Love Song 1
Love Song 01
สายฝนที่กระหน่ำลงมาในช่วงเดือนธันวาคมมันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนักหรอกเพราะนอกจะจากหนาวแล้วมันยังทำให้ฉันรู้สึกง่วงอีกด้วย แม้ว่าตอนนี้จะเลยเวลาหกโมงเย็นมาเกือบสามสิบนาทีแต่อาจารย์ที่อยู่หน้าห้องก็ยังไม่มีวี่แววจะหยุดสอนเลย เพื่อนหลายๆคนเริ่มที่เลื้อยกันไปหมดแล้ว อีกอย่างวิชานี้เป็นวิชาบูรนาการเลยมีนิสิตจากหลายๆคณะมาลงเรียนรวมทั้งเพื่อนฉันที่เรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ด้วย ส่วนฉันก็เรียนคหกรรมและมีเพื่อนสนิทที่คณะอีกสามคน
“ต้น มึงควรจะตื่นได้แล้วนะมึงหลับตั้งแต่ต้นชั่วโมงเลยนะ” ดาว สาวสายดีกรีดาวคณะเอ่ยปลุกเพื่อนชายคนเดียวในกลุ่มเมื่อมันหลับตั้งแต่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้จนถึงตอนนี้ที่อาจารย์กำลังจะปล่อย
“อือ ตื่นแล้ว” ต้นงัวเงียตื่นก่อนจะหันไปคุยอะไรสักอย่างกับเพื่อนมันที่เรียนอยู่วิศวะที่มีด้วยกันถึงห้าคนรวมมันด้วยก็เป็นหก ถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่มากทีเดียว
“พวกมึงเพื่อนกูชวนไปกินหมูกระทะไปนะ โอเคไป” ต้นหันมาถามก่อนจะหันกลับไปคุยกับเพื่อนมัน ที่พวกเราสี่คนสนิทกันเป็นเพราะว่าบ้านพวกเราอยู่ติดกันแล้วเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่เด็กๆ ขนาดเข้ามหาวิทยาลัยยังเข้าที่เดียวกันเลยและตอนนี้ก็ใกล้จะจบแล้วล่ะ เทอมสุดท้ายแล้ว
“มึงจะถามทำไมต้น” ตาลเพื่อนตาโตตัวเล็กเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ตูนเพื่อนอีกคนจะเอ่ยชวนให้เดินออกจากห้องเพราะตอนนี้ทั้งห้องเหลือแค่พวกเราสิบคน
“แล้วจะไปร้านไหน?” ดาวถามไป ดูเหมือนเธอจะสนิทกับเพื่อนอีกคนของต้นมาก ต่างจากฉันที่ไม่
ค่อยพูดแต่ต้นก็บอกเพื่อนมันตั้งแต่ต้นแล้วล่ะว่าฉันพูดไม่เก่งซึ่งเพื่อนมันก็ใจแต่ก็พยายามชวนฉันคุยเยอะๆนั่นแหละ
“เอ็กบาร์ไหม?” ใครคนหนึ่งเสนอขึ้น
“เอาสิ เจอกันอยู่ร้านเลยแล้วกัน อืม เลิฟพาซองไปด้วยนะ” เลิฟคือชื่อของผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนในกลุ่มของต้น เขาเป็นคนที่ตัวสูงผิวขาวหน้าตาดีมากเลยล่ะเห็นบอกว่าเป็นอดีตเดือนคณะด้วยแต่เขาก็ไม่ค่อยพูดนะแต่ถ้าเทียบกับฉันคือเขาก็ยังพูดเก่งอ่ะนะ
ส่วนซองคือชื่อของฉันเองแหละ มาจากคำว่า*ครัวซอง* ฉันมีพี่ชายชื่อ*ลาเต้*กับ*คาราเมล* ไม่ต้องสงสัยว่าที่บ้านทำธุรกิจอะไรบ้าง เพราะจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากขนมหวาน
