ตอนที่ 4

4085 คำ
ก่อนจะเข้าบ้านคะนึงนิจแวะไปหาคนเป็นแม่เพื่อเยี่ยมลูกสาวตัวเล็ก ตั้งใจจะพากลับบ้านด้วยกันในวันนี้ แต่ลูกสาวดันหลับปุ๋ย เธอจึงจำต้องฝากไว้ที่บ้านคนแม่อีกหนึ่งคืน กลายเป็นว่าค่ำคืนนี้เธอจะต้องอยู่ลำพังกับญาณิญ ก็อย่างน้อยหากมีลูกอยู่ด้วยญาณิญก็ดูเกรงใจและลดความสนใจจากเธอลงบ้าง "แกกับยัยคุณทนายมีปัญหาอะไรกันอีกรึเปล่า" "ทำไมถึงถามแบบนั้นคะ" "เห็นทำหน้าหงอยทุกครั้งที่เอาหลานมาฝาก" "เค้าก็ทำแบบนี้ประจำนี่คะ แม่ยังไม่ชินอีกเหรอ" "อะไรของแกสองคน ทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้ " "ก็เค้า.." กำลังจะโพล่งบอกคนแม่ถึงเรื่องที่กำลังหนักอกหนักใจเพราะญาณิณ แต่ก็เปลี่ยนเป็นเงียบแทน "ช่างหนูเถอะค่ะ เค้าเอาลูกมาฝากก็ดีไม่ใช่เหรอคะ แม่จะได้เลี้ยงหลาน" คะนึงนิจรู้ดีว่าคนแม่รักหลานมากแค่ไหน ดังนั้น ไม่ว่าเธอหรือญาณิญจะเอาลูกสาวมาฝากเลี้ยง คนแม่ก็จะอ้าแขนรับตลอด "จะฝากฉันไว้จนโตเลยก็ได้นะ ถ้าแกยังไม่หายงอนผัว" "แม่คะ! " แว้ดใส่คนตรงหน้าเสียงหลง เพราะรู้ดีว่าคำพูดของคนแม่มาจากการกระแนะกระแหน "แต่ฉันว่า คืนนี้ถ้าแกกลับบ้านไป เดี๋ยวก็คงดีกันแล้วล่ะ" คะนึงนิจเปิดประตูเข้าบ้าน เวลาก็เกือบจะเที่ยงคืน แต่ก่อนจะปิดประตูเธอก็เหลือบไปเห็นปอร์เช่สีขาวจอดอยู่ในโรงรถ นั่นคงจะเป็นของญาณิญ หล่อนมักถอยรถหรูคันใหม่เสมอๆ เพราะหน้าที่การงานที่ทำเงินได้มหาศาล คะนึงนิจไม่ได้สนใจและไม่อยากรู้เรื่องงานของญาณิญ เพราะหล่อนดูจะจริงจังเสมอจนไม่กล้าเข้าใกล้ จึงเลือกทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เธอก้าวเดินขึ้นชั้นสองของบ้าน สังเกตเห็นแสงไฟจากห้องทำงานของญาณิญที่ยังคงเปิดอยู่ คะนึงนิจจึงเปลี่ยนจุดหมายจากห้องนอนเป็นเคาท์เตอร์บาร์เล็กๆ หยิบผลไม้เมืองหนาวออกจากตู้เย็น จัดการหั่นใส่จาน และตามด้วยนมอุ่นๆ ที่เพิ่งจะเสร็จ ทั้งหมดนี้คือของโปรดของญาณิญ คะนึงนิจวางทุกอย่างใส่ถาด และเดินตรงไปที่ห้องทำงานของญาณิญ คนเป็นภรรยาไม่จำเป็นต้องเคาะประตู และไม่ต้องพูดจามากความ เธอวางมันไว้บนโต๊ะทำงานของญาณิญข้างกองเอกสารที่วางเกลื่อน โดยไม่สนเจ้าของห้องที่กำลังก้มหน้าตั้งใจทำงาน เธอทำแบบนี้ให้ญาณิญทุกครั้งที่เห็นว่าหล่อนทำงานดึกดื่น อย่างน้อยก็ไม่อยากบกพร่องในหน้าที่ภรรยา ไร้คำพูดจา คะนึงนิจกำลังจะเดินออกจากห้อง มือคว้าที่ลูกบิด "ทำไมไม่ใช้คนขับรถ" ญาณิญเริ่มชวนคุยก่อน ก็กลัวว่าหากไม่รีบพูดขึ้นมา คะนึงนิจจะหนีหลับไปก่อน "คนขับรถของคุณ ที่ขับรถเหมือนจะพาฉันไปตายน่ะเหรอ" คนพูดพูดออกมาโดยไม่หันไปมองหน้าคนถามด้วยซ้ำ เธอยืนหันหลังให้ญาณิญตรงหน้าประตู และเพราะไม่เคยเห็นด้วยกับการรับอาสาของญาณิญ พวกเธอจึงมักจะทะเลาะกันเรื่องนี้ คะนึงนิจจึงหงุดหงิดใจทุกครั้งที่ญาณิญเริ่มพูดเหมือนจะหาเรื่องตอนที่เธอขับรถเอง "งั้นฉันจะหาให้ใหม่" "ฉันขับเองได้ และมันก็สะดวก" รอบนี้คะนึงนิจยอมหมุนตัวไปเจรจากับเจ้าของห้องที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน "แต่คุณชอบหลับใน ฉันเป็นห่วง" คะนึงนิจเพียงถอนหายใจออกมายาวๆ อย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันหน้าหนี และเดินออกจากห้องไป วันนี้ดึกมากแล้ว เธออยากจะพักผ่อน ไม่อยากต้องมาทะเลาะหรือถกเถียงในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพราะคะนึงนิจรู้ดีว่าญาณิญไม่ได้ห่วงเธออย่างเดียวตามที่พูด หล่อนไม่ไว้วางใจ และอยากจะจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของเธอมากกว่า จึงต้องหาคนขับรถมาให้คอยจับตาดูเธอทุกฝีเก้า หลังจากทำธุระ ออกจากห้องน้ำแล้ว คะนึงนิจก็เตรียมจะเข้านอน แต่ก็ดันสะดุดตากับบางอย่างที่วางไว้บนหมอนของเธอ นั่นคือการ์ดเล็กๆ และกุญแจรถหรู คะนึงนิจหยิบการ์ดขึ้นมาเปิดอ่าน 'ถ้าพรุ่งนี้คุณอยากขับรถ ก็เอาคันนี้ไปใช้' เป็นแบบนี้ตลอด เวลาที่ทะเลาะกัน ญาณิญมักจะหาข้าวของราคาแพงมาประเคนให้แบบที่มูลค่าหลายล้าน ราวกับตั้งใจจะง้อ แต่สำหรับคะนึงนิจ เธอไม่ต้องการของสิ่งใดจากคนเป็นคู่ชีวิต แต่แค่เพียงคำขอโทษก็พอ แต่คะนึงนิจไม่เคยได้ยินคำง่ายๆ คำนี้ จากปากของญาณิญสักครั้ง "ชอบมั้ยคะ" เสียงนี้ทำเอาคะนึงนิจสะดุ้ง เพราะญาณิญดันโพล่มาทางด้านหลังแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง "ฉันไม่อยากได้" "แต่แม่คุณบอกว่าคุณชอบ ฉันเลยหามาให้" "ให้ฉันทำไม" "ก ก็ แค่อยากให้ เพราะฉันไม่อยากให้ใครมาต่อว่าลับหลังว่าเลี้ยงดูเมียไม่ดี" อยากจะตบปากตัวเอง เพราะที่พูดไปนั่นมาจากความปากหนัก ที่ให้นั่นเพราะอยากจะง้อคนตรงหน้าต่างหาก "ถ้าเหตุผลนั้นก็ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ฉันดูแลตัวเองดี ใช้ของราคาแพงอยู่แล้ว และก็มีเงินมากพอ ที่ใครๆ ก็ดูออกว่าฉันไม่ได้ขัดสน" "คุณนิด คุณยังไม่หายโกรธฉันอีกเหรอ" "ฉันไม่ใช่คนที่ซื้อได้ด้วยข้าวของ ฉันแค่ขออย่างเดียวจากคุณคือความจริงใจ แค่นี้คุณยังให้ไม่ได้ แล้วฉันจะเชื่อใจคุณต่อไปได้ยังไง" "คุณก็รู้ดีว่าเพราะอะไร ทำไมฉันถึงเปลี่ยนไป" "สุดท้าย คุณก็โยนความผิดให้ฉันอยู่ดี" หนึ่งปีที่แล้ว หลังจากคะนึงนิจและญาณิญตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่ชีวิต คะนึงนิจก็เริ่มไว้วางใจในความพยายามและความสม่ำเสมอของญาณิญ แถมหล่อนยังเลี้ยงดูปูเสื่อคะนึงนิจดีราวกับเจ้าหญิง "ให้ฉันขับรถไปส่งนะคะ" เสียงนี้เอ่ยทักขณะที่คะนึงนิจกำลังจะก้าวออกจากบ้าน "ไม่เป็นไร เมื่อคืนคุณก็นอนดึก พักผ่อนเถอะ" "งั้นก็เอานี่ไปนะคะ" ญาณิญส่งกุญแจรถยนต์โรลส์-รอยซ์ รุ่นใหม่ล่าสุดให้ภรรยาคนสวย คะนึงนิจไม่ได้ยื่นมือไปรับในทีเดียว ญาณิญจึงช่วยอธิบาย "คุณควรเปลี่ยน คันนั้นน่ะมันตกรุ่นไปแล้ว" "มันก็ยังใช้ได้ดีอยู่" ถึงแม้จะชอบที่ญาณิญมักหาเรื่องมาเซอร์ไพรส์ แต่ก็ยังคงเก็บอาการได้ดี "ถ้าคุณยังไม่อยากใช้ตอนนี้ก็เก็บไว้ก็ได้ค่ะ ฉันอยากให้เป็นของขวัญ ที่คุณมอบเจ้าตัวน้อยให้ฉัน" แน่นอนว่านี่ก็เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้ญาณิญอยากจะมอบข้าวของราคาแพงให้คนรัก แต่เหนือสิ่งอื่นใดเธอให้เพราะความเสน่หา "งั้นฉันจะเก็บไว้ก่อน" บอกแค่นั้นก็ยื่นมือไปรับกุญแจรถ และเดินไปที่รถหรูคันเก่าของตนเอง ก่อนจะขับออกจากรั้วบ้านเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้หัวใจของคะนึงนิจเต้นแรงกว่าเก่า เพราะมันกำลังทำงานหนักขึ้น ก็ใบหน้าของญาณิญที่ต่างไปจากเมื่อเคยเจอกันครั้งแรก หลังจากที่เริ่มเปิดใจให้ญาณิญ คนที่ชอบทำท่าทางขึงขังก็เปลี่ยนไป ญาณิญเริ่มหยอกล้อกับเธอ แถมตามใจเธอกว่าเก่า เช่นตอนนี้ กล่องเค้กสตรอเบอร์รี่จากร้านประจำอยู่ในมือคะนึงนิจ นี่คงเป็นครั้งที่สองหลังจากแต่งงานกับญาณิญที่เธอก้าวเข้ามาในสำนักงานทนายความที่คนรักทำงานอยู่ เธอตรงไปยังห้องทำงานของญาณิญอย่างรู้ทาง แถมทุกคนก็เปิดทางให้เธอเข้านอกออกในได้อย่างอิสระ ไม่ทันที่จะผลักประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิดคักดังออกมา เลขาหน้าห้องยืนหน้าเสียทันที เพราะเขารู้ดีว่าเจ้านายที่อยู่ในห้องตอนนี้กำลังทำสิ่งใด และคนที่หยุดอยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร "คุณใหญ่อยู่กับใคร" พยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น "เอ่อ.." "ตอบมา! " "อยู่กับน้องฝึกงานครับ" เพียงเท่านี้ก็กระจ่างทุกอย่าง คะนึงนิจหันหลังให้ประตูห้องทำงานของญาณิญ ก่อนจะหันไปเห็นตั้งจดหมายที่วางอยู่ที่โต๊ะของเลขาหน้าห้อง เธอตรงเข้าไปทันที รื้อค้นหาบางอย่าง และหยิบซองจดหมายติดมือไปด้วย คะนึงนิจก้าวเข้ามานั่งในรถของตนเอง ที่ญาณิญซื้อให้ ผ่านมาไม่กี่สัปดาห์ที่เธอหยิบจับมันมาขับ ส่วนวันนี้คะนึงนิจตั้งใจซื้อเค้กของโปรดของญาณิญมาเซอร์ไพรส์เนื่องในวันเกิด แต่กลับเจอเซอร์ไพรส์กว่า เสียงอี๋อ๋อพูดจากันภายในห้องของญาณิญทำให้เธอตัวสั่น