เมื่อเห็นว่าแสงอรุณสาดส่องกระทบดวงตา โจวลี่หลินจึงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเช้าแล้ว นางจึงได้รีบผุดลุกขึ้นมาจากเตียง พร้อมกับสำรวจทั่วเรือนกายของตนเอง
"นี่ข้ายังมีชีวิตอยู่ยังไม่ตายหรือนี่"
เมื่อนางเงยหน้ามองขึ้นไปยังกับดักที่ตนเองได้ทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ก็พบว่ามันยังอยู่ดี 'แสดงว่าเขาไม่ได้เข้ามาสินะ' หรือว่าเขากำลังรู้สึกละอายที่ชายาคนใดแต่งเข้ามาก็ล้วนแล้วแต่ตกตายไปในคืนเข้าหอวันแรกแทบทั้งสิ้น หญิงสาวเกิดคำถามมากมายในใจ หรือเพราะฉายานี้ ทำให้เขาปล่อยนางไปอย่างนั้นหรือ…ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ดี การที่ตนยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้ ก็เป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่หรือ
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านใน นางกำนัลที่อยู่ด้านนอกจึงได้เปิดประตูเข้ามา โจวลี่หลินรีบเก็บกับดักของตนเองกลับไป โดยที่ไม่ให้ผู้ใดได้ทันสังเกต วันนี้นางจะต้องเข้าวังหลวงเพื่อยกน้ำชาให้กับไทเฮา เมื่อคิดได้ว่าตนเองต้องทำสิ่งใด นางจึงได้ลุกขึ้นมาจัดการตนเอง โดยที่มีสาวใช้คอยให้การช่วยเหลือ โจวลี่หลินลุกขึ้นมารับสำรับอย่างเงียบๆเพียงลำพัง โดยไม่แม้แต่จะถามถึงความเป็นอยู่ของผู้เป็นพระสวามีแต่อย่างใด นางถามเพียงว่า "ท่านอ๋องจะเข้าวังหลวงพร้อมกันกับข้าหรือไม่"
"เรื่องนั้นท่านอ๋องได้รับสั่งไว้ว่า ให้พระชายา เข้าไปยังวังหลวงได้เลย ท่านอ๋องจะเสด็จตามไปในภายหลัง"
โจวลี่หลินพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เมื่อจัดการตนเองเรียบร้อยแล้ว นางก็ได้ขึ้นรถม้าของวังอ๋องเข้าไปยังวังหลวง เพียงนางเดินออกมาจากตำหนักเมฆา ผู้คนที่ต้องการสอดรู้สอดเห็น ก็ล้วนแล้วแต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าพระชายาที่เพิ่งตกแต่งเข้ามาเมื่อคืนนี้ยังมีชีวิตอยู่ดี
แน่นอนว่าการที่นางยังมีลมหายใจอยู่ ย่อมถูกกล่าวถึงไปทั่วทั้งเมืองหลวง โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่นาน เรื่องนี้ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่ว แม้แต่สวามีของนางตอนนี้ก็ยังอดเอ่ยถามหลี่กงกงไม่ได้เช่นกัน
"นี่นางยังไม่ตายหรอกหรือ" ในขณะที่เขากลับเข้ามา หลังจากที่ไปจัดการธุระของตนเองแล้วเสร็จ แล้วพบว่าภายในตำหนักเมฆายังคงประดับไปด้วยผ้าสีแดงบริเวณหน้าตำหนัก แทนที่จะถูกตกแต่งด้วยผ้าสีขาว อย่างเช่นทุกครั้ง ชินอ๋องเฉินตงหยางถึงกับเอ่ยถามหลี่กงกงด้วยความสงสัย
