เวลาต่อมา...
@บ้านเกียรติภูมิ
คฤหาสน์หลังใหญ่หลังนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับออกแบบในสไตล์อุทยานราชวังในยุโรป ทันสมัยและมีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางด้านหน้ามีวงเวียนน้ำพุรูปปั้นเทพเจ้ากรีก ให้ความรู้สึกอบอวลไปด้วยกลิ่นอายและความงามในบรรยากาศที่เหมือนกับเดินอยู่ในประเทศแถบยุโรป
สกุลเกียรติภูมิเป็นสกุลมั่งคั่ง ทั่วทั้งราชอาณาจักรไทยต่างรับรู้ว่าสกุลนี้ทำธุรกิจใดบ้าง ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเดอะเกรทฟีเจอร์กรุป เป็นบริษัททำการค้าหลายสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ ห้างสรรพสินค้า ที่อยู่อาศัย โรงแรม คอนโดมิเนียม สำนักงานกฎหมาย แม้กระทั่งการเกษตรกรรม และแน่นอนว่าครอบครัวนี้เป็นผู้เสียภาษีเงินได้สูงสุดของประเทศ
...กระนั้นครอบครัวนี้ก็ไม่ใช่ครอบครัวเดี่ยว
บ้านเกียรติภูมิอยู่อาศัยกันมากถึงสามครอบครัวใหญ่ด้วยกัน ทว่าถูกแบ่งแยกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน รวมถึงการสร้างเรือนหลังเล็กไว้แยกออกไปในพื้นที่กว่าร้อยไร่ใจกลางกรุง
ธุรกิจใหญ่ของคนในครอบครัว อิทธิกรอดีตประธานบริษัทเดอะเกรทฟีเจอร์ เขาได้รับความไว้วางใจและเป็นผู้ถือหุ้นมากกว่าพี่ชายฝาแฝดอย่างอัทธากร ซึ่งอีกฝ่ายเป็นเจ้าของบริษัทกฎหมายเอกชนในเครือบริษัทเดอะเกรทฟีเจอร์อีกที ขณะเดียวกันลูกพี่ลูกน้องอย่างหมอวิลล์ก็เปิดคลินิกจิตเวชในเครือบริษัทของครอบครัวเช่นกัน
ซึ่งวันนี้...สามครอบครัวมากันพร้อมหน้าภายในห้องนั่งเล่น ใบหน้าของทุกคนเคร่งเครียดไม่ต่างกัน การหายตัวไปของผู้สืบทายาทหมายเลขหนึ่งอย่างพาทิศนั้นทำให้ทุกคนเป็นกังวล
“คุณพาวินท์น่าจะถึงพรุ่งนี้ครับ” เลขาฯสูงวัยคนหนึ่งเอ่ยปากบอกกับอดีตประธานบริษัทอย่างอิทธิกร เขาพยักหน้ารับเบา ๆ ทว่า
“ส่วนคุณพาคินณ์ยังติดต่อไม่ได้ครับ”
“ทำไม...”
“ยังไม่รับโทรศัพท์เลยครับ” ฝ่ามือเหี่ยวย่นตามอายุกำเข้าหากัน ความรู้สึกบางอย่างบอกกับเขาว่าการหายไปของพี่ชายฝาแฝดคนโตนั้นเป็นฝีมือของน้องชายฝาแฝดคนกลางอย่างพาคินณ์ คนเป็นพ่อไม่อยากให้สิ่งที่คิดนั้นเกิดขึ้นจริง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งคู่มีปัญหากันจริง ๆ ซึ่งปัญหานั้นเขาก็รู้ดีว่าเกิดจากอะไร
“...ม่านฟ้าล่ะ”
“ติดต่อไม่ได้เช่นกันครับ” อิทธิกรข่มเปลือกตาลงอย่างคนระงับอารมณ์ ขณะที่ภรรยาคู่ชีวิตก็ยังคงร้องห่มร้องไห้ให้กับการหายตัวไปของลูกชายคนโต พัดชาร้องไห้จนจมูกแดง เธออดจินตนาการถึงสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ไม่ได้เลยสักนิด
“เรายังมีหวังนะ ยังไม่พบพาทิศก็แปลว่าลูกยังปลอดภัย”
“แต่ ฮึก...นักประดาน้ำไม่พบลูกเลย อึก ทำยังไงดี ฮืออ~” พัดชาซบหน้าลงที่ต้นแขนแกร่งของคนเป็นสามี เธอรับรู้ว่าอีกฝ่ายก็เสียใจไม่ต่างกัน ทว่าเขาพยายามมีสติให้ได้มากที่สุด
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเคลียร์คดีหาคนร้ายให้” เสียงของพี่ชายฝาแฝดเอ่ยพูดขึ้นมา อัทธากรเห็นแววตาความสับสนหลายอย่างจากแววตาของน้องชาย “กำลังสงสัยคินณ์อยู่ใช่ไหม”
“ไม่รู้ว่ะ แค่รู้สึก...ไม่รู้สิ” เขาไม่อยากคิดแบบนั้นเลย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพาคินณ์นั้นเกเรมากแค่ไหน แถมเจ้าตัวยังเคยขู่ทำร้ายพี่ชายด้วยหากว่ายังยืนยันจะแต่งงานกับม่านฟ้า
...งานวิวาห์ที่จะจัดขึ้นภายในเดือนหน้านั้นจำเป็นต้องชะงักไปเมื่อเจ้าบ่าวหายตัวไป ขณะที่ม่านฟ้าจะกลายเป็นหม้ายขันหมากหากว่าไม่พบตัวพาทิศภายในเดือนหน้า
“เอาเป็นว่าตอนนี้ทุกคนอย่าเพิ่งคิดว่าคนนั้นคนนี้เลย อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นคนในครอบครัวเลยนะ พี่คิดว่าถึงคินณ์จะเป็นแบบนั้น แต่ไม่ใช่คินณ์หรอก คินณ์ไม่เลวขนาดนั้น”
“_” อิทธิกรสบตากับลูกพี่ลูกน้องของเขาอย่างหมอวิลล์ จิตแพทย์ที่กำลังช่วยคุมสถานการณ์ความเสียใจของคนในครอบครัวอยู่ ซึ่งคำพูดของคนเป็นพี่ทำให้อิทธิกรพยักหน้ารับ
“ปิดข่าวให้เงียบที่สุด อย่าให้หลุดแม้แต่ประโยคเดียว” เลขาฯของเขาพยักหน้ารับ พาทิศที่เพิ่งขึ้นเป็นประธานบริษัทแทนผู้เป็นพ่อได้ไม่ถึงปีหายตัวไป แน่นอนว่ามันกระทบกับบริษัทโดยตรง หุ้นในตลาดผันผวนอย่างแน่นอน เขาอยากให้ทุกอย่างแน่ชัด อยากเจอบุตรชายเสียก่อน แม้นจะต้องพลิกแผ่นดินหาเขาก็จะทำ
“แล้วเรื่องงานจะเอายังไง...” อิทธิกรหันไปมองใบหน้าของเจ้าของคำถามอย่างอัทธากร “หรือจะกลับไปบริหารงานเอง”
“ไม่หรอก เดี๋ยวให้วินท์มาดูแลแทนไปก่อน”
“โอเค ส่วนเรื่องตามหาคนร้ายเดี๋ยวกูให้นักสืบที่บริษัทตามให้”
“...ฝากด้วย” หัวใจคนเป็นพ่อแทบสลาย เขาเกษียณอายุงานตัวเองไปแล้ว ฝากฝังไว้กับลูกชายทั้งสามให้ดูแล บริษัทที่เติบโตเป็นอย่างมากนั้น การบริหารเพียงลำพังไม่ใช่เรื่องง่าย การแบ่งงานให้สามแฝดนี้เพียงหวังให้ทุกคนช่วยกันทำงาน ทว่าปัญหาไม่ลงรอยกันของพี่ชายฝาแฝดคนโตกับคนกลางนี่น่ะสิ...
