เช้าของวัน ญาณิญนอนกกกอดคะนึงนิจแนบแน่นอยู่บนโซฟาด้วยความหลงไหล เมื่อคืนกว่าเรื่องรักใคร่ของพวกเธอจะจบลงก็ปาไปเกือบจะสว่างราวกับคะนึงนิจเป็นสาวแรกรุ่น ไม่ใช่คนที่กำลังตั้งครรภ์
"ว้าย! ตายแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย" เสียงทักดังขึ้น ทำให้สองสาวที่หลับไหลเริ่มรู้สึกตัวตื่น
"ยัยนิด ทำไมทำบัดสีแบบนี้ นี่มันในห้องรับแขกนะ" เสียงต่อว่าดังชัดขึ้นจนคนที่งัวเงียเริ่มจะตาสว่าง
"เห้ย! ซวยแล้ว"
"คุณแม่! "
ต่างคนต่างผลุดลุกขึ้นนั่งติดกัน ทั้งยังแย่งกันดึงผ้าห่มผืนบางผืนเดียวมาปกคลุมร่างกายอันเปลือยเปล่าของกันและกัน
"ทำไมคุณแม่มาอยู่ที่นี่ได้คะ อีกสามวันกว่าจะถึงกำหนดกลับไม่ใช่เหรอคะ" ทั้งอายคนแม่และโกรธตัวเองที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวขนาดนี้
"ถ้าฉันรอให้ครบกำหนด คงจะไม่รู้ว่าแกพายัยนี่มาทำเรื่องบัดสีในบ้านของฉัน"
"คุณแม่.. คือหนู"
"ไปแต่งตัวซะ แล้วมาคุยกับฉัน"
ก็เสื้อผ้าที่หล่นเกลื่อนกราดไปทั่ว ราวกับเกิดสงคราม ทำให้คนที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่ตกใจ คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับลูกสาว แต่เมื่อมาเห็นลูกสาวนอนกอดกันกลมกับญาณิญก็ยิ่งแทบจะเป็นลม ทั้งอาย และโกรธที่ลูกสาวไม่ไว้หน้ากัน
หลังจากทั้งคู่แต่งกายเรียบร้อยก็พากันมาขอขมาผู้ใหญ่ตามตั้งใจ
"ใหญ่ขอโทษค่ะ ที่ไม่ยับยั้งช่างใจปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ต่อไปใหญ่จะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกค่ะ"
"แล้วแกล่ะยัยนิด คิดจะพูดอะไรกับฉันมั้ย"
นั่นเพราะที่ผ่านมาลูกสาวเอาแต่หนีและปฏิเสธญาณิญมาตลอด แต่คราวนี้คะนึงนิจดันยอมให้คนที่บอกว่าเกลียดนักเกลียดหน้าเข้ามาทำเรื่องผิดผีกันถึงในบ้าน
"หนู.. ขอโทษค่ะคุณแม่" เธอพูดออกมาเท่านี้
"ใหญ่ยังยืนยันนะคะ ว่าอยากจะรับผิดชอบเรื่องที่ผ่านมา รวมถึงครั้งนี้ด้วย" เมื่อคะนึงนิจไม่เอ่ยอะไรออกมา ญาณิญจึงต้องแสดงความต้องการของตนเองออกมาอีกครั้ง
"ฉันก็อยากให้ใครสักคนมารับผิดชอบลูกสาวฉัน" คนแม่เอ่ยกับญาณิญอย่างที่ใจคิด เพราะไม่อยากให้ลูกสาวท้องโย้แบบไร้ซึ่งคนรับผิดชอบ แถมครอบครัวเธอยังมีหน้ามีตาทางสังคม หากข่าวนี้รั่วไหลออกไปคงจะอับอายไปถึงวงศ์ตระกูล
"แต่เรื่องนี้แกต้องตัดสินใจเอง" รอบนี้หันไปถามความคิดเห็นของคะนึงนิจอีกครั้ง
"คุณนิดคะ แต่งงานกับฉันเถอะ" ญาณิญอยากจะมัดมือชกคนข้างกาย จึงต้องโพล่งออกมาก่อน
คะนึงนิจเองเมื่อถูกกดดันจากทั้งคนแม่และญาณิญ เธอก็เริ่มไม่เป็นตัวเอง จากที่ยืนยันเสียงแข็งมาตลอดกลับต้องเปลี่ยนใจ อย่างน้อยเรื่องท้องไม่มีพ่อคงจะตัดประเด็นนี้ไป
"อืม แต่งก็แต่ง"
กลับมาปัจจุบัน
คะนึงนิจตื่นจากการหลับไหลด้วยเนื้อตัวที่เจ็บระบม มองออกไปด้านนอกผ้าม่านตอนนี้แดดจ้า และคนที่ร่วมรักกับเธอทั้งคืนก็หายจากเตียง
คะนึงนิจถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยเวลานี้ก็ไม่ต้องพบเจอญาณิญ
เธอเดินลงมาจากห้องนอน ก็ไม่พบร่างของญาณิญ
"บอกว่าไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับฉันนานแล้ว แต่ตอนนี้คุณก็หายไป" คะนึงนิจเอ่ยกับตัวเอง
คำพูดที่ออกจากปากญาณิญคงจะเชื่อถืออะไรไม่ได้เลยสินะ ทั้งที่หล่อนเอาลูกสาวไปฝากไว้ให้แม่เธอเลี้ยงแท้ๆ เพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน แต่ตอนนี้ดันหนีหาย ไม่เห็นแม้แต่เงา
คะนึงนิจเป็นแบบนี้หลายครั้ง คือมักจะใจอ่อนทุกรอบที่ญาณิญมาทำดีด้วย โดยหลงลืมความร้ายกาจก่อนหน้าที่หล่อนเคยทำไว้
เธอยอมเปิดใจให้ญาณิญเพราะใจอ่อนให้กับความพยายาม แรกๆ ก็ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปญาณิญก็เริ่มเผยธาตุแท้ จนเธอคิดแยกทางในทุกเมื่อเชื่อวัน
จากที่ตั้งใจจะอยู่ในบ้านไม่ออกไปทำงานตามที่ญาณิญสั่งก็ต้องเปลี่ยนใจ เธออยู่บ้านติดต่อกันหลายวันไม่ได้ เพราะห่วงงาน
พารินมาหยุดยืนอยู่หน้าโรงแรมสุดหรูตามนามบัตรของคะนึงนิจ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในอย่างเก้ๆ กังๆ
"มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ" เสียงนี้จากปากของพนักงาน
"เอ่อ คือ.. หนูมาหาคุณคะนึงนิจค่ะ"
พนักงานทำหน้าฉงน พร้อมมองดูพารินตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็เพราะไม่คิดว่าคนตรงหน้าที่เสื้อผ้ากระเซอะกระเซิงแถมด้วยชุดทำงานส่งอาหาร จะมาหาระดับผู้บริหารสูงสุด
"นัดไว้เหรอคะ หรือคุณคะนึงนิจสั่งอาหาร"
"อ่อ นี่ค่ะ" พารินจึงหยิบนามบัตรในกระเป๋าและส่งให้พนักงานดู
"เลขาคุณคะนึงนิดก็ได้ค่ะ หนูชื่อพาริน"
"งั้นรอเดี๋ยวนะคะ" พนักงานคนเดิมพูดก่อนจะเดินไปยกหูโทรศัพท์
ระหว่างนั้นพารินก็กอดกระชับถุงข้าวต้มมัดที่เพิ่งจะทำเสร็จแบบหมาดๆ อย่างภูมิใจ
พารินทำตามที่ยายเนียมสั่ง นั่นคือการนำของอร่อยจากที่บ้านมาฝาก แม้จะผ่านเลยมาหลายวัน แต่ความตั้งใจของพารินก็ไม่ลดละ
"เดี๋ยวนั่งรอที่ห้องรับรองก่อนนะคะ เลขาคุณคะนึงนิจกำลังลงมา"
"ค่ะ ขอบคุณค่ะ" ตอบรับแค่นั้นก่อนจะเดินไปที่ห้องรับรองตามที่พนักงานคนเดิมบอก
รอไม่นานก็มีเสียงทักทาย "น้องพารินรึเปล่าคะ"
"ใช่ค่ะ" พูดพลางลุกขึ้นยืน
"พี่ชื่อวินะคะ น้องมาเพราะเรื่องงานใช่มั้ย" เพราะคะนึงนิจฝากเรื่องไว้แล้ว เธอจึงถามออกไปในทันที
"เปล่าค่ะ หนูเอาของมาฝากคุณคะนึงนิจ" พูดพร้อมส่งถุงข้าวต้มมัดให้
เลขาคนสนิทไม่ได้ยื่นมือไปรับในทันที "คุณคะนึงนิจลาไม่มีกำหนดน่ะ"
"โห.." นั่นเธอคงไม่มีโอกาสได้เจอคะนึงนิจอีกแล้ว เพราะไม่มีเวลาเทียวมาหาได้ตลอด
"มาเสียเที่ยวแล้วล่ะ"
"งั้น พี่เอาไปกินนะคะ" ทั้งเสียดายและเสียเที่ยว แต่ทำอะไรไม่ได้
"ค่ะ ขอบคุณนะ"
พารินเดินคอตกออกจากโรงแรม ปลายทางคือมอเตอร์ไซค์คันเก่าของตนเองที่เพิ่งจะไปรับคืนมา
"น้อง น้องริน"
"พี่สาว! "
พารินยิ้มกว้างแบบไม่ปิดบังทันทีที่ได้เจอหน้าคะนึงนิจอีกครั้ง
ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ในสวนดอกไม้ของโรงแรมด้วยกัน
"พี่บอกเลขาแล้วว่าอย่าเพิ่งกินข้าวต้มมัดของน้อง"
"คิดว่าจะไม่ได้เจอพี่สาวอีกแล้วนะคะ เพราะเลขาบอกว่าพี่สาวลาไม่มีกำหนด"
"ไม่แล้วล่ะ อยากมาหาพี่ก็มาได้ตลอดนะ"
"ค่ะ อ้อ.. หนูไปเอามอเตอร์ไซค์แล้วนะคะ ทำสีใหม่ซะจำแทบไม่ได้เลย"
"แล้วชอบมั้ยล่ะ"
"ชอบค่ะ"
คะนึงนิจจึงระบายยิ้มออกมาน้อยๆ ด้วยความพอใจ
"ไปเที่ยวมาเหรอคะ"
"หืม"
"ก็ที่ลาไงคะ"
เธอชะงักไปเพียงนิดก่อนจะตอบปัดออกมา "เปล่าหรอก แค่อยากพักผ่อนน่ะ"
"เป็นผู้บริหารก็คงเครียดน่าดูใช่มั้ยคะ"
"ใช่ ต้องรับผิดชอบทั้งธุรกิจและพนักงานหลายร้อยชีวิต"
"อยากลองเป็นพนักงานส่งอาหารมั้ยคะ น่าจะเครียดน้อยกว่าพี่สาวเยอะเลย"
"ว่าไงนะ"
"ไปลองส่งอาหารด้วยกันมั้ยคะ"
"เอ่อ.." คะนึงนิจดูคิดหนักกับคำชวนนี้ ก็คนตรงหน้าเอ่ยชวนแบบไม่เกรงใจหน้าที่การงานและเสื้อผ้าที่สวมใส่เอาเสียเลย