แทบจะคุมตัวเองไม่อยู่ ไม่คิดว่าคนที่ไว้ใจจะกล้าหักหลังกัน ทั้งที่ไม่เคยคิดระแวดระวังมาก่อน หรือที่ผ่านมาญาณิญอาจจะสร้างภาพ คะนึงนิจเปิดจดหมายที่หยิบติดมือมา เธอเห็นว่าด้านหน้าซองนั้นคือชื่อของญาณิญ และเมื่อเปิดมันออกดู ก็ยิ่งกระจ่าง มันคือใบสั่ง เพราะคนขับรถขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เหนือไปกว่านั้น คือเส้นทางต่างจังหวัด และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ใจสลายคือภาพที่ส่งมา ด้านข้างคนขับนั้นคือสาวสวยในชุดนักศึกษาที่กำลังนั่งซบคนขับ และสิ่งสุดท้ายที่ทำให้เธอหน้าชาคือรถที่ใช้ขับขี่ ดันเป็นคันเดียวกับที่ญาณิญบอกว่าซื้อให้ เมื่อคาดคะเนวันที่ในใบสั่ง คะนึงนิจจำได้ดีว่าตนเองเป็นคนจัดกระเป๋าให้คนที่ขึ้นชื่อว่าสามี เพื่อไปทำงานต่างจังหวัด ไม่คิดเลยว่าจะเป็นการส่งให้ญาณิญไปเสวยสุขกับผู้หญิงคนอื่น และอีกสิ่งที่ทำให้กระจ่าง เธอเห็นสาวในชุดนักศึกษาเดินตามหลังคะนึงนิจมาจากสำนักงาน และเข้าไปนั่งในรถด้วยกัน เพียงเท่านั้น คะนึงนิจก็ไม่อยากจะคิดอะไรต่อแล้ว เธอขับรถออกจากตรงนั้นไปทันที โดยไม่กลัวว่าสองคนในรถจะเห็น กลับมาปัจจุบัน "เอาไปใช้ซะ" ญาณิญยังไม่หยุดตามมาหาเรื่อง แม้จะเข้าเช้าวันใหม่แล้วก็ตาม "คุณไม่ใช่แม่ฉันนะ เลิกทำแบบนี้กับฉันสักที" ก็ญาณิญมักจะออกคำสั่งกับเธอเป็นประจำ "คุณก็หัดเชื่อฟังฉันบ้างสิ อย่าพยศให้มันมากนัก" คะนึงนิจจึงยื่นมือไปดึงกุญแจจากญาณิญด้วยใบหน้าตึงๆ "แค่นี้ พอใจแล้วใช่มั้ย!" "ไม่พอ"  "อะ อื้ออ.." ไม่รอให้คะนึงนิจได้ทันตั้งตัว ญาณิญก็ดึงหล่อนเข้ามาบดจูบ ทำแบบนี้ประจำโดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจ คะนึงนิจทั้งตบทั้งดันไหล่เพื่อให้ญาณิญถอยห่างแต่ก็ไม่เป็นผล และสุดท้ายเมื่อญาณิญได้จูบจากคะนึงนิจจนสมใจก็ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ ใบหน้าคะนึงนิจแดงกร่ำ ทั้งโกรธทั้งเกลียดพฤติกรรมของญาณิญ ไม่อยากแม้จะเห็นหน้าและอยู่ใช้พื้นที่หายใจร่วมกัน เธอสะบัดหน้าหนีและเดินออกจากบ้านไปในทันที โดยตนเองก็ใช้รถคันใหม่ที่ญาณิญซื้อให้ เพื่อตัดปัญหา วันนี้เป็นวันที่ญาณิญต้องขึ้นว่าความคดีใหญ่ครั้งแรกหลังจากลาพักร้อน เพราะความหวั่นไหวเรื่องคะนึงนิจเมื่อเช้า เธอจึงเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงาน จนทำให้เสียสมาธิ มันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง "ขอพักค่ะ" ญาณิญโพล่งออกมาขณะที่ตัวเองกำลังจะต้องแก้ต่างให้ฝ่ายตนเอง รอจนท่านผู้พิพากษาอนุญาต เธอจึงรีบขอตัวออกจากห้องไปทันที "มีอะไรหรือเปล่า" ภุชงค์ที่นั่งดูการว่าความของลูกหน้องต้องตามออกมา เพราะเมื่อสักครู่ ภายในห้องพิจารณาคดีมีแต่ความกดดัน จนเขาเองก็หายใจไม่ทั่วท้อง แถมญาณิญไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เธอแสดงออกชัดเจนจนเขากังวล "ทำไมเมื่อกี้.." "ฉันต้องการสมาธิ" "แต่เมื่อกี้ คุณเกือบจะเสียท่า" "ฉันเคยทำงานพลาดเหรอ! คุณควรจะเอาเวลาไปห่วงลูกเมียตัวเองมากกว่าคดีที่ฉันทำ" ภุชงค์หน้าเสียทันที่กับเรื่องที่เธอพูดถึง ก็เพราะญาณิญรู้ปูมหลังของเขามากที่สุด จึงมักชอบเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ "ถ้าไม่อยากให้ฉันพูดเรื่องของคุณ ก็อย่าสะเอะมาสงสัยกับงานของฉัน" ไม่ว่าจะยังไงภุชงค์ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับญาณิญทุกครั้ง ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านาย "ผมก็แค่ เป็นห่วง เพราะลูกความคนนี้" "บอกแล้วไงว่าอย่าสะเอะ คนโง่อย่างคุณจะไปรู้อะไรเรื่องคดี ไสหัวไปให้ไกล" รอบนี้ภุชงค์ไม่มีหน้าจะอยู่ต่อ เพราะเสียงตวาดของญาณิญที่ดังขึ้น ทำให้เขาเริ่มอับอายจนต้องหนีออกห่างมา ฟากญาณิญเมื่อได้อยู่ลำพังก็ต่อสายหาใครบางคน "มีอะไร" ปลายสายคือคะนึงนิจ "รถเป็นยังไงบ้าง ขับสบายดีใช่มั้ย" "ถ้าห่วงรถนักก็น่าจะเก็บไว้ใช้เอง" ญาณิญเผลอยิ้มออกมา เสียงของคะนึงนิจทำให้เธอมีแรง แม้ปลายสายจะไม่ได้เต็มใจพูดจากับเธอ แต่เมื่อได้ยินก็ทำให้ลืมเรื่องเครียดของวันนี้  "แสดงว่ารถคันใหม่ ทำให้คุณอารมณ์ดี คุณเลยยังไม่ด่าฉัน" "เลิกพูดจากกวนประสาทสักที มีอะไรก็พูดมา ฉันมีงานต้องทำ" "เย็นนี้มารับฉันที่สำนักงานได้มั้ย" "ฉันไม่ว่าง" "งั้นฉันจะไปรับคุณเอง" "ก็บอกว่าฉันไม่ว่าง" "ฉันก็จะไปเฝ้า จนกว่าคุณจะว่าง" "โรคจิต! ฉันต้องทำงาน ไม่เห็นในข่าวหรือไง ว่าตอนนี้โรงแรมฉันยุ่งมากแค่ไหน" "ใช่แล้ว! ข่าว หนังสือพิมพ์" อยู่ๆ ญาณิญก็โพล่งขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้ "บ้า! แค่นี้นะ" สมใจญาณิญ ในที่สุดก็ถูกคะนึงนิจด่าจนได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด หล่อนทำให้ญาณิญนึกอะไรบางอย่างออก การพิจารณากลับมาอีกครั้งด้วยความตึงเครียดของทุกคนทั้งฝ่านตรงข้าม ผู้พิพากษา และผู้เข้าร่วมฟังการพิจารณา แต่ญาณิญดันดูมีท่าทางผ่อนคลายขึ้น คดีนี้เป็นคดีที่มีนักการเมือง และผู้มีอิทธิพลมาเอี่ยวด้วย จึงยากสำหรับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งญาณิญเองก็รับทำคดีนี้โดยไม่ลังเล เนื่องจากได้รับความสนใจจากสื่อหลายแขนง และที่สำคัญคือเงินหนา "ลูกความของฉันนิสัยเป็นคนมัธยัสถ์ ดูจากกองหนังสือพิมพ์พวกนี้ก็ได้ค่ะ"  "กองหนังสือพิมพ์พวกนี้เกี่ยวอะไรคุณทนาย" ผู้พิพากษาถามขึ้นด้วยใบหน้าฉงน "กองหนังสือพิมพ์พวกนี้เป็นของเก่าค่ะ ทางร้านอาหารตามสั่งที่รับหนังสือพิมพ์มาวางให้ลูกค้าอ่าน ไม่คิดเก็บมันไว้ แต่เมื่อลูกความของดิฉันรู้เข้าและขอมาแบบฟรีๆ เจ้าของร้านคนนั้นจึงคิดที่จะขายให้เขาค่ะ" "แล้วแบบนั้นจะใช้แก้ต่างได้ยังไง" "เพราะในโทรศัพท์มือถือค่ะ" เธอบอกก่อนจะยื่นแฟลชไดร์ฟให้ท่านผู้พิพากษาแต่ดันถูกขัดจากทนายอีกฝ่าย "ท่านผู้พิพากษาครับ เนื่องจากทนายฝ่ายจำเลยไม่เคยแสดงหลักฐานนี้มาก่อนเพื่อตรวจสอบ ผมจึงเกรงว่าอาจจะเป็นการปิดบังข้อมูลและอาจจะเป็นหลักฐานเท็จ" "ท่านผู้พิพากษาคะ เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีใหญ่ หลักฐานชิ้นนี้พยานปากสำคัญเพิ่งจะส่งเข้ามา และดิฉันตรวจสอบแล้วว่าหลักฐานชิ้นนี้มีผลต่อรูปคดี ดังนั้นขอให้ท่านช่วยพิจารณาด้วยค่ะ" "ศาลอนุญาต" นั่นทำให้ญาณิญแอบส่งยิ้มมุมปากให้ทนายฝ่ายโจทย์ ราวกัยต้องการจะเย้ยหยัน "นี่รูปถ่ายเนื้อข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ คุณเอามาให้เราดูทำไม" "ค่ะ รูปถ่ายจากหน้าหนังสือพิมพ์ แต่มันถูกถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของลูกความดิฉันค่ะ ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าลูกความของดิฉันใช้ชีวิตสมถะ ไปกินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งทุกวันเพื่อจะถ่ายเก็บข่าวเหล่านี้ไว้ใช้" "หากดูจากช่วงเวลาที่ลูกความของดิฉันทำเช่นนี้ มันหมายความว่าลูกความของดิฉันไม่ได้รับเงินจากใครทั้งนั้นค่ะ เงินสิบล้านที่โจทย์กล่าวอ้างว่าได้มอบให้ลูกความของดิฉัน หากเป็นตัวดิฉันคงจะเอามันไปซื้อหนังสือพิมพ์จากร้านอาหารตามสั่งหรือไม่ก็คงจะซื้อหนังสือพิมพ์ได้ทั้งโรงงาน" ภายในโรงแรมหรู พาริน เดินวนไปวนมาอยู่หน้าฟร้อนท์ ซึ่งก็เป็นที่สนใจของทุกคน เพราะชุดพนักงานส่งอาหารที่เธอสวมใส่ แต่ก็เริ่มจะเป็นที่ชินตาของคนที่มองมา "มาหาคุณคะนึงนิจเหรอ" เสียงทักจากพนักงานคนก่อน "ใช่ค่ะ" บอกพร้อมส่งถุงขนมจากที่บ้านให้พนักงานคนนั้นด้วย ก็แค่อยากจะเอาติดไม้ติดมือมาฝากคนอื่นด้วย ราวกับต้องการจะซื้อใจคนด้วยของกิน "งั้นนั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวพี่แจ้งท่านให้" และมันก็ได้ผล การพูดจาครั้งก่อนกับครั้งนี้แตกต่างกันจนเห็นได้ชัด ไม่นานก็มีเสียงของคนด้านหลังทักขึ้น "ทำไมวันนี้มาไวล่ะ" "หนูเอาขนมมาฝากพี่สาวค่ะ" พูดพร้อมส่งถุงขนมที่เหลือให้ "เดี๋ยวพี่จ่ายเงินนะ ของอร่อยแบบนี้ไม่มีใครเขาให้กันฟรีๆ" "ไม่เป็นไรค่ะ หนูตั้งใจเอามาฝาก แล้วเดี๋ยวเย็นนี้เจอกันนะคะ" "อ้อ.. จริงสิ" เพราะนึกขึ้นได้ว่านัดกับพารินไว้ แต่ก็ดันนึกถึงญาณิญด้วย "พี่ว่าเราไปกันตอนนี้เลยดีกว่า" ก็เพราะหากยังอยู่ต่อ คงจะได้เจอญาณิญมานั่งเฝ้าเธอเป็นแน่ "เอ่อ.. เลิกงานแล้วเหรอคะ" "อย่าลืมสิว่าพี่เป็นเจ้านาย จะกลับบ้านตอนไหนก็ได้" "งั้นไปกันเลยค่ะ" "แต่ไปรถพี่นะ" กลายเป็นว่าพารินได้นั่งรถหรูเธอเป็นคนแรกที่ได้ขึ้นรถคันใหม่ของคะนึงนิจ ในฐานะผู้โดยสาร ได้แต่นั้งตัวเกร็งไม่กล้าแม้จะหายใจแรง นี่เป็นบุญหัวของเธอแท้ๆ ได้แต่นั่งอมยิ้มทั้งยังตื้นตันใจ เพราะไม่มีใครเคยชวนขึ้นรถสักครั้ง อยากจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่ตัวเองในรถหรูก็เกรงใจ ได้แต่นั่งนิ่ง ขยับตัวให้น้อยที่สุด ญาณิญเดินออกจากห้องพิจารณาด้วยใบยิ้มกริ่ม วันนี้เธอทำได้ดี แม้ผลการพิพากษาจะยังไม่ออกก็ตาม "เดี๋ยวสิครับคุณญาณิญ" ทนายฝ่ายโจทย์ร้องเรียกไล่หลัง จนเธอต้องหยุดกึก พร้อมหันไปหาด้วยใบหน้าเชิดๆ อย่างที่เคย "คุณก็เป็นคนเก่งและฉลาด เรื่องการเลือกข้างคุณน่าจะไม่ต้องให้ผมย้ำ" "เหอะ ขอบคุณนะคะที่ชม แต่ไม่ต้องย้ำหรอกค่ะ เพราะฉันรู้ตัวดีว่าฉันเก่ง" "และคุณควรจะเอาเวลาที่มาตอกย้ำความเก่งของฉัน ไปตั้งใจหาหลักฐานและศึกษาข้อมูลเพื่อไว้แก้ต่างให้ลูกความคุณเถอะค่ะ คุณจิ๋ว" "ผมชื่อจิม" "อ้อ.. เหรอคะ ฉันจำไม่ได้น่ะ สงสัยคุณไม่ดัง" เธอพูดแบบนั้นเพราะอยากจะปั่นประสาทคนตรงหน้า ซึ่งแน่นอนว่าสายงานของญาณิญนั้นค่อนข้างจะกว้างขวาง แต่เธอก็รู้จักแทบจะทุกคนแบบรู้ลึกจากสายข่าวของตนเอง โดยที่ไม่ต้องเข้าไปทำรู้จัก "ผมพูดในฐานะที่ผมนับถือและหวังดีกับคุณนะครับ วางมือจากคดีนี้ซะเถอะ" "ตายจริง ฉันเป็นคนประเภทที่เกลียดคความหวังดีจากผู้ชายซะด้วยสิ คงจะทำตามที่คุณขอไม่ได้หรอกนะคะคุณจุณ" พูดจบแค่นั้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มเย้ยๆ เหมือนที่ทำใส่เขาในห้องพิจารณาคดี และเดินห่างออกมาโดยไม่ร่ำลา เรียกได้ว่าจงใจทำเสียมารยาทใส่ ญาณิญไม่เคยหวั่นกลัวกับเรื่องใดอยู่แล้ว และได้ยินคำพูดแบบนี้จากฝ่ายตรงข้าม ยิ่งทำให้เธออยากจะท้าชน แบบที่ต้องไปให้สุด โดยไม่ห่วงหน้าหรือระวังหลัง ร้านขนมร้านหรูที่คะนึงนิจชอบมานั่งทอดอารมณ์เวลาที่เหนื่อยอ่อน ด้วยเพราะเป็นส่วนตัวและบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ซึ่งครั้งนี้เธอมาพร้อมพาริน  "หนูแต่งตัวไม่ดีเลย ทำให้พี่สาวอายหรือเปล่าคะ" คะนึงนิจเพียงหัวเราะออกมาน้อยๆ "พี่ไม่อาย น้องอายเหรอ" พารินพยักหน้าหงึกหงัก