“ได้ เจอกันที่ร้านแล้วกัน” เลิฟคนที่ต้นฝากให้ฉันไปด้วยเอ่ยขึ้นจากนั้นเราก็แยกกันออกจากห้องเรียนเพื่อที่จะไปเจอกันที่ร้านหมูกระทะ
“อ่า ฝนตกแรงเลย” เลิฟเอ่ยขึ้น แต่ฉันก็ยังเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไร กระทั่งคนข้างๆถอดเสื้อช็อปของเขาออกแล้ววางคลุมหัวให้ฉัน
“เหม็นหน่อยนะ ยังไม่ได้ซัก” เลิฟก้มหน้าลงในระดับเดียวกันแล้วเอ่ยบอกฉันเสียงทะเล้น เขายิ้มจนตาหยีก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือฉันไว้แล้วพาวิ่งไปที่รถเขาที่จอดอยู่ไม่ไกล
สายฝนที่เทลงมากระเซ็นโดนชุดนิสิตที่ฉันสวมอยู่จนเปียกชื้นไปหมด เลิฟเปิดประตูแล้วดันหลังให้ฉันขึ้นไปนั่งบนเบาะเร็วๆหลังจากเขาปิดประตูรถเขาก็วิ่งไปอีกฝั่งก่อนจะขึ้นมานั่งบนรถ ร่างสูงเปียกไปหมดทั้งตัวเช่นกัน เหมือนกับเขาจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่เพราะเขาเอี้ยวตัวกลับไปเอาเสื้อยืดที่อยู่เบาะหลังมายื่นให้ฉัน
“เปลี่ยนเสื้อก่อนเดี๋ยวไม่สบาย” เลิฟบอก ฉันเลยยื่นมือไปรับเสื้อมาแต่จะให้ฉันเปลี่ยนยังไงล่ะ
“อ่า เดี๋ยวจะปิดไฟในรถนะ เดี๋ยวจะปิดตาด้วยห้านาทีให้เสร็จนะ”
เลิฟบอก หลังจากเขาปิดไฟฉันก็ยังงงอยู่ว่าต้องเปลี่ยนยังไงแต่ด้วยเสื้อของเขามันใหญ่กว่าตัวฉันมากฉันเลยสวมเสื้อทับโดยที่ยังไม่สอดแขนแต่ดึงเสื้อคลุมทั้งร่างไว้ก่อนจะกะกระดุมชุดนิสิตออก พอถอดเสื้อนิสิตออกจากร่างได้ฉันก็เอาเสื้อวางไว้ที่ตักก่อนจะสอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อยืดยืดที่สวมคลุมไว้อยู่
“เสร็จแล้วค่ะ” ฉันเอ่ยบอกเลิฟ พอได้ยินเสียงฉันบอกเขาก็เอื้อมมือไปเปิดไฟ เขาคว้าเสื้อนิสิตฉันไว้ในมือก่อนจะโยนไปไว้เบาะด้านหลังรวมถึงเขาที่ถอดเสื้อยืดตัวที่สวมอยู่แล้วโยนไปกองรวมๆกับเสื้อฉันที่เขาเพิ่งโยนไป เขาเอื้อมมือไปหยิบเสื้อยืดอีกตัวมาสวมก่อนจะพาฉันออกจากลานจอดรถนี่
“หนาวหรือเปล่า” เลิฟถามพร้อมๆกับที่เขาจอดรถใกล้ๆกับร้านหมูกระทะ
“ไม่ค่ะ”
“เดี๋ยวนั่งรอแปบหนึ่งนะ” เขาบอกแค่นั้นก่อนจะวิ่งจากรถไป ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน ระหว่างที่นั่งรอฉันก็เข้าดูไลน์กลุ่มของครอบครัวที่แม่ขยันส่งรูปขนมเค้กที่พ่อทำมายั่วน้ำลาย ครอบครัวฉันอยู่แถบชานเมืองน่ะแต่ฉันเข้ามาเรียนในเมืองแล้วพักอยู่คอนโด