CHAPTER 8
“หึ” เสียงเย้ยดังออกมาจากลำคอจนฉันได้ยินแล้วนึกกลัวๆ อยู่เหมือนกัน “ลุกไปใส่เสื้อผ้า”
ยัยนั่นทำตามผมอย่างว่าง่ายโดยไม่มีประโยคอะไรพูดออกมาสักคำสักพักร่างเล็กก็ออกมาจากห้องน้ำโดยใส่ชุดเดิมเพิ่มเติมคือผมโยนแจ็คเก็ตยีนให้ใส่ทับอีกชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษอะไรทั้งนั้นเห็นแล้วมันรกตา
“มานั่งนี่”
มือใหญ่ตบไปที่ข้างกายเขาจนร่างเล็กยอมหย่อนสะโพกนั่งลงถึงมันจะมีระยะห่างระหว่างเขากับเธอมากก็เถอะ
ฉันพยายามใช้มือกระชับเสื้อยีนส์ตัวใหญ่ของยูกับร่างกายตัวเองเพื่อไม่ให้เขาเห็นรอยบ้าๆ พวกนั้นดีหน่อยที่เขายอมโยนเสื้อให้ไม่งั้นฉันคงอับอายไปมากกว่านี้
“คำตอบล่ะ?”
“ฉันขอปฏิเสธ...”
“มีผัวเป็นเด็กซ่อมรถเปลี่ยนยางมันน่าเกลียดน่าอายนักเหรอวะ?”
ผมพูดออกไปด้วยอารมณ์หนักแน่นบวกกับความหัวเสียเล็กน้อยซึ่งมันก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่นักแต่พอจะทำให้เห็นใบหน้าของคนข้างกายเผยแววตาตะหนกออกมาอย่างชัดเจนจากเสียงของผมมั้ง ที่ผมพูดออกไปมันก็ถูกต้องไหมสมัยนี้ผมรู้ว่าใครๆ ก็ไม่ได้อยากแฟนจนๆ มีเสื้อผ้าที่เปอะเปื้อนไปด้วยกลิ่นต่างๆ อย่างเช่นน้ำมันหรอกมันเหม็นจนแทบไม่อยากอยู่ใกล้
“มันไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย”
“แล้วมันยังไงถ้าไม่ใช่เพราะอายคนอื่นหรือจะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันแค่เล่นๆ ไม่มีอะไรเสียหายตรงไหนแบบนี้ใช่ไหม?”
เล่นๆ ไม่มีอะไรเสียหายกะผีนะสิ ฉันเสียหายไปเต็มประตูแล้วทำไมจะพูดแบบนั้นออกไปให้เปลื้องน้ำลายตัวเอง
“ฉันไม่ได้อาย ไม่ได้คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล่นๆ และขอให้รับรู้เอาไว้ด้วยความอาชีพทุกอาชีพนั้นต้องใช้ความพยายามทั้งนั้นไม่ว่าจะได้ร่ำเรียนมาเสียเงินเสียทองมากเท่าไหร่ทุกอย่าง ทุกคนเลือกเป็นทางเดินของตัวเองนั้นล้วนแล้วแต่เกิดจากความพอใจในสิ่งที่เลือก”
“อธิบายขนาดนี้ระวังแก่ก็แล้วกัน”
“เอ๊ะ! จะเอายังไงกันแน่!”
เมื่อผมเปลี่ยนเรื่องยัยนั่นก็มองตาขวางปานไปทำเรื่องโกรธแค้นมาตั้งแต่ชาติปางก่อนแต่ก็น่ารักเหมือนกันนะผมว่า
“จะรับผิดชอบไงสรุปให้แบบชัดเจนไม่เน้นข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น” ผมลุกขึ้นก่อนที่จะคว้าเสื้อยืดตัวเดิมมาใส่เสร็จแล้วก็เดินไปหยิบโทรศัพท์กับซองบุหรี่ตรงหัวเตียงมายัดใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองอย่างลวกๆ “ไปก่อนนะ ถ้าอยากไปหาก็ไปที่คลับ VILLAIN ก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวๆ ยังพูดไม่รู้เรื่องเลยนะ!”
“สรุปให้เมื่อกี้แล้วไงวะ ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็คิดวนไปจากสิ่งที่ได้ยินดิ See you!”
เฮ้ย! ง่ายๆ แบบนี้เหรอ อะไรกันเขาไม่ได้ยินที่ฉันพึ่งบอกไปหรือไงว่าไม่อยากให้รับผิดชอบอะไรทั้งนั้นจบๆ กันไปทางใครทางมันก็เท่านั้นว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นวิ่งตามยูไปติดๆ แต่ทว่าฉันก็ไม่ได้เดินเร็วเท่าไหร่เพราะเจ็บตรงนั้น ฉันตามหลังเขาไกลๆ จนถึงลานจอดรถสายตาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อยูขับรถออกไปอย่างรวดเร็วฉันไม่แปลกใจสักนิดถ้ารถคันนั้นไม่ใช่รถหรูคันเป็นสิบกว่าล้านซึ่งมันขัดกับสิ่งที่เขาพูดมาก
เด็กซ่อมรถเปลี่ยนยาง... ขับรถแบบนั้นเหรอ?
บทบรรยายพิเศษ: ยู
เสี่ยง?
