7
เช้าวันต่อมา
สีหน้าของประภาอาบไปด้วยความดีใจเป็นที่สุด หลังจากได้ยินคำบอกเล่าของลลิล ลูกชายคนเดียวของนางยังมีชีวิตอยู่ แถมยังมีหลานชายให้กับนางอีกด้วย สองปีที่ผ่านมานางมีความทุกข์เรื่องศวิชญ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่รู้ข่าวสารของลูกชายคนนี้เลย ดูเหมือนจะเงียบราวกับศวิชญ์ไม่มีตัวตนอยู่ในโลก แต่พอได้รู้ว่าการเดินทางมาของลูกชายนั้น คือต้องการเงินไปรักษาหลานชาย แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาให้ตั้งสามหมื่น
“แล้วลูกหว้าจะหาเงินจากที่ไหนมาให้พี่เค้าล่ะลูก? เงินเดือนของลูกก็แทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว” ประภาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หนักใจแทนลูกสาวเหลือเกิน
“เมื่อคืนพี่รัฐให้ลูกหว้ามาแล้วค่ะ แม่ขา ลูกหว้าบอกพี่รัฐว่าจะเอาเงินไปจ่ายค่าเรียนภาษาอังกฤษให้อ้อ ส่วนที่เหลือลูกหว้าจะพาแม่ไปตรวจสุขภาพ แม่ช่วยกำชับอ้อให้ลูกหว้าด้วยนะคะ ถ้าบอกพี่รัฐตรงๆ คงไม่ได้ มีหวังได้ตามล่าพี่โหน่งทั่วกรุงเทพฯ แน่”
ประภามองดวงหน้าของลูกสาวน้ำตารื้น เมื่อคืนนี้ลลิลออกจากบ้านขึ้นไปที่ตึกใหญ่ตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง เวลากลับนั้นนางไม่ทราบได้ว่าเป็นเวลาใด ดูจากสีหน้าและท่าทางอิดโรยของลูกสาวแล้ว น่าจะกลับมาในรุ่งสางมากกว่า นางสงสารลูกสาวคนนี้เหลือเกิน คนเป็ธนแม่เห็นลูกเจ็บ ทุกข์ระทม...หัวอกของนางนั้นเจ็บและทุกข์ยิ่งกว่า และยิ่งเจ็บปวดหลายร้อยเท่า เมื่อไม่สามารถช่วยอะไรลูกได้เลย
“ลูกหว้า แม่ว่าเราหนีออกไปจากที่นี่ดีกว่ามั้ยลูก? อย่างน้อยๆ ลูกก็ไม่ต้องทนกับสภาพแบบนี้” นางคิดว่าทางนี้น่าจะเป็นทางดีที่สุด
“การหนีไม่ใช่การแก้ปัญหานะคะแม่ อย่างเราจะหนีไปที่ไหนพ้นคะ พี่รัฐไม่มีวันยอมให้เราหนีไปไหนหรอก อีกอย่างถ้าเราหนีความปลอดภัยของพี่โหน่งก็จะมีน้อยลง อ้อก็ไม่ได้เรียนหนังสือ แม่เองก็ต้องไปหาหมอทุกเดือน อยู่ที่นี่แม้จะเจ็บและทุกข์ แต่อย่างนั้นทุกคนก็มีที่อยู่ที่กิน พี่โหน่งมีหลักประกันได้ว่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตถ้าเราอยู่ที่นี่ อ้อก็จะได้เรียน ลูกหว้าทนได้ค่ะแม่ ทนมาได้ตั้งสองปีจะทนต่อไปอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร”
ลลิลคิดอย่างที่เธอพูดจริงๆ หนีหรือ จะหนีไปที่ไหนพ้น อยู่ที่นี่แม้จะทุกข์ระทมมากแค่ไหน แต่อย่างน้อยคนที่เธอรักทุกคนก็ปลอดภัย
“แม่ไม่เข้าใจโหน่งเลย ว่าทำไมเลือกทำแบบนั้น รู้ทั้งรู้ว่านีน่าเป็นคนรักของเพื่อนสนิท ยังจะแย่งไปและหนีไปด้วยกันอีก ไม่คิดถึงแม่ถึงน้อง ไม่คิดถึงเลยว่าจะมีเรื่องเลวร้ายตามมา”