และมันก็บังเอิญมากที่ฉันพักอยู่คนโดเดียวกับเลิฟห้องเราตรงกันพอดีเลยด้วยแต่ว่าเลิฟอยู่ชั้นเจ็ดฉันอยู่ชั้นหกน่ะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้นฉันเลยเงยหน้ามอง เงาตะคุ่มๆของใครสักคนอยู่ข้างนอกก่อนที่ฉันจะกลัวหรือตกใจมากไปกว้านี้ประตูรถฝั่งฉันก็ถูกเปิดออก ร่างสูงๆของเลิฟอยู่ใต้ร่มคันใหญ่และเขาก็กำลังขยับร่มให้บังเม็ดฝนให้ฉัน
“ปะเข้าไปในร้านกัน”
ฉันหยิบกระเป๋าสะพายตัวเองก่อนจะลงจากรถโดยมีเลิฟคอยกางร่มให้ เราเดินเข้ามาถึงในร้านก็มีพนักงานรับร่มไปเก็บให้จากนั้นเลิฟก็เดินนำไปที่โต๊ะที่มีเพื่อนอยู่รอยู่แล้ว
“อะไร ยังไง เสื้อคู่เหรอ” เสียงต้นเอ่ยแซ็วขึ้น ไม่รู้ว่าเสื้อคู่อะไรที่พูดถึง ฉันนั่งลงข้างๆตูนที่นี่เป็นแบบชุดแล้วสั่งเอาคิดว่าทุกคนน่าจะสั่งกันแล้วล่ะส่วนซีฟู้ดต้องเดินไปตักที่อ่างของร้าน
“เดี๋ยวรอนี่นะ จะไปเอาซีฟู้ดมาให้” ต้นบอกก่อนที่มันกับเพื่อนผู้ชายจะลุกออกจากโต๊ะไป
“เล่าไหมซอง” เพื่อนอีกสามคนหันมามองฉันด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เล่าอะไร?” จริงๆกับเพื่อนที่สนิทฉันคุยเยอะนะ แต่ก็อย่างว่าถ้าไม่สนิท ฉันก็ไม่อยากคุยเท่าไหร่
“เลิฟไง อะไรยังไงกันแล้ว เป็นแฟนกันเหรอ” ดาวถามอย่างตื่นเต้น
“บ้าเหรอ ไม่ใช่นะ”
“อ้าวก็เห็นไปไหนด้วยกันบ่อยๆนี่นา”
“ใช่ไหนจะรูปจะแท็กอีก ก็เลยสงสัย” รูปอะไร แท็กอะไรทำไมฉันไม่รู้เรื่องล่ะ
“หือ? คุยอะไรกันหน้าเครียดเชียว” เลียงเลิฟดังอยู่ด้านหลังก่อนที่เขาจะวางจานกุ้งลงบนโต๊ะที่ว่างตรงหน้าฉันอีกจานที่เป็นอาหารทานเล่นเขาก็วางลงตรงหน้าฉันเช่นกัน
“เปล่าหรอก มาพอดีเลยเรากับเพื่อนจะเดินไปเอาของทานเล่นฝากนั่งเป็นเพื่อนซองมันหน่อย” ดาวว่าแต่ยังไม่รอฟังคำตอบจากเลิฟทั้งสามก็ลุกเดินออกไปแล้ว
“หนาวไหมกระโปรงเธอชุ่มนะ” เลิฟนั่งลงข้างๆมือก็เอื้อมมาจับๆแตะๆที่ชายกระโปรงฉัน แต่ฉันรวบชายกระโปรงแล้วขยับออกห่างเขา เพราะกลัวคนอื่นจะว่าเอาได้
“ไม่ค่ะ เอ่อ เดี๋ยวเราจะไปถือจานช่วยเพื่อนนะ” ฉันบอกเร็วๆก่อนจะรีบลุกเดินออกมา เสียงหัวเราะในคอของคนที่ยู่ด้านหลังช่างมีอิทธิพลต่อฉันจริงๆ เพราะเสียงนั้นทำให้ฉันรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าน่ะสิ
“อ้าว เดินมาทำไมล่ะไม่นั่งกับเลิฟรอ”
“ฮื่อ ไม่เอา” ฉันบอกเพื่อนพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างกับเด็ก ก็นะเพื่อนมักจะบอกว่าฉันเด็กและความรู้สึกช้า