จะว่าอย่างงั้นก็ได้ทุกคนสังเกตไหมว่าผมแค่บอกว่ารับผิดชอบยัยนั่นแต่ก็ไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่านี้นอกจากการเปิดทางบอกให้เธอไปหาที่คลับ ทุกอย่างบ่งบอกชัดเจนถ้าเธอเข้าไปเจอผมในคลับไม่ว่าจะวันไหนเวลาไหนคำตอบที่ได้ก็จะบอกได้เลยว่ายัยนั่นอยากจะสานสัมพันธ์กับผมต่อแต่ถ้าไม่ทุกอย่างก็จบ
ซึ่งไม่มีวันเป็นอย่างงั้นแน่นอนถ้าผมไม่ยอมจบเสียอย่างถึงเธอจะเรียกการหนีไปซุกหัวที่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์คนอย่างไอ้ยูสามารถตามหาเธอได้ถ้าอยากเจอหน้า มันไม่มีอะไรที่จะยากเกินความสามารถของพวกเราไปได้หรอกอีกเหตุผลที่รีบออกมาก็เรื่องเขาคนนั้น คนที่ทำให้ผมเกิดมา
“อยากจะรู้เหมือนกันว่าไปเจอครั้งนี้จะพูดอะไรอีก”
รถหรูแล่นเข้าบ้านที่ไม่เคยคิดมาเหยียบถ้าไม่จำเป็น มันจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทุกคนสามารถเรียกว่าคฤหาสน์อันแสนกว้างใหญ่มีทุกอย่างครบตามที่ทุกคนวาดฝันแต่ไม่มีความสุขเลย ทุกย่างก้าวหนักที่ผมลงจากรถเข้ามาบ้านภาพความทรงจำต่างๆ ในวัยนั่นก็โลดแล่นเข้าสู่สมองของตัวเองเป็นฉากๆ ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา
“ตายู”
เสียงเรียกที่มีน้ำเสียงแผ่วเบาแฝงความอ่อนหวานเข้ามาสู่โสดประสาทของผมทันที่จากนั้นอ้อมกอดอันอบอุ่นก็เข้ามาสัมผัส
“สวัสดีครับแม่”
“คิดถึงมากลูก แม่คิดถึงมากรู้เปล่า?”
“ครับ” ผมพูดรับคำของแม่ก่อนที่จะลากสายตาไปยังบุรุษอีกคนที่นั่งนิ่งๆ โซฟาตรงหน้าที่ผมยืนอยู่ สายตาคู่นั้นไม่แม้แต้เหลือบมองผมด้วยซ้ำไป “สวัสดีครับ”
“…”
การไร้การตอบรับไม่ได้ทำให้ผมเจ็บปวดมากนักหรอกแต่มันทำให้ชินชาไปเสียมากกว่า สิ่งเหล่านี้มันธรรมดามาก
“นั่งก่อนสิลูก”
เสียงแม่เป็นเหมือนระฆังระงับเวลาที่กำลังจะเกิดสงครามระหว่างพ่อกับลูกได้ทันเวลาอย่างพอดีความเงียบงันเกิดขึ้นสักพักหนึ่งแต่ไม่นานน้ำเสียงแข็งของผู้ที่ได้ชื่อว่าพ่อก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ชั้นจะให้แกไปบริหารสิทธิธาวิเศษ”
“ไม่ครับ”
สองพยางค์สั้นๆ ที่ทำเอาคนเป็นพ่อลุกขึ้นยืนจากโซฟาด้วยแววตาแข็งกร้าวเป็นเท่าตัวจากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ตวัดส่งมาหาคนเป็นลูก
“แต่แกต้องไป!”
“คงลืมอะไรไปหรือเปล่าว่าไม่มีใครมาบังคับผมได้ทั้งนั้น”
ในเมื่อสาดใส่กันขนาดนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเงียบอีกต่อไปผมแค่พูดขึ้นมาแบบเรียบๆ แต่ทุกคำมันชัดเจนมากเพื่อที่จะให้เขาได้ยิน
“ไอ้ยู!”
“คุณคะพอเถอะค่ะ”
เสียงห้ามปรามของภรรยานั้นไม่ได้ทำให้เขาใจเย็นขึ้นเลย
“ชั้นขอสั่งให้แกเข้าไปบริหารสิทธิธาวิเศษให้เร็วที่สุดไม่มีคำว่าแต่ทั้งนั้น!”
“แต่ลูกของเรายังเรียนไม่จบนะคะ” ผู้เป็นแม่เถียงขึ้นมาบ้างตามเหตุผลที่เห็นได้อย่างชัดเจน “ถ้าจะให้ตายูไปบริหารก็ต้องให้ลูกจบก่อน”
“ไม่มีใครแล้วเหรอ?” จู่ๆ น้ำเสียงอันเย็นชาก็พูดขึ้นพร้อมกับใช้แววตาจับจ้องมองไปที่คนเป็นพ่ออย่างไม่หวั่นเกรงใดๆ ทั้งสิ้น “ทุกอย่างมันจบตั้งแต่ตอนมอปลายแล้ววันนั้นผมไม่ได้ไปสอบการบริหารอย่างที่คุณบังคับเพราะอะไรรู้ไหมครับไม่ชอบไง ผมไม่ชอบมันแต่คุณก็พยายามยัดใส่หัวสมองของผมแล้วตอนนี้ก็ทำอีกผมไม่ทำตามคำสั่งใครทั้งนั้น!”
“ตายู...” เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นด้วยความเห็นใจ
“…”
“พอสักทีกับเรื่องเดิมๆ ไม่เบื่อกันบ้างหรอครับ”
จบการบรรยายพิเศษ: ยู