ประภาเคยคิดมาตลอดว่านิสัยของศวิชญ์เป็นคนมีเหตุผล เป็นคนที่รักครอบครัว รักเพื่อน ทว่าการกระทำของลูกชายทำให้นางต้องคิดใหม่กับนิสัยของศวิชญ์ ความเป็นคนมีเหตุผลลดน้อยลง ความรักครอบครัวถดถอยลงไปมาก ความรักเพื่อนถูกทิ้งไว้ตรงหน้า ทรยศความไว้เนื้อเชื่อใจที่รัฐภาคย์มีให้นับสิบปี ด้วยการพานิรมลหนีไปใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน ที่นางไม่เข้าใจอีกข้อหนึ่งก็คือ เหตุใดนิรมลจึงยอมทิ้งความเลิศหรู ความฟุ่มเฟือยที่รัฐภาคย์มีให้ กลับเลือก
ศวิชญ์ที่มีฐานะด้อยกว่าในทุกๆ ด้าน หนีไปลำบากลำบนอยู่ด้วยกันเพราะเหตุใด
“ช่างเถอะคะแม่ พี่โหน่งก็มีเหตุผลของเขา ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่เราอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ ลูกหว้าทนได้ค่ะ อันที่จริงพี่รัฐก็ไม่ได้โหดร้ายเหมือนกับที่ใครๆ คิด พี่รัฐแค่มีปมเท่านั้นเองค่ะ ปมที่พี่รัฐไม่พยายามแก้ให้คลายออก แม้รู้ว่าตัวเองจะต้องเจ็บ ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองค่ะ เหมือนกับลูกหว้าที่เลือกที่จะเดินไปในทิศทางนี้ ถือเสียว่าลูกหว้าใช้หนี้แทนพี่โหน่งก็แล้วกันนะคะ”
ใครๆ อาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่รัฐภาคย์ทำกับครอบครัวของลลิล ทว่าเธอกลับไม่คิดเหมือนคนอื่น รัฐภาคย์เป็นคนที่น่าสงสาร เขาเจ็บเพราะคนรักทรยศ เขาเจ็บเพราะถูกเพื่อนสนิทหักหลัง ความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีให้ศวิชญ์ มากมายเกินกว่าที่จะนึกสงสัยว่าเพื่อนกำลังเอามีดปักข้างหลัง ให้ได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เขามีทั้งความรักและความแค้นผสมปนเปกันไป มันคุกรุ่นในใจของเขาเรื่อยมา มอดไหม้...ไม่มีน้ำใดๆ ที่จะดับลงได้ รัฐภาคย์จึงปฏิบัติกับเธอเช่นนี้ มีแต่ความโหดร้าย ทำให้เธอเจ็บช้ำทั้งคำพูดและการกระทำ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยสักนิด
หญิงสาวยังจดจำวันแรกที่พบรัฐภาคย์ได้ดี ตอนนั้นเธอมีอายุเพียงสิบปีเท่านั้น วินาทีแรกที่เขาเดินเข้ามาภายในบ้าน หัวใจของเด็กน้อยสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก จนต้องรีบวิ่งหนีขึ้นไปที่ชั้นบน เดือนแรกที่เขาแวะเวียนมาหาพี่ชายของเธอบ่อยๆ หญิงสาวมักจะหลบหน้าหลบตาเสมอ เวลาผ่านไปความคุ้นเคยและความเขินอายลดลง รัฐภาคย์มีน้ำใจซื้อขนมมาฝากเธอบ่อยๆ พาเธอไปเที่ยวบ้าง ไปเดินซื้อของเล่นบ้าง
รัฐภาคย์เป็นแขกประจำของที่บ้าน บางคืนก็มานอนค้างพร้อมกับธีมและเคนโตะ เพื่อนสนิทของพี่ชาย หรือเรียกง่ายๆ ว่าเพื่อนร่วมก๊วน ทุกคนต่างคุ้นเคยและสนิทสนมกับสมาชิกในครอบครัวของเธอดี มีความรักและความเอื้ออาทรให้แก่กัน แม้ว่าฐานะของครอบครัวหญิงสาวจะด้อยกว่าทุกคน แต่ไม่เป็นอุปสรรคกับการคบหาสมาคมเลย