“ฮาๆๆ เขินเหรอเนี่ยไม่แซ็วๆ”
“เปล่าเขินสักหน่อย จะมาถือจานช่วย” ฉันบอกเพื่อนแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อเพราะพวกเธอขำออกมาเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
ระหว่างที่ทานกันเลิฟที่นั่งอยู่ข้างๆก็แกะกุ้งแกะปูให้ แต่ใช่ว่าเขาจะทำให้ฉันคนเดียวนะ เขาทำให้ทุกคนนั่งแหละคืนนี้พวกเราดื่มกันด้วยแต่ว่าฉันแค่จิบเอาไม่อยากดื่มเยอะ
“อ่า ไปเข้าห้องน้ำนะ” เลิฟเอียงหน้ามากระซิบฉันเบาก่อนจะลุกออกไป
“แหม มีกระซงกระซิบ เห็นแล้วหมั่นไส้มันจะหนักปากไปไหนวะ” ต้นพึมพำมาฉันเลยเงยหน้ามองต้นอย่างสงสัยทั้งที่ในปากก็ยังคาบตะเกียบอยู่
“ฮื่อ อย่ามองอย่างนั้นเว้ยไอ้ซองกูใจสั่น” ต้นยกมือทาบอกแล้วยังบิดตัวไปมาอีกด้วย
“ประสาท” ฉันว่าให้เพื่อนพรางส่ายหน้า ส่วนเพื่อนๆที่ได้ยินแบบนั้นกลับหัวเราะร่าอย่างชอบใจซะอย่างนั้น
“กูอยากแกล้งไอ้เลิฟว่ะ” จู่ๆอาร์มเพื่อนในกลุ่มเลิฟกับต้นก็พูดขึ้น
“มึงไปนั่งแทนที่มันเลย ไปเร็วๆเดี๋ยวมันออกมาซะก่อน” ต้นสนับสนุน จากนั้นอาร์มก็ย้ายมานั่งข้างฉันแบบมึนๆ ตอนที่เลิฟกลับมาแล้วเห็นว่าที่เก้าอี้เขาอาร์มนั่งอยู่ เขาไม่พูดอะไรแต่กลับกระชากเก้าอี้ที่อาร์มนั่งแรงๆจนเก้าอี้ล้มลงเสียงดังตึง! คนอื่นๆที่อยู่รอบๆคงตกใจกลัวแต่ไม่ใช่กับคนที่อยู่ในโต๊ะฉันเพราะพวกเขาหัวเราะแทบน้ำตาเล็ด
“กูจะแกล้งมัน ทำไมมันแกล้งกูแบบนี้” อาร์มเดินกระเผลกกลับไปที่เก้าอี้ตัวเอง ส่วนเลิฟก็ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด
“ฮาๆๆๆ โอ๊ยกูปวดท้องสัดฮาๆๆ” เสียงต้นหัวเราะน่าเกลียดมาก
“ต้นมึงเบาๆหน่อยคนมองแล้วนะเว้ยฮาๆๆ” ดาวทั้งห้ามทั้งขำสรุปทั้งคู่ก็หัวเราะกันไม่หยุด ฉันที่คีบๆปิ้งๆเนื้ออยู่แอบตกใจเมื่อเลิฟเอื้อมตะเกียบมาเคาะตะเกียบฉันเบาๆด้วยความข้องใจเลยหันกลับไปมองเขา และเหมือนเลิฟจะมองก่อนอยู่แล้วเพราะทันทีที่หันกลับไปมองมืออีกข้างของเขาก็คีบกุ้งที่สุกมาแล้วมาป้อน
“อ่า ระวังมือโดนกระทะ” เลิฟรวบตะเกียบแล้วจับข้อมือฉันไว้ก่อนจะโดนกระทะ
“อ่า ขอบคุณค่ะ”
“อะแฮ่มๆ อะไรกัน”
“อะไรล่ะ อย่าพูดเยอะเกินไป” เลิฟว่าอย่างหงุดหงิดมือแกะกุ้งมาให้ไม่ขาด คนอื่นก็เลิกแซ็วแล้วทานกัน
“ไปไหน” เลิฟเอื้อมมือมาจับมือฉันไว้เมื่อฉันลุกขึ้นยืน
“จะไปห้องน้ำค่ะ”
“ไปได้ไหมคนเดียว” เลิฟถามต่อ แววตาเป็นห่วงฉายชัดข้นมา
“ดะ ได้ค่ะ”
“มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน”