ราเชนได้แต่หัวเราะออกมา ก่อนจะบอกเธอว่า เขาจะเป็นคนโชว์ฝีมือให้เธอหลงเสน่ห์ปลายจวักของเขาเอง
กรรณิการ์อมยิ้มให้กับความน่ารักของแฟน อยากบอกออกไปเหมือนกันว่า ไม่ต้องถึงเสน่ห์ปลายจวักหรอก แค่เขายิ้มให้เธอทุกเช้าก็หลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว
“ได้ค่ะ จะลองดูว่าจะกินได้หรือเปล่า” กรรณิการ์ชะโงกหน้าเข้าไปดู สิ่งที่ชายหนุ่มจัดเตรียมสำหรับทำอาหารเย็นกินด้วยกัน
“อย่ามาประมาทฝีมือพี่นะ จะลองทำให้กินแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว คราวหน้าถ้าอยากกินอีกต้องมีของมาแลกเปลี่ยน”
“โห ... โคตรเค็มเลย แบบนี้พลอยจะเอาอะไรมาแลกล่ะ ยังเป็นพนักงานเงินเดือนตัวน้อยๆ รายได้นิดหน่อย ไม่มีอะไรให้ ขูดรีดนะ”
“ไม่แพง ก็แค่...หนึ่งเมนูแลกหนึ่งจูบ ... โอเค๊”
กรรณิการ์อมยิ้มจนแก้มจะแตก เมื่อได้ยินข้อแลกเปลี่ยนของผู้ชายตัวโตที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ในห้องครัว และกำลังหันหลังให้ ลงมือทำอาหารเย็นอย่างคล่องแคล่ว มีผ้ากันเปื้อนลายน่ารักของเธอที่เคยซื้อมาไว้ประดับครัวสวมใส่อยู่ ดูยังไงก็ไม่เข้ากันกับผู้ชายลุ๊คเข้มแบบนั้น แต่ทำไมสายตาเธอมันเพี้ยนอย่างหนัก ดูยังไงก็เป็นความน่ารักที่ลงตัว
อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้ไวๆ จะได้อ้อนขอกินอาหารฝีมือเขา พร้อมกับข้อแลกเปลี่ยนที่เธอแสนจะเต็มใจแลก
บ้าไปแล้ว ความรู้สึกไม่หลอกตัวเอง เธออยากจะได้ ... อยากได้จูบของเขา
“คิดอะไรอยู่ แล้วนี่เป็นอะไรทำไมหน้าแดง ไม่สบายหรือเปล่า?”
โดยไม่รู้ตัวว่าราเชนเดินเข้ามาหาเธอตอนไหน แต่ตอนนี้เขากำลังยกมือขึ้นสัมผัสหน้าผากเธออย่างอ่อนโยน จากที่ไม่ป่วย ก็อยากจะป่วยให้เขาดูแลจริงๆ
“ปะ...เปล่าค่ะ สบายดี พลอยกำลังลุ้นต่างหากว่าจะได้กินของอร่อย หรือต้องเตรียมตัวสั่งแกร๊ปฟู้ดมารอ” กรรณิการ์ลืมตาขึ้นมอง แต่ไม่กล้าสบตาเขา จึงตอบเฉไฉแกล้งว่าอีกฝ่าย
“เดี๋ยวเหอะ... ถ้าได้เห็นฝีมือพี่ แล้วอย่ามาร้องว้าวล่ะ”
ราเชนดีดหน้าผากเธอเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจทำอาหารต่อ ทีแรกคิดไปหยิบของในตู้เย็น แต่เห็นหญิงสาวยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลัง หน้าแดงเหมือนไม่สบายจึงอดเข้าไปดูไม่ได้ แต่เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าไม่เป็นไร เขาก็หันไปสนใจเร่งมือทำกับข้าว
ราเชนใช้ชีวิตมาทุกรูปแบบ อะไรก็กินได้ไม่เคยสนใจกับรสชาติอาหาร สมัยก่อนได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติภารกิจสำคัญที่ห้องอาหารโรงแรมระดับห้าดาว
เพื่อให้การแฝงตัวเข้าไปทำงานแนบเนียนที่สุด เขาจึงถูกส่งไปฝึกทำอาหารระดับเชฟมืออาชีพ จึงทำให้ได้ทักษะเรื่องนี้ติดตัวมา
ช่วงชีวิตที่ผ่านมาถึงแม้จะเหนื่อย เครียด ต้องทนต่อภาวะกดดันทั้งทางร่างกายและจิตใจ ถึงจะหนักหนาแค่ไหนราเชน ก็สามารถเอาชีวิตรอดจากเรื่องเลวร้ายพวกนั้นมาได้
แต่กลับมีเรื่องบางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในใจเขาไม่สามารถสลัดให้มันหลุดออกไปได้ นอกจากจะได้จัดการแก้แค้นเอาคืน และทำให้คนๆ นั้นเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น
เขาใช้เวลาสืบเรื่องของมันนานเป็นปี รู้ทุกเรื่องทั้งที่มันเปิดเผยและปกปิด หากคิดจะลอบเข้าไปสังหารมันคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเข้าถึงตัวได้ยากเกินไป
เขาจึงต้องมองหาวิธีการใหม่ที่พอจะสร้างความเจ็บปวดให้กับมันได้บ้าง อย่างน้อยก็ได้เอาคืนไม่ให้มันได้มีความสุข แล้วเขาก็พบจุดอ่อนของมัน ความรัก
เขาจะทำให้มันปวดใจและอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าใคร ยิ่งคนรู้จักมันเยอะก็ยิ่งดี หากภารกิจครั้งนี้สำเร็จเขาจะปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากความแค้นที่ติดค้างในใจ และหันกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ อย่างที่เคยเป็นมา
กว่าอาหารมื้อเย็นจะเสร็จสิ้นก็ใช้เวลาถึงหนึ่งทุ่ม กรรณิการ์ได้ชิมฝีมือของราเชนถึงกลับต้องออกปากชมว่าอร่อยจริง ชายหนุ่มเพียงแต่อมยิ้มเล็กน้อย
ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรลับไม่เคยมีครั้งไหนไม่สำเร็จ แล้วแค่ทำอาหารให้เธอกินสุดฝีมือของเขา จะไม่ติดใจได้ยังไง
“ก็บอกแล้ว ถ้าอยากกินอีกก็อย่าลืมข้อแลกเปลี่ยน”
“ยังไม่ได้บอกว่าอยากกินอีกซะหน่อย แค่ชมว่าอร่อย”
หญิงสาวตอบอ้อมแอ้มออกมา ราเชนทำอะไรก็ดีไปหมดทุกอย่าง เขาดีจริงหรือเป็นที่สายตาเธอเองก็บอกไม่ได้ รู้แค่ว่าเขาดีไปหมดทุกอย่าง แค่กินข้าวด้วยกันที่ห้องไม่ใช่ร้านอาหารชื่อดังก็ยังอร่อยกว่าทุกครั้ง บอกได้เลยว่าเธอน่ะ... หลงหนักมาก
ทั้งสองคนย้ายออกมานั่งคุยกัน เปิดทีวีดูข่าวในห้องรับแขก พักให้อาหารย่อย คุยกันไปเรื่อย ๆ เธอสามารถคุยหรือบ่นกับราเชนได้ทุกเรื่อง
เขาเป็นผู้รับฟังที่ดี และให้คำปรึกษากับเธอได้ทุกครั้ง และพอถึงเวลาเดิมสองทุ่มตรงของทุกวันที่ผ่านมา ราเชนก็ขอตัวกลับบ้านทุกครั้ง จนเธอเริ่มชินกับความตรงต่อเวลาของเขา
“พี่เชน”
“หือ?”
“พรุ่งนี้ พลอยจะกลับบ้านนะคะ”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น และหันมาจ้องหน้าเธอนิ่ง
“เปล่าค่ะ ปกติถ้าวันหยุดพลอยจะกลับไปหาพ่อ”
“อ้อ ... แล้วพ่อสบายดีใช่ไหม”
“สบายดีค่ะ”
หญิงสาวไม่กล้าบอกเขาว่าฉัตรภพนัดเพื่อนกับลูกชายมากินข้าวที่บ้านเธอ เพราะนัดกินข้าวทีไรก็จะพูดคุย แหย่ทีเล่นทีจริงอยากให้หนุ่มสาวทั้งคู่หมั้นหมายกันให้เรียบร้อย ดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะความสัมพันธ์ของสองบ้านแนบแน่นสนิทสนมกันดี และขุนพลก็แสดงออกชัดเจนว่ารักชอบกรรณิการ์
แต่เธอไม่เคยสนใจ ไม่เคยคิดกับขุนพลมากเกินกว่าคนรู้จัก หรือพี่น้อง แม้ว่าฝ่ายนั้นจะขยันแวะมาหามาเยี่ยมบ่อย ๆ ก็ตาม
“ให้พี่ไปส่งไหม?” ราเชนเสนอตัวช่วยเหลือหญิงสาว ไม่อยากให้เธอเดินทางคนเดียว
“ไม่เป็นไรค่ะ พลอยไปเองได้”
“ได้ ถ้ามีไรก็โทรหาพี่นะ เป็นห่วง”
แค่คำว่าเป็นห่วงคำเดียว มันก็ทำให้หัวใจของกรรณิการ์พองโตขึ้นมา ความรักช่างมีอนุภาพยิ่งนัก สามารถทำให้คนสุขราวกับล่องลอยอยู่ในดงดอกไม้ มีแต่ความหอมหวาน สดชื่น มองไปทางไหนก็ล้วนแต่สวยงาม