"ไม่เพียงพระชายายังมีชีวิตอยู่ดี แต่ตอนนี้นางยังกำลังเสวยอาหารของตนเอง ด้วยใบหน้าที่ดูอิ่มเอิบ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนนี้พระชายาจะนอนหลับได้อย่างสนิทโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ"
"แม้นจะทราบข่าวลือเหล่านั้นแล้ว ยังสามารถกินอิ่มนอนหลับได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสนใจจริงๆ นางได้ถามสิ่งใดถึงเปิ่นหวางหรือไม่"
"พระชายาเพียงต้องการทราบว่าท่านอ๋องจะเสด็จเข้าวังหลวงพร้อมกันเลยหรือไม่"
"งั้นก็จงไปบอกนางว่าเปิ่นหวางจะตามไปในภายหลัง"
เฉินตงหยางทอดมอง รถม้าของวังเมฆาวิ่งออกไปไกลด้วยสายตาที่ลุ่มลึก
"สืบประวัติของนางแล้วพบสิ่งใดผิดปกติหรือไม่"
"ดูเหมือนว่าคุณหนูจวนอันหนิงกั๋วกงผู้นี้ จะมิได้เป็นคนของตระกูลใด ที่ต้องการจะส่งมาสืบความลับของท่านอ๋อง อย่างเช่นชายาคนก่อนๆ นางเป็นเพียงสตรีในห้องหอ ที่ไม่ใคร่จะได้รับความรัก ความเมตตาจากผู้เป็นบิดาเท่าใดนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อันหนิงกั๋วกงส่งนางมาแทนบุตรสาวคนโตที่เป็นบุตรสาวคนโปรดของเขา"
"ช่างเป็นบิดาที่มีความลำเอียงโดยแท้ รู้ทั้งรู้ว่าอาจจะต้องส่งบุตรสาวมาตาย แต่กลับไม่ลังเลสักนิดที่จะส่งนางมา ดูเหมือนว่าชีวิตในจวนขุนนางสูงศักดิ์ผู้นี้จะไม่ได้ดีเท่าที่ควร"
"มีเรื่องใดที่เปิ่นหวางต้องรู้เกี่ยวกับนางอีกหรือไม่"
"ดูเหมือนนางจะมีคนรักที่รักกันมาก"
"ใคร…!?"
"แม่ทัพหม่าอี้เหยียน"
เมื่อได้ฟังชื่อแซ่ของบุรุษคนรักของนางแล้ว ดวงตาของเขาก็ดูลุ่มลึกมากขึ้น
"ดูเหมือนว่าเปิ่นหวางจะเป็นผู้แยกคู่ยวนยางอย่างไม่ตั้งใจเสียแล้ว"
โจวลี่หลินถูกพามายังตำหนักของไทเฮา ที่มีความรโหฐานงดงามเป็นอย่างมาก เพียงร่างบอบบางของหญิงสาวปรากฏขึ้น ไทเฮาก็คอยจับจ้องทุกกิริยาของนางอย่างทุกย่างก้าว
"ถวายพระพรไทเฮาเพคะ"
"ลุกขึ้นเถิดอย่าได้มากพิธี"
ไทเฮาตรัสกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งแน่นอนว่าเรื่องที่พวกเขายังไม่ทันได้เข้าหอกันนั้นพระนางทรงทราบดี แต่สำหรับพระนางแล้ว แค่เพียงสตรีผู้นี้สามารถมีชีวิตผ่านพ้นคืนวันเข้าหอได้ ก็นับว่าดีแล้ว ถือว่านางมีความกล้ามากกว่าสตรีคนอื่นๆ และเพียงเท่านี้ชื่อเสียงที่ไม่ดีก่อนหน้าของโอรสพระนาง ก็จะเป็นไปในทางที่ดี ใช่ว่าพระนางจะไม่ทราบถึงเหตุผลที่ชายาคนก่อนๆ ตกตายไปด้วยเหตุอันใด
หากสตรีเหล่านั้นมีความกล้าสักนิด ก็คงไม่ต้องมาจบชีวิตลง เพราะเพียงแค่เรื่องหวาดกลัว ที่ถูกเล่าลือปากต่อกันอย่างแน่นอน ในตอนแรกสตรีที่ถูกให้ตกแต่งเข้าไปล้วนเป็นคนของผู้ไม่หวังดี ที่หวังจะส่งคนของตนเองเข้าไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของเฉินตงหยาง พระโอรสของพระนางเมื่อถูกจับได้ เขาจึงไม่รีรอที่จะสังหารพวกนางเสียแต่เนิ่นๆ แต่ชายาคนต่อๆมา กลับถูกเล่าขานกันไปในเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่น้อย ทำให้พวกนางหวาดกลัว เพียงแต่แต่งเข้าไปคืนแรก ก็ใช้ผ้าขาวผูกคอปลิดชีวิตตนเองทิ้งเสียอย่างนั้น ซึ่งนั่นช่างเป็นเรื่องที่เศร้าใจสำหรับพระนางเป็นอย่างมาก และพระนางก็หวังเป็นอย่างมากว่า จะมีสตรีที่มีความกล้าพอที่จะใช้ชีวิตอยู่กับพระโอรสของพระนางสักคน
และดูเหมือนว่าสตรีผู้นี้จะเป็นความหวังของพระนางโดยแท้ เพราะใบหน้าที่อวบอิ่ม มิได้แสดงถึงการอดหลับอดนอน จากความหวาดกลัวในคืนเข้าหอ หาได้ปรากฏขึ้นบนดวงหน้างดงามนี้
"เจ้าที่ได้ตกแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้หลวงแล้ว ก็อย่าได้หวาดกลัวไปกับข่าวลือที่พวกเขาลือกัน อัยเจียรับรองว่าชินอ๋องมิใช่บุรุษเลวร้ายอย่างเช่นที่ข่าวลือถูกเล่าต่อๆกันมาแต่อย่างใด"
"เพคะ หม่อมฉันจะพยายามเรียนรู้ท่านอ๋องให้มาก"
"ดีมาก เจ้าขยับมาใกล้ให้อัยเจียได้มองหน้าเจ้าชัดๆเถิด"
โจวลี่หลินขยับเข้าไปใกล้เว่ยไทเฮามากขึ้น เมื่อนางได้ยกน้ำชาเป็นการคารวะเว่ยไทเฮาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระนางก็ได้มอบปิ่นหยกที่ถูกสั่งทำขึ้นมาพิเศษให้กับนาง โจวลี่หลินมองของสิ่งนั้นด้วยความหลงใหล สตรีย่อมต้องชมชอบกับเครื่องประดับที่มีความงดงามเป็นธรรมดา นางกล่าวขอบคุณเว่ยไทเฮาพร้อมกับสนทนากันอีกหลายประโยค แต่ในจังหวะนั้น ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ได้เดินเข้ามาภายในตำหนักแห่งนี้ บทสนทนาของทั้งคู่จึงได้หยุดลง โจวลี่หลินหันมาทำความเคารพผู้มาใหม่ด้วยความนอบน้อม
"น้องสะใภ้ไม่ต้องมากพิธี ดูเถิดว่าชายาของเจ้างดงามมากเพียงใด" ฮ่องเต้หันไปตรัสประโยคนี้กับเฉินตงหยาง ที่เดินตามหลังมา นั่นจึงทำให้โจวลี่หลินเงยหน้าขึ้นไปทอดมองเขา และก็เป็นจังหวะที่ทั้งคู่ได้สบสายตากัน นางได้เห็นใบหน้าของพระสวามีเป็นครั้งแรก และตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังทอดมองมาที่นางคล้ายกับตกตะลึงกับเรื่องบางอย่างอยู่ ตัวนางเองก็มีอาการตกตะลึงไม่ต่างกัน เพราะบุรุษที่นางตกแต่งให้เขาผู้นี้ แท้ที่จริงแล้วคือคนๆเดียวกันกับบุรุษแปลกหน้าที่นางเคยช่วยเหลือเขาเอาไว้ในครานั้น
'แย่แล้ว เขาจะจำนางได้หรือไม่…!!!'