ม่านฟ้า...ผู้หญิงที่ลูกชายคนกลางรัก คนเป็นพ่อหนักใจที่จะให้แต่งงานกับพาทิศลูกชายคนโต แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อเธอเป็นคนเลือกพาทิศเอง และเขาก็ต้องการที่ดินจากตระกูลของม่านฟ้ามาขยายธุรกิจ หากว่าเป็นพาคินณ์ที่ทำร้ายพี่ชายตัวเองจริง ๆ เขาจักทำเช่นไร...
แล้วงานแต่งงานจะยังไงต่อ...หากเปลี่ยนเป็นพาคินณ์ทางนั้นก็คงไม่ยอม แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นพาวินท์...ยังมีโอกาสเสียมากกว่า
ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนสีซีดกำลังทำงานอยู่ในร้านโชห่วยใกล้อะพาร์ตเม้นต์ที่พักในเวลาเช้ามืด ปานวาดรับหน้าที่จัดของเข้าร้านแทนเจ้าของร้านที่เธอได้รับเมตตา สินค้ามากมายนั้นถูกยกขึ้นบนชั้นสูงสุด การทำงานมาอย่างยาวนานแทบไม่เคยได้พักทำให้เธอมีพละกำลังมากขึ้น หญิงสาวแข็งแกร่งมากพอที่จะยกแพ็กน้ำเปล่าขึ้นวางบนชั้นวางได้
ปานวาดต้องรีบจัดสินค้าก่อนเวลาเปิดร้าน ซึ่งนอกจากจัดสินค้าแล้วเธอยังต้องนับสต๊อกและตรวจเช็กวันหมดอายุ หญิงสาวทำอย่างนี้มานานนมตั้งแต่ออกจากสถานศึกษาตอนจบม.3 เธอทำงานตั้งแต่เวลาตีสี่จนถึงเจ็ดโมงเช้า ซึ่งเหลือเวลาเพียงสองชั่วโมงสำหรับอาบน้ำทานข้าวและเดินทางไปโรงงานเดอะเกรทฯ
...เรื่องของคนเป็นลูกยังคงวนเข้ามาในหัวไม่หยุด เย็นนี้เธอคงไม่ได้รับงานแม่บ้าน แถมยังต้องเข้าคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการเพื่อพาลูกสาวไปฝังยาคุมกำเนิด ด้วยความที่เธอไม่สามารถลางานที่โรงงานได้ ไม่รู้ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร แม้นจะมีสวัสดิการจากรัฐบาลแต่ด้วยเวลาที่เธอต้องทำงานก็คงใช้สิทธิ์นั้นยาก หากว่ารอวันหยุดก็เกรงว่าจะไม่ทัน พาขวัญห้ามไม่ได้เลย เธอดื้อและมีความคิดเป็นของตัวเองสูงมาก
“วันนี้จัดของเร็วนะ” เสียงของเจ๊เล้งเจ้าของร้านดังขึ้น ร่างท้วมเดินลงจากบันไดบ้าน ก่อนที่ปานวาดจะหันไปยกมือพนมไหว้
“ค่ะ ของไม่เยอะน่ะค่ะ”
“แหงสิ ช่วงนี้ขายไม่ค่อยได้ คนไปเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตกันหมดแล้ว จริง ๆ เจ๊ว่าจะเลิกจ้างเราแล้วล่ะ”
“คะ?”
“แต่ไม่ต้องห่วง เจ๊ไม่เลิกจ้างหรอก” หญิงวัยกลางคนยิ้มให้กับใบหน้าตื่นตระหนกของหญิงสาว เจ้าตัวรู้สึกเมตตาหญิงสาวคนนี้มาก ความขยันรอบคอบไม่เคยทำงานพลาดทำให้ได้รับความไว้วางใจมาเสมอ
“ชอบคุณค่ะ ขอบคุณนะคะเจ๊...”
“สู้ ๆ นะ อย่าท้อล่ะ” ฝ่ามือของผู้อาวุโสตบลงเบา ๆ ที่ไหล่บาง เห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่อุ้มลูกน้อยมาขอที่พักอาศัย
“ค่ะ ขอบคุณเจ๊นะคะ ขอบคุณทุกอย่าง” ปานวาดว่าพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตา ยังคงจำวันแรกที่หนีออกจากบ้านมาได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ๊เล้ง ให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่พักก็คงไม่มีเธอในวันนี้ แต่ก็อยู่ด้วยได้ไม่นานเพราะความเกรงใจ พอเก็บเงินได้เธอก็ไปเช่าห้องอยู่ แม้นว่าเสี่ยภูผาจะจ้องทำมิดีมิร้ายเธอ แต่ค่าห้องก็แสนถูก เธอยังสามารถเก็บเงินส่งเสียลูกสาวให้ได้เรียนหนังสือจนอายุได้สิบห้าขวบ ซึ่งปีการศึกษาหน้าต้องหาโรงเรียนใหม่เพื่อเรียนม.ปลาย หากลูกสาวสอบได้โรงเรียนดี ๆ ก็คงจะดี เธอจะส่งเสียให้ได้จนสุดลมหายใจ
...เวลานี้เป็นอันรู้กันว่าใกล้เปิดร้านแล้ว เจ๊เล้งลงมาเปิดทีวีฟังข่าวในตอนเช้าพร้อมกับนั่งทำบัญชีแบบนี้ ทว่า
“อ่า...มาถึงข่าวใหญ่ในวงการบันเทิงของเช้าวันนี้ เมื่ออยู่ ๆ นางแบบสาวสัญชาติไทยที่ไปดังในต่างประเทศอย่างเชอรี่-ธัญชนก โพสต์อินสตราแกรมเป็นรูปนกสีขาวโบยบิน ข่าวลือบอกว่าเธอได้เลิกรากับไฮโซหนุ่มพาวินท์ ที่ใคร ๆ ต่างรู้จักว่าเป็นทายาทเดอะเกรทฯ...ซึ่งตอนนี้ทางทีมข่าวของเราได้โทรไปถามคุณเชอรี่ แต่ทางนั้นยังไม่ออกมาพูดอะไร บอกว่าจะแถลงอีกทีในวันที่พร้อม...”
“มีอะไรหรือเปล่าปาน...” เจ๊เล้งมองเห็นปานวาดยืนจ้องโทรทัศน์อยู่นานก็เลยเอ่ยถาม ซึ่งคำถามของเจ้านายทำให้ร่างบางสะดุ้งก่อนที่เธอจะส่ายหน้าพร้อมกับหันไปทำงานดังเดิม
“หึ...เหมือนเดิมเลยสินะ” มุมปากของปานวาดเหยียดยิ้ม ชื่อนี้ทำให้เธอโกรธจนตัวสั่น คิดแล้วคิดอีกว่าจะบอกเขาเรื่องลูกหรือไม่ แต่เขาทำตัวแบบนี้เธอก็คิดว่าตนทำถูกแล้วที่ไม่ได้บอกเขา
เจ้าชู้...ไม่เคยเปลี่ยน
กระนั้นเสียงของผู้ประกาศข่าวบันเทิงยังคงดังเข้ามาในหูอย่างเนือง ๆ
“จะว่าไปแล้วภายในปีนี้คุณพาวินท์เปลี่ยนแฟนไปแล้วสี่คนสมฉายาคาสโนวาตัวพ่อจริง ๆ ดาราตัวท็อปทั้งนั้น แอบได้ยินมาว่าที่เลิกรากับคุณเชอรี่ไปเพราะมีสาวใหม่...อ๊ะ มาลุ้นกันอีกทีว่าจะเป็นใคร...แอบกระซิบว่าเป็นดาราน้องใหม่ที่กำลังมาแรงค่ะ”
“ว๊าย! ตายแล้วคุณผู้โชมมม ใครกันนะ...ส่งไม้ต่อให้คนดังทันทีแบบนี้...ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงแล้วล่ะค่ะ”
...ปานวาดกลืนน้ำลายลงคอ ขณะที่เธอทำงานงก ๆ เพื่อหาเงินเลี้ยงลูก แต่เขากลับเสเพลเสพสุขกับผู้หญิงไปเรื่อย เพราะอย่างนี้เธอถึงไม่อยากเรียกร้องอะไรจากเขา ไม่อยากปวดหัวกับผู้ชายเจ้าชู้พันนี้ แม้นว่าเขาจะร่ำรวยเงินทองระดับมหาเศรษฐีก็ตามแต่ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอดีตที่ไม่อาจกลับไปแก้ไข เป็นความสวยงามที่ได้ลูกน้อยมาให้เธอ...
บนไพรเวตเจ็ทเครื่องบินลำหรู พาวินท์ยังคงนอนไม่หลับอีกทั้งอาการเจ็ตแล็กก็เริ่มเล่นงาน การเดินทางกว่ายี่สิบชั่วโมงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีความเป็นห่วงพี่ชายกระวนกระวายภายในใจมากเพียงใดพาวินท์ก็มีสีหน้านิ่งเรียบ เขาคอยฟังข่าวสารจากที่บ้าน ภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับพี่ชายฝาแฝด
“บอสครับ...ข่าวของคุณเชอรี่ออกแล้วนะครับ” คิ้วหนาย่นเข้าหากันเมื่อได้ยินเสียงของเลขาฯหนุ่มที่เดินเข้ามา
...รวดเร็วทันใจเสียจริงสำหรับผู้หญิงคนนี้
“ดังไหม”
“มากเลยล่ะครับ ที่ไทยเล่นข่าวกันใหญ่เลยครับ” มุมปากของพาวินท์กระตุกยิ้ม เขาพึงพอใจกับข่าวนี้เสียเหลือเกิน ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบริมฝีปาก ก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปรับโทรศัพท์จากเลขาฯหนุ่มเพื่ออ่านข่าวของตน
“ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ” ซึ่งพอเห็นการพาดหัวข่าวของนักข่าวทุกสำนักนั้นก็ยิ่งชอบอกชอบใจเพิ่มมากขึ้น
“อย่าลืมติดต่อผู้หญิงที่ว่านั้นล่ะ...”
“หมายถึงคุณไข่มุกเหรอครับ”
“ก็ดาราหน้าใหม่ที่ว่านั่นไง ฉันกลับไทยพอดีก็ติดต่อให้มาหาสักหน่อย” ไรอัลพยักหน้ารับ แอบคิดในใจว่าเจ้านายของเขาควรไปตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เสียบ้าง
“มองอะไร”
“ก็...”
“มึงคิดอะไรอยู่แน่ ๆ”
“เปล่าสักหน่อย แค่คิดว่านายอาจจะติดโรคแล้ว...”
“ห้ะ...”
“หืม...อ้อ ผมเผลอพูดออกไปเหรอครับ”
“เปล่า กูไม่ได้ยินเลย ไม่ได้ยินว่ามึงคิดว่ากูติดโรค!” พาวินท์ว่าพร้อมกับปาปากกาที่ติดอยู่บนเสื้อสูทนั้นใส่คนเป็นลูกน้อง “เดี๋ยวเถอะ”
“ฮ่า ๆ แค่หยอก ๆ ครับบอส” ไรอัลหัวเราะชอบใจที่ทำให้ใบหน้านิ่งเรียบของพาวินท์มีสีขึ้นมา แต่เป็นสีแดงของความโกรธ
“กูป้องกันตลอด เด๊ะเถอะ...”
“โธ่ แค่ล้อเล่นเองครับ” ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ เขาเอนหลังพิงเบาะดังเดิม ไม่คิดถือสาคำพูดของไรอัลหรอกเพราะเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน หากไม่มีไรอัลชีวิตของเขาก็คงขาดสีสัน
“หวังว่าจะเห็นนะ...” พาวินท์พึมพำกับตัวเอง ถ้าเธอคนนั้นยังไม่ตายก็คงเป็นข่าวคราวของเขาบ้าง ชายหนุ่มเลือกเคร้านารีที่มีชื่อเสียง เพื่อให้ได้เป็นข่าวโด่งดังไปถึงหูเธอคนนั้น มุมปากหยักได้รูปยกขึ้นสูงอย่างคนสะใจ เขาทำตามสิ่งที่เธอคนนั้นครหาแล้ว...