"ลองเปลี่ยนบรรยากาศไงคะ พี่สาวรออยู่ตรงนี้นะคะ" พูดจบก็ลุกขึ้นยืนและวิ่งหายไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมจักรยานยนต์คันเก่าทำใหม่เสียจนแปลกตา
พารินเดินกลับมาหาคะนึงนิจพร้อมกับรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดตา ก่อนจะนั่งยองๆ ลงตรงหน้าคะนึงนิจ
"จะทำอะไร" ที่ถามเพราะพารินกำลังจับที่รองเท้าส้นสูงของเธอไว้อยู่
"ก็ถ้าจะไปด้วยกัน หนูแนะนำให้เปลี่ยนรองเท้าค่ะ จะได้สบายเท้าขึ้น"
ไม่ได้ตอบตกลงสักคำ แต่สาวน้อยตรงหน้าดันมัดมือชกกันเสียอย่างงั้น
"รองเท้าใหม่ค่ะ หนูยังไม่เคยใส่ รับรองสะอาด" เพราะกลัวว่าคะนึงนิจจะรังเกียจรองเท้าของตนเอง
"หรือว่าห่วงงานคะ"
"ใช่" นี่คงเป็นคำตอบที่ดูจะซอฟท์ที่สุด ดูดีกว่าการบอกว่าไม่อยากนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์
"พี่สาวเป็นหัวหน้านี่คะ ลาอีกวันไม่ได้เหรอ ใช้อำนาจหน่อยสิ"
"ใช้อำนาจหนีงานไปนั่งมอเตอร์ไซค์เนี่ยน่ะเหรอ"
"ใช่ค่ะ" ตอบอย่างหนักแน่นก่อนจะคว้าถอดรองเท้าของคะนึงนิจออก และจับเท้าหล่อนสวมลงที่รองเท้าผ้าใบของตนเองทันที และช่วยจัดการมัดเชือกรองเท้าให้อย่างเบามือ และตามด้วยอีกข้าง จนเรียบร้อยดี
"ไปค่ะ ไปกัน" พูดพลางลุกขึ้นยืน มืออีกข้างก็ถือรองเท้าของส้นสูงของคะนึงนิจไว้
"พี่ไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์"
"ทุกคนต้องเคยมีครั้งแรกค่ะพี่สาว"
ญาณิญนั่งอ่านรายงานอยู่ภายในสำนักงานทนายความเอกชนที่ตนเองทำงาน เพราะมีงานด่วนจึงออกจากบ้านมาในยามเช้า โดยไม่ได้ร่ำลาคะนึงนิจ
"มีลูกความมาขอพบครับ" หนุ่มน้อยเด็กฝึกงานเอ่ยกับญาณิญอย่างกล้าๆ กลัวๆ นั่นเพราะเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของเจ้านาย
"วันนี้ฉันไม่มีนัดพบลูกความ ไล่ไปให้หมด"
"ต แต่ว่า คุณภุชงค์ให้ผมพาขึ้นมา"
"งั้นก็ไปบอกคุณภุชงค์ว่านี่มันเป็นเวลาพักร้อนของฉัน ไม่รับทำคดี"
เขายังไม่ขยับตัวออกห่างจากหน้าประตู
"ไปสิ! ยืนทำอะไรอยู่ได้"
"ค ครับคุณใหญ่"
คดีที่เธอกำลังจะว่าความหลังจากหมดพักร้อนเป็นคดีใหญ่ และมีผลต่อหน้าตาทางสังคมและทางการเงิน ดังนั้นเธอจึงต้องหาข้อมูลและศึกษาทุกช่องโหว่เพื่อให้ฝ่ายตัวเองชนะ และรวมไปถึงไม่ขอรับงานว่าความเพิ่มในระหว่างนี้
'ครืด ครืดด' เสียงโทรศัพท์เรียกความไม่พอใจให้ญาณิญอีกครั้ง แถมปลายสายคือแม่ตนเอง ยิ่งทวีคูณความรำคาญ ญาณิญกดตัดสายและปิดเครื่องหนีทันที
หากแม่โทรหาเธอในเวลานี้ มีเรื่องเดียวคือเรื่องเงิน ญาณิญเพียงอยากจะดัดนิสัยแม่ผู้ชอบไถเงิน จึงตัดขาดการติดต่อในทุกช่องทาง
'ก๊อก ก๊อก' ไม่ทันที่จะวางใจจากการรบกวนของแม่ ก็มีอีกเสียงมากวนการทำงาน
เพียงครู่ประตูก็ถูกเปิดออก นั่นคือภุชงค์ เจ้าของสำนักงานทนายความ
"ฉันบอกไปแล้วไง ว่าอยู่ในช่วงพักร้อน ไม่รับงาน"
"งานนี้มีลูกค้าประจำขอมาและต้องเป็นคุณเท่านั้น"
"เริ่มต้นสามแสนเพื่อว่าความ ห้าแสนเพื่อชนะ ถ้าตกลงก็เริ่มงานได้อีกสามวัน" เธอบอกหน้าตายนี่เป็นเรทราคาของตนเองที่ท่องได้ขึ้นใจ
ว่าความกับญาณิญ ถ้าคุณกระเป๋าหนัก รับประกันว่าคุณต้องชนะ
"งานช่วย"
"ฉันไม่ใช่ทนายอาสา อยากได้คนแบบนั้นก็ไปหาเอาที่อื่น หรือไม่ก็ให้คนอื่นทำ"
"โธ่! คุณใหญ่ เห็นแก่ผมสักครั้งนะ" เขาเป็นเจ้าของก็จริง แต่ไม่เคยบังคับญาณิญได้เลยสักครั้ง เพราะเกรงกลัวใบหน้าดุๆ ทั้งกลัวความเก่งกาจในการทำงาน หรือเรียกได้ว่าญาณิญค่อนข้างจะมีอิทธิพลในวงการนี้
"ฉันต้องกินต้องใช้ มีครอบครัวต้องเลี้ยงดู ไม่ทำงานให้ใครฟรีๆ "
ญาณิญเริ่มวางปากกา และกอดอกเชิดหน้าเหมือนอย่างที่เคยทำ ท่าทางแบบนี้แหละที่ใครๆ ก็ต่างหมั่นไส้
"ฉันมีทางเลือกให้สองทาง หนึ่งเงิน สองทนายอาสา" ญาณิญส่งนามบัตรที่ตัวเองรวบรวมไว้เป็นตั้ง ให้กับภุชงค์หนึ่งใบ
"ข้อมูลพื้นฐานแบบนี้ คุณเป็นถึงเจ้าของสำนักงานน่าจะคิดเองได้" ญาณิญกำชับบอกอีกอย่างไม่ไว้หน้า
"ออกไปได้แล้วค่ะ ฉันกำลังทำคดีสำคัญหลายล้าน ถ้ายังอยากมีเงินไว้จ่ายค่าจ้างให้พนักงานก็อย่ากวน"
หมดคำพูด ภุชงค์จำต้องเดินหน้าสลดห่างออกมา แต่ก่อนจะก้าวออกจากห้อง
"ฉันขอกาแฟดำแก้วนึงด้วยค่ะ"
ภุชงค์ได้แต่กำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ เพราะญาณิญไม่เคยให้เกียรติและไม่ไว้หน้าเขาเลยสักครั้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะญาณิญคือตัวทำเงินของที่นี่ และสำนักงานนี้โด่งดังเป็นที่รู้จัก ก็มาจากญาณิญล้วนๆ
คะนึงนิจกอดรัดเอวพารินแน่นเพราะรู้สึกหวาดเสียวที่ขาและหัวเข่า กลัวว่าพารินจะพาเธอไปขูดรถหรือข้างทาง แม้การขับขี่ของสาวน้อยจะไม่ได้เร็วจี๋
"ไม่ต้องกลัวค่ะพี่สาว หนูจะไม่ขับเร็ว"
"อะไรนะ" เพราะลมที่พัดมาทำให้คะนึงนิจได้ยินไม่ชัดจนต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้
"หนูจะไม่ขับเร็วค่ะ ไม่ต้องกลัว"
"อื้ม"
วันนี้พารินเลือกรับงานส่งอาหารที่ไม่ต้องรอนาน เพื่อไม่อยากให้แขกที่พามาด้วยเบื่อและรำคาญ เพียงแค่ทำงานเพราะอยากให้คะนึงนิจรู้สึกสนุกไปด้วยก็แค่นั้น
"นี่ค่ะ" พารินชูแก้วน้ำให้คนข้างๆ ได้ดู
ตอนนี้พวกเธอสองคนจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ในสวนสาธารณะ และพากันไปนั่งบนพื้นหญ้าหน้าบ่อน้ำใหญ่
"น้ำอะไร"
"น้ำอ้อยค่ะ ส่วนนี่น้ำตาลสด ลองชิมมั้ยคะ"
คะนึงนิดดูจะลังเลเพียงน้อย
"งั้นเอาน้ำตาลสด" ก็เพราะรู้สึกกระหาย จึงไม่อยากจะเรื่องมากในตอนนี้ เธอดูดรอบแรกแค่เพียงชิม แต่สักพักก็ดูดต่อจนเกือบหมด
"อร่อยใช่มั้ยคะ"
"อืม ชื่นใจดี"
"ลองน้ำอ้อยมั้ยคะ"
"พอแล้ว เดี๋ยวจุก"
"แล้ว.. อยากกลับหรือยังคะ"
คะนึงนิจจึงหันไปหาสาวน้อยข้างกาย "ยัง"
"แล้ว ชอบมั้ยคะ วันนี้"
"ก็งงๆ ดี ไม่รู้ว่าพี่ยอมโดดขึ้นรถน้องมาได้ยังไง"
"เพราะพี่ใจง่ายไงค่ะ" แซวออกมาทีเล่นทีจริง นั่นทำให้คะนึงนิจเผลอหัวเราะออกมา
ก่อนจะจริงจังถามคนข้างๆ "ค่าส่งไม่กี่บาทเอง ทำแล้วได้กำไรเหรอ"
"ถ้าขยันๆ วันนึงก็ได้เกือบพันเลยนะคะ"
"แล้ววันนี้ล่ะ ได้เท่าไหร่"
"แหะๆ น่าจะได้ สี่ร้อยกว่าบาทค่ะ"
"เพราะเอาแต่พาพี่ขับรถเล่นน่ะสิ"
"แล้วพี่สาวหายเครียดมั้ยล่ะคะ"
"อืม หายสิ"
"งั้นวันนี้ก็ได้กำไรแล้วล่ะค่ะ"
คะนึงนิจเผลอยิ้มออกมากำคำพูดของสาวน้อยตรงหน้า "วันหลังให้พี่เลี้ยงขนมนะ พรุ่งนี้ก็ได้ มาเจอพี่ที่โรงแรมตอนห้าโมง"
"ได้ค่ะ แต่พี่สาวอย่าลืมกินข้ามต้มมัดของยายเนียมนะ นั่นน่ะของดีในเมืองไทย"
"ขนาดนั้นเลยเหรอ"
"ต้องลองเองค่ะจะได้รู้ว่าหนูไม่ได้โม้"
ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คนหนึ่งได้รับความสบายใจ เหมือนหลงลืมเรื่องทุกข์ใจของตนเองไป นั่นคือคะนึงนิจ เพื่อนใหม่คนนี้ของเธอ ทำให้กลับมามีเสียงหัวเราะอีกครั้ง
และกว่าพารินจะมาส่งคะนึงนิจที่หน้าโรงแรมก็เกือบค่ำ
"พรุ่งนี้เจอกันนะ" คะนึงนิจบอกสาวน้อยที่คร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์
"ค่ะ เอ๊ะ!" ตอบรับก่อนจะส่งเสียงหลงออกมา
"มีอะไร"
"ที่คอพี่สาวเป็นอะไรคะ" เพราะเพิ่งจะเห็นรอยแดงเป็นจ้ำที่คอของคะนึงนิจ
คะนึงนิจรีบยกมือขึ้นมาลูบปิดทันที
"คงแมลงกัด" ก่อนหน้าเธอปิดบังรอยที่ญาณิญฝากไว้ด้วยผ้าพันคอ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกอึดอัดจึงเผลอดึงมันออก พารินจึงได้เห็น
"เป็นเพราะหนูแน่เลย" บอกแค่นั้นก่อนจะดับเครื่องและเปิดเบาะรถตัวเอง หยิบหลอดยาทาแก้แมลงกัดต่อย เพื่อจะช่วยเหลือพี่สาวคนสวย
"นี่ค่ะ ทาเองได้มั้ยคะ" ส่งหลอดยาให้พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
"ได้สิ แค่นี้เอง" คะนึงนิจตัดบทบอกเพราะไม่อยากจะสนใจรอยนี้นัก และส่งมือไปรับหลอดยาจากพาริน
"นี่ก็ฟ้ามืดแล้ว รีบกลับเถอะ"
"อ๋อ ค่ะ ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะคะ" พารินบอกก่อนจะเดินถอยหลังห่างไปคร่อมมอเตอร์ไซค์ดังเดิม
"อย่าลืมทายานะคะ" พร้อมช่วยกำชับ
คะนึงนิจเพียงพยักหน้าให้อย่างรับรู้ และมองดูพารินขับรถจักยานยนต์ห่างออกไปจนลับตา
วันนี้พารินขาดทุน เพราะวิ่งงานไม่ได้เป้า ดังนั้นคืนนี้ก็ต้องตระเวนทำงานจนมืดค่ำเพื่อชดเชยเวลาที่เถลไถลไปทั้งวัน
แต่การเถลไถลวันนี้ก็ทำให้พารินยิ้มแป้นไม่หุบ พราะมีความสุขที่ได้เจอกับคะนึงนิจ
ญาณิญเดินออกจากสำนักงานในช่วงค่ำ ก่อนจะสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดนักศึกษา ยืนหันหลังให้เธอ เพียงครู่หล่อนก็หันมาเผชิญหน้ากัน ก่อนที่สาวสวยในชุดนักศึกษาจะวิ่งตรงมาทางเธอด้วยสีหน้าและแววตาดีใจ
"สวัสดีค่ะ ทนายญาณิญใช่มั้ยคะ"
"ใช่ค่ะ" ตอบพร้อมลอบสำรวจใบหน้า ทรวดทรง และร่างกายคนตรงหน้า
"หนูชื่อดารันนะคะ หนูมีเรื่องอยากให้ช่วยค่ะ"
"เหอะ ถ้าเป็นเรื่องคดีความ ติดต่อในสำนักงานได้เลย" มาแบบนี้ เธอรู้ดีว่าคนตรงหน้าต้องการสิ่งใด
"ติดต่อแล้วค่ะ แต่คุณทนายปฏิเสธ"
"อ๋อ เธอคือคนเมื่อกลางวันเหรอ"
"ค่ะ"
"งั้นก็เคลียร์แล้วนี่ ไม่มีอะไรต้องพูดกัน แต่เดี๋ยวจะหาว่าฉันใจร้าย" พูดก่อนจะส่งนามบัตรทนายอาสาให้
"หนูไปมาแล้วค่ะ แต่ไม่มีใครรับทำคดีให้เลย แต่ถ้าเป็นคุณทนายญาณิญคงจะช่วยหนูได้"
"งั้นก็บอกมา ว่าใครเป็นคนแนะนำ"
"ค คือ.."
"ถ้าบอกฉันอาจจะเก็บไปคิดดู"
"อาจารย์จิรดาค่ะ"
"งั้น.. พรุ่งนี้มาฝากเรื่องไว้ที่สำนักงาน ถ้าฉันว่างจะเข้ามาดูให้"
"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ "
ไม่ใช่เพราะเห็นแก่น้องสาว แต่เพราะอยากจะรักษาหน้าตัวเองต่อคนรอบข้างของคนในครอบครัว
ทันทีที่เข้ามานั่งในรถ เธอก็ต่อสายถึงจิรดาทันที
"ส่งเด็กที่ไหนมา คิดว่าฉันเป็นพวกใจดีมีเมตตาหรือไง" เมื่อปลายสายรับก็พ่นคำต่อว่าทันที
"ฉันแค่ขอความช่วยเหลือ"
"บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับงานของฉัน ฉันไม่ใช่แม่ชีเทเรซ่า คราวหน้าคราวหลังถ้าเธอยังเอาชื่อฉันไปแอบอ้างอีก ฉันจะบอกแม่ให้จัดการกับเธอ"
"ถ้าพี่ไม่อยากช่วยก็ปฏิเสธไปสิ ทำไมต้องบอกลูกศิษย์ของฉันว่าจะช่วย"
"แล้วใครบอกว่าฉันจะไม่ช่วย ฉันต้องรักษาหน้าตัวเอง และไม่อยากจะหักหน้าเธอ เลยต้องแกล้งทำเป็นใจดี"
"งั้นก็ขอบคุณ"
"เด็กคนนั้นเป็นแค่ลูกศิษย์จริงรึเปล่า"
"ถามแบบนี้หมายความว่ายังไง"
"ทุกทีไม่เคยส่งลูกศิษย์มาหาฉัน แต่ครั้งนี้.."
"แค่นี้นะ! ฉันมีธุระต้องทำ"
สายถูกตัดไปทันที ญาณิญมีลางสังหรณ์เสมอ และครั้งนี้คงจะคาดเดาไม่ผิดแน่ คิดแบบนั้นก็เริ่มรู้สึกสนุก ก็เด็กคนนั้นน่าตาน่ารักจนไม่อาจวางตาได้ แล้วจะปล่อยไปให้จิรดาได้อย่างไร
แม้ญาณิญจะเก่ง ฉลาด และเหนือกว่าน้องสาวทุกอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้จิรดาขยับมาเทียบเท่าตัวเธอ จึงจะต้องสะกัดดาวรุ่งไว้เสียแต่เนิ่นๆ
ประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับถูกเปิดออก
"คิวยาวมากเลยค่ะ รันรอตั้งนาน" เอ่ยบอกจิรดาที่ติดเครื่องรอไว้อยู่
"รีบขึ้นมาเถอะ" เพราะยังคุกรุ่นกับคำพูดคำจาของพี่สาว จึงเผลอดุดารัน
"ค่ะๆ ได้ค่ะ"
ทันทีที่ดารันเข้ามานั่งเรียบร้อยดีแล้ว จิรดาก็เปลี่ยนเส้นทางการเดินรถ
"จะไปส่งรันที่บ้านแล้วเหรอคะ"
"ใช่ พี่มีธุระ"
"อ๋อค่ะ" พยักหน้าเข้าใจ พร้อมแอบลอบมองคนขับ หล่อนคงจะมีเรื่องหงุดหงิดใจ ดารันจึงได้แต่เงียบ
"คุยกับทนายแล้วเป็นยังไง"
"คุณทนายจะช่วยทำคดีให้ค่ะ พรุ่งนี้รันต้องมาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง"
"แค่นั้นเหรอ"
"คุณทนายถามว่าใครแนะนำมา รันเลยจำเป็นต้องบอกชื่อพี่ค่ะ เพราะไม่งั้นคุณทนายจะไม่ช่วย"
"แสดงว่าเพราะชื่อพี่ คุณทนายถึงยอมช่วย" รอบนี้จิรดาไม่ได้มีท่าทางดุดารันเหมือนในทีแรก แถมยังพูดจาหยอกล้อคนข้างๆ
"ใช่ค่ะ เพราะพี่ คุณทนายเลยยอมช่วย" ได้ทีเสริมอย่างประจบประแจง
จิรดาเลือกที่จะเก็บความลับเรื่องที่ญาณิญเป็นพี่สาวไว้กับตัว ไม่ได้บอกแม้แต่กับดารันที่เธอแนะนำให้มาขอความช่วยเหลือ
หลายครั้งที่ญาณิญสั่งห้ามไม่ให้เที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าเป็นญาติกัน เพราะไม่อยากให้เธอมาเกาะกระแส นี่คือความคิดของพี่สาว
ซึ่งจิรดาเองก็ไม่คิดจะเอาชื่อญาณิญมาอ้างต่อใครๆ อยู่แล้ว