หากเขาจดจำนางได้แน่นอนว่าครั้งนี้ นางจะต้องถูกลงโทษในข้อหาปลอมตัวมาเป็นชายาของเขา และแน่นอนว่านางจะไม่มีทางยอมรับโดยเด็ดขาด เพราะความผิดในข้อหานี้มีเพียงตายสถานเดียว
ส่วนเฉินตงหยางนั้น แค่เพียงได้ยินน้ำเสียงของนาง ก็อยู่ในอาการตกตะลึงไปแล้ว 'เหตุใดถึงได้คุ้นเคยนัก'
"ข้ากับเจ้าเคยพบเจอกันมาก่อนหรือไม่"
เขากล่าวถามนางในทันที แต่แววตาและท่าทีของโจวลี่หลินนั้นยังคงนิ่งสงบ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับในใจตอนนี้ ที่มันกำลังเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัว
'นั่นไงเขาจะต้องจดจำข้าได้แน่ๆ' หญิงสาวข่มความกังวลของตนเองลง หากไม่ยอมรับเสียอย่าง แม้นแต่คนในจวนอันหนิงกั๋วกงยังไม่สามารถจับพิรุธใดได้ บุรุษผู้นี้แค่เพียงพบเจอกันไม่นาน จะสามารถรู้ได้อย่างไรว่านางไม่ใช่ตัวจริง
"หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีในห้องหอ จะเคยพบบุรุษอย่างพระองค์ได้เช่นไร"
"ชินอ๋องเจ้าจะใช้มุกนี้ เพื่อเกี้ยวพาชายาของตนเองหรืออย่างไร"
"เกี้ยวพาอันใด ฝ่าบาทอย่าได้ทรงตรัสวาจาไร้แก่นสาร"
เมื่อถูกพระอนุชาตำหนิ เฉินไฮ่หมิงฮ่องเต้ หาได้รู้สึกโกรธเคือง พระองค์ยังคงพระสรวลออกมาอย่างพอพระทัย เมื่อสักครู่นี้พระองค์เห็นชัดเจนว่าเฉินตงหยางเสียกริยา แค่เพียงได้เห็นดวงหน้าของชายาตนเอง นี่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่ทั้งคู่จะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ให้มีความรู้สึกดีต่อกันมากขึ้น อีกไม่นานเกรงว่าพระองค์คงจะได้อุ้มหลานสมใจแล้ว
เว่ยไทเฮาเองก็สังเกตเห็นไม่ต่างกัน เมื่อคิดได้ว่าพระองค์ควรที่จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้มีความสนิทสนมกันเร็วยิ่งขึ้นจึงไม่รอช้า
"หยางหยางแม่อยากได้หนังสือสอนหญิง ที่เก็บเอาไว้ในห้องหนังสือ เจ้าและชายาช่วยไปหยิบมาให้แม่ที"
เฉินตงหยางเหลือบมองพระมารดาเล็กน้อย แต่คราวนี้เขาต้องทำให้เว่ยไทเฮา ต้องแปลกพระทัยจริงๆ เมื่อชายหนุ่มมิได้ปฏิเสธ พร้อมกับลุกขึ้นยืนรอชายาของตนเอง ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปยังห้องหนังสือ
เมื่อเฉินตงหยางเดินนำนางมาถึงยังห้องหนังสือแล้ว เขาก็ได้เดินเข้ามาประชิดตัวหญิงสาว พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ดวงหน้าของนาง โจวลี่หลินรีบก้าวถอยหลัง ด้วยความหวาดกลัว นางรีบหลบสายตาของเขา
"แน่ใจหรือว่าพวกเราไม่เคยพบเจอกันมาก่อน" น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความคุกคาม ทำให้โจวลี่หลินเหงื่อเปียกชุ่มไปทั่วแผ่นหลัง
นางพยายามตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะตอบเขาออกไป "เท่าที่หม่อมฉันจำได้ คิดว่าพวกเราไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะเคยพบกันโดยบังเอิญ ในตอนที่หม่อมฉันไปเดินตลาด หรือพบเจอกันในเมืองหลวงนี้ก็เป็นได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องจึงรู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลาว่าอาจจะเคยพบเจอหม่อมฉัน"
เมื่อเฉินตงหยางไม่เห็นความผิดปกติใดในแววตานั้น เขาจึงได้เก็บความสงสัยกลับไป
'อาจจะเป็นอย่างที่นางกล่าวมาก็ได้ อาจจะเพราะช่วงนี้เขากำลังคิดถึงสตรีผู้นั้นมากจนเกินไป เมื่อเห็นใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกัน ก็ทึกทักไปว่านางคือสตรีผู้ที่เขาเฝ้าตามหาอยู่ ชีวิตนี้เขาหวังเพียงแค่อยากจะตอบแทนสตรีผู้นั้นสักครั้ง'