ก็เพราะมีคนหันมามองเป็นระยะๆ "รอบหน้าถ้าหนูมาหาพี่สาว จะไม่ใส่ชุดนี้ค่ะ"  "ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่ชอบที่น้องใส่ชุดแบบนี้นะ พี่ชอบสนับสนุนคนขยัน" พร้อมกับเลื่อนเค้กราคาแพงที่เพิ่งจะวางเสิร์ฟไปตรงหน้าพาริน "เค้กสตรอเบอร์รี่ร้านนี้อร่อยมาก ใช้วัตถุดิบอย่างดี ลองชิมสิ" พารินทำหน้าหนักใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด พร้อมมองเค้กสีสวยตรงหน้า "เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมมองเค้กแบบนั้น ไม่ชอบเหรอ" "คือหนูแพ้สตรอเบอร์รี่น่ะค่ะ" "ตายจริง พี่ก็ลืมไปเลย น่าจะถามน้องก่อนว่าอยากกินเค้กอะไร" "งั้น.." คะนึงนิจเอ่ยออกมาก่อนจะเรียกหาเด็กเสิร์ฟ และเมื่อเขาเดินมาถึงก็จัดการส่งเมนูให้ทันทีตามที่เธอต้องการ คะนึงนิจก้มดูเมนู พร้อมเปรยออกมา "ยังเด็กแบบนี้ เค้กช็อคโกแลต หรือฟรุตเค้กดีล่ะ" "หนูชอบเค้กช็อคโกแลตค่ะ" "งั้นเอาเค้กช็อคโกแลตพรีเมี่ยมที่นึงค่ะ"  นั่นเพราะเธอฝังใจเรื่องคนใกล้ตัวอย่างญาณิญ หล่อนชอบกินเค้กสตอร์เบอร์รี่และไม่แตะเค้กช็อคโกแลตเลย เพราะแพ้หนักมากจนถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล เธอจึงหลีกเลี่ยงการรับประทาน และหลงลืมไปว่าพารินไม่ใช่ญาณิญ "ครับ คุณผู้หญิง เมื่อพนักงานเดินห่างออกไปแล้ว พารินจึงชวนคุย "จริงๆ แล้วหนูไม่เด็กแล้วนะคะ ยี่สิบห้าแล้ว" "ยี่สิบห้าแล้วเหรอเนี่ยดูไม่ออกเลย คิดว่ายังไม่ยี่สิบ" ก็เพราะท่าทางซื่อๆ ของพาริน ทำให้คะนึงนิจคิดไปแบบนั้น "แต่ยังไงก็ยังเด็กหว่าพี่เยอะเลย พี่น่ะสี่สิบห้าแล้ว" "จริงเหรอเนี่ย!" รอบนี้พารินตาโตโพล่งขึ้นมา จนคนรอบข้างเริ่มหันมามองอย่างตำหนิ แต่ใครจะสนกัน "พี่สาวดูสาวดูสวยกว่าอายุจริงตั้งเยอะ คิดว่ายี่สิบต้นๆ ด้วยซ้ำค่ะ" "พอๆ เราน่ะพูดจาไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย" "จริงๆ นะคะ" พูดพร้อมยื่นมือมาสัมผัสหลังถือของคะนึงนิจ "อุ้ย/อุ้ย" แต่เมื่อมือของทั้งคู่สัมผัสกัน ก็เหมือนกับไฟฟ้าสถิตถ์ ต่างคนต่างร้องเสียงหลงออกมาพร้อมกัน "พี่ว่า.. เราอย่าโดนมือกันเลยนะ" คะนึงนิจจึงช่วยบอกเสียงอ่อน ก็ครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้ ที่เธอสัมผัสมือพาริน ทั้งคู่พูดคุยและนั่งกินขนมหวานด้วยกันจนตะวันตกดิน  ไม่ได้สนใจรอบตัว และไม่ได้สนใจว่ามีใครกไลังจ้องมองพวกเธอ "หนอยแน่! นังผู้หญิงหลายใจ" คนเฝ้ามองได้แต่เอ่ยกับตัวเองด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะต่อสายหาใครบางคน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม