยความเงียบ มีบางครั้งที่เขาลอบมองดวงหน้าของนาง คล้ายกับกำลังพิจารณาบางอย่างอยู่ ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำทำให้การมองเห็นไม่ได้ชัดเจนเท่าใดนัก คล้ายกับในวันนั้น 'ช่างเหมือนนัก ยิ่งน้ำเสียงเช่นนี้ ยิ่งมีความคล้ายคลึงกันจนยากจะแยกออก' โจวลี่หลินที่รู้ว่าเฉินตงหยางกำลังลอบพิจารณาดวงหน้าของตนเองอยู่ นางก็ได้แต่สงวนท่าทีเอาไว้ให้ดูนิ่งสงบมากที่สุด เพื่อไม่ให้แสดงพิรุธอันใดออกไป นั่นจึงทำให้ตลอดระยะทางนางนั่งตัวเกร็ง จนแทบไม่กล้าขยับกาย เมื่อเดินทางมาถึงยังตำหนัก เฉินตงหยางที่เดินลงมาจากรถม้า ก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่าหญิงสาวมิได้เดินตามตนเองลงมาด้วย "เจ้าจะรอให้ข้าเข้าไปอุ้มเจ้าลงมาหรืออย่างไร" โจวลี่หลินเม้มริมฝีปากแน่น ใครว่านางไม่อยากจะลงไปเล่า แต่ตอนนี้นางเป็นตะคริวจนไม่สามารถขยับกายได้ต่างหาก "ท่านอ๋องเสด็จเข้าตำหนักไปก่อนหม่อมฉันเลยเพคะ" เฉินตงหยางขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงไม่เดินลงมาจากรถม้าเสียที ถึงแม้จะรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่ชายหนุ่มก็ยอมที่จะเดินกลับขึ้นไปบนรถม้าอีกครั้ง เมื่อเขาเปิดม่านรถม้าออก จึงพบว่าตอนนี้หญิงสาวกำลังนั่งนวดขาให้กับตนเอง ใบหน้าแสดงความเจ็บปวด เหงื่อผุดพรายขึ้นที่ขมับทั้งสองข้าง "โง่เง่า" ถึงแม้นเขาจะก่นด่านางออกไปเช่นนั้น แต่มือทั้งสองข้างก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มใช้สองแขนช้อนร่างของโจวลี่หลินขึ้นมาแนบอก จากการกระทำอันอุกอาจนี้ทำให้นางหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ "ท่านอ๋องจะทำสิ่งใดเพคะ" "เจ้าโง่หรืออย่างไร นั่งไม่ขยับกายจนเป็นตะคริว ข้าไม่คาดคิดว่าจะได้สตรีที่โง่เขลาเช่นนี้มาเป็นชายา ดูเหมือนว่า นอกจากใบหน้าที่งดงามแล้ว เจ้าคงไม่มีสิ่งใดให้น่าชื่นชมอีก" นี่เขากำลังด่านางว่าโง่อยู่ใช่หรือไม่ โจวลี่หลินได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ข่มความไม่พอใจนั้นกลับไป ถึงนางจะรู้สึกไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะด่าเขากลับไปหรอกนะ อย่างน้อยๆเขาก็ยังชมว่านางมีใบหน้าที่งดงามใช่หรือไม่ 'สวยแต่โง่' คำนี้นางไม่เคยคิดเลยว่าจะประสบพบเจอกับตนเอง เฉินตงหยางเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความไม่พอใจของนาง กลับรู้สึกพอใจอย่างแปลกประหลาด 'สตรีผู้นี้มีความกล้าไม่น้อย' "เจ้าไม่กลัวข้าหรือ" เฉินตงหยางมองสบเข้าไปในดวงตาของนาง "อย่าคิดว่าเพียงผ่านคืนแรกของการแต่งงานมาได้แล้ว เจ้าจะไม่มีชะตากรรมที่เหมือนกับชายาคนก่อนๆ" คำขู่ของเขาไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับโจวลี่หลินเลยแม้แต่น้อย นางสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้หาได้เป็นคนอำมหิตเลือดเย็น สังหารสตรีได้อย่างไร้เหตุผลถึงเพียงนั้น เมื่อไม่มีความรู้สึกหวาดกลัว ดวงตาของนางตอนนี้จึงจ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรงเช่นกัน "แล้วหม่อมฉันต้องทำเช่นใด ถึงจะมีชีวิตยืนยาวในตำหนักแห่งนี้" เฉินตงหยางไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำถาม และการแสดงออกเช่นนี้ของนาง เขาจึงได้เผลอจ้องเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวเนิ่นนาน คล้ายกับกำลังหาความจริงบางอย่างในนั้น หลี่กงกงและข้ารับใช้ที่ออกมาต้อนรับคนทั้งคู่ได้แต่ก้มหน้าหงุด แต่ก็ลอบยิ้มอย่างยินดีไปด้วย เฉินตงหยางอุ้มร่างบางของโจวลี่หลินเข้าไปยังตำหนักของนางอย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด โดยปกติแล้วชายาคนก่อนๆ แค่เพียงได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา พวกนางก็หวาดกลัวจนตัวสั่น ชายหนุ่มเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่านางจะมีความกล้ามากเพียงใด…
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม