“จริงสิป้าหลุน พี่ใหญ่หลุนว่างหรือเปล่า ช่วงเย็นก็ได้หรือช่วงไหนก็ได้” ก่อนที่นางหลุนจะเดินจากไป โจวเพ่ยชิงก็ถามขึ้นมา
“มีอะไรหรือเปล่าเพ่ยชิง” นางหลุนถามกลับมาอย่างสงสัย
“พอดีว่าปีหน้าสองแฝดต้องเข้าเรียน แต่ฉันอยากให้ลูกทั้งสองอ่านออกเขียนได้ก่อน พี่ใหญ่หลุนเคยเป็นครูใช่ไหม เขาจะรับสอนเด็กทั้งสองคนได้หรือเปล่า แต่เอาเฉพาะเวลาว่างนะคะ”
เรื่องที่ลูกชายบ้านหลุนเคยเป็นครูโรงเรียนประถมมาก่อนนั้น ชาวบ้านล้วนรู้ดี แต่เพราะเกิดการกลั่นแกล้งเลยทำให้เขาต้องลาออกกลับมาอยู่บ้าน และทำงานในคอมมูนจนถึงปัจจุบัน พอมีโอกาสได้คุยกัน เลยถามเรื่องนี้ขึ้นมา
“จริงเหรอเพ่ยชิง”
ไม่ใช่เสียงใคร แต่เป็นเสียงของหลุนหมิงซานั่นเอง
“อ้าวพี่ใหญ่ พี่รอง พี่ใหญ่หลุน กลับมากันแล้วเหรอคะ”
โจวเพ่ยชิงหันไปมองตามเสียง ก็เอ่ยทักทายทั้งสามคนขึ้น
“อืม กลับมาแล้ว แล้วนี่น้องยังไม่ตอบพี่ใหญ่หลุนเลย”
“ค่ะ ฉันพูดจริง ฉันต้องการให้สองแฝดได้เรียนรู้ตัวอักษรก่อนที่จะเข้าเรียนในปีหน้า ฉันกำลังมองหาครูมาสอนให้สองคนนี้พอดี นึกได้ว่าพี่เคยเป็นครูมาก่อน ว่าแต่พี่จะรับสอนได้หรือเปล่า”
“ได้สิ แต่ไม่ต้องจ้างหรอก เราคนกันเอง เพ่ยชิงก็ไม่ต่างจากน้องสาวพี่ หลานทั้งสองก็เป็นเหมือนหลานพี่ อย่าคิดมากเลยนะ วันหยุดให้พาหลานมาที่นี่ก็แล้วกัน ส่วนวันธรรมดาช่วงนี้อยู่ในช่วงเพาะปลูก น่าจะยังไม่สะดวกนัก”
หลุนหมิงซายินดีที่จะสอนหลานทั้งสองคน และไม่คิดค่าใช้จ่าย เนื่องจากบ้านหลุนและบ้านโจวคบหากันมานานตั้งแต่รุ่นปู่ ดังนั้นการที่จะสอนหลานอ่านเขียน จึงไม่จำเป็นต้องมาคิดเงิน
“อย่างนั้นเหรอ ขอบคุณมากนะพี่ใหญ่หลุน”
“อืม ไม่เป็นไร แต่สมุดและดินสอเพ่ยชิงหามาเองนะ”
“ได้สิพี่”
จากนั้นทั้งสองบ้านต่างก็แยกย้ายเข้าบ้านของตนเอง
“โห! นี่ใครทำอาหารเนี่ย ถ้าเป็นเสี่ยวชิงทำนะ วันนี้ผมจะท้องเสียหรือเปล่า” โจวว่านปิงทำน้ำเสียงตื่นเต้นเกินจริงมาก จนน้องสาวอย่างโจวเม่ยเม่ยอดที่จะตีแขนพี่ชายไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นพี่รองไม่ต้องกินอาหารที่พี่สามทำ ตกลงไหม เดี๋ยวฉันจะไปผัดแตงกวาให้กิน” โจวเม่ยเม่ยบอกกับพี่รองของเธอ
“หยุดในความหวังดีเลยน้องเล็ก แม้จะต้องท้องเสีย พี่ก็ยอมกล้ำกลืนฝืนทนกินก็แล้วกัน เนอะอาเฉิน ซานซาน เห็นด้วยกับลุงรองไหม” คราวนี้พี่รองของบ้านหาลูกคู่เป็นหลานทั้งสองคน แต่หลี่รุ่ยเฉินและหลี่ซานซาน สองแฝดกับไม่คล้อยตาม
“ไม่ค่ะ แม่ทำอาหารอร่อยมากกก” เด็กน้อยซานซานยังมีการลากเสียงเพื่อยืนยันว่าอาหารนั้นอร่อยจริง ๆ
“อ้าว แปรพักตร์เฉยเลย” โจวว่านปิงทำหน้าตาหลอหลา เหมือนเขากำลังถูกรังแกจากน้องสาวและหลานสาวตัวน้อย
“นายก็แกล้งน้องเจ้ารอง เพ่ยชิงทำให้กินก็ดีแค่ไหนแล้ว”
โจวเทียนอี้ พี่ใหญ่ของบ้านบ่นน้องชายอย่างไม่จริงจัง ทำให้บ้านโจวเวลานี้อบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ โจวเพ่ยชิงมองภาพนี้น้ำตาซึมเล็กน้อย ไม่คิดว่าเธอจะได้กลับมาหาครอบครัวอีกครั้ง ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกคนอีกครั้ง
ย้อนกลับมายังค่ายทหาร
“จบสิ้นภารกิจเสียทีนะอาตง”
สหายร่วมกองทัพอีกทั้งยังเป็นสหายรักของหลี่ฮั่นตง นอนแผ่หราบนเตียงก่อนจะพูดขึ้นมา
“อืม” หลี่ฮั่นตงทำเพียงขานรับในลำคอ
“แล้วนี่นายจะกลับบ้านหรือเปล่า เดือนหน้านายได้วันหยุดแล้วนี่ แล้วอาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง” สหายคนเดิมถามออกมาอย่างเป็นห่วยเป็นใย
ใช่แล้ว... ภารกิจในครั้งนี้มีทหารหลายคนรวมทั้งหลี่ฮั่นตงได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่มากนัก เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นก่อนกำหนด ทำให้ผู้บัญชาการกองทัพให้รางวัลเป็นวันหยุดแก่ทหารทั้งสิบสองนาย ที่เข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ หนึ่งในนั้นคือหลี่ฮั่นตง!
“กลับ แต่รอให้หายก่อน แล้วนายล่ะ กลับบ้านไหม”
“กลับสิ คิดถึงลูกกับเมียใจจะขาด นายกลับพร้อมกันไหม ยังไงหมู่บ้านเราก็อยู่ใกล้กัน” หว่านซีห่าวบอกออกมา
ใช่แล้ว หลี่ฮั่นตงและหว่านซีห่าวนอกจากจะเป็นสหายร่วมกองทัพแล้ว ยังอยู่หมู่บ้านใกล้กันอีกด้วย
“อืม” หลี่ฮั่นตงทำเพียงขานรับในลำคอเหมือนเดิม
“เฮ้อ... นายจะพูดให้มันมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ หรือกลัวอะไรจะหลุดออกมา แล้วนี่นายไม่ดีใจเหรอ จะได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นนายกอง” หว่านซีห่าวถามขึ้นมาอีกครั้ง
สายตาคมเข้มมองมายังสหายของตนเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ไม่ละ แต่ดีตรงที่ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น”
หลี่ฮั่นตงไม่ได้ดีใจขนาดนั้น เพราะแม้จะได้เลื่อนขั้นก็จริง แต่ภาระหน้าที่นั้นที่ได้รับมาก็มากกว่าเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เขาพอใจคือเรื่องเงินเดือนที่ได้รับนั้นมากขึ้นต่างหาก นี่ยังไม่รวมถึงเบี้ยเลี้ยงพิเศษเมื่อออกปฏิบัติภารกิจนอกกองทัพที่ได้เพิ่มขึ้นด้วย อย่างน้อยเขาก็มีเงินส่งกลับบ้านมากขึ้น ไม่รู้ว่าเวลานี้ลูกทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรบ้าง โตขึ้นมากหรือไม่
ในขณะนึกถึงลูกฝาแฝด ใบหน้าของชายหนุ่มจากที่เย็นชาและเคร่งขรึม กลับมีรอยยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เมื่อนึกถึง
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา ใบหน้าเปลี่ยนเป็นคล้ายกับหนักใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า เวลานี้โจวเพ่ยชิงได้เปลี่ยนไปแล้ว
หว่านซีห่าวมองหน้าสหายพร้อมกับส่ายหน้าใส่เล็กน้อย นายทหารถูกเลื่อนตำแหน่งเช่นสหาย แต่กลับไม่ดีใจ คิดแต่เพียงเงินที่ได้รับเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง
ทว่ายังไม่ทันได้สนทนาอะไรกันต่อ หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาเสียก่อน ซึ่งเธอก็คือคุณหนูฟ่าน ลูกสาวของนายพลฟ่านที่หมายปองหลี่ฮั่นตงอยู่นั่นเอง
“เป็นอย่างไรบ้างคะพี่ฮั่นตง วันนี้ดีขึ้นบ้างไหม แล้วนี่
พลทหารซีห่าว นายกล้าดีอย่างไรมานอนบนเตียงคนป่วย แล้วให้พี่ฮั่นตงนั่งตรงนั้น” เสียงแหลม ๆ ของคุณหนูฟ่านนั้นดังแสบแก้วหูไม่น้อย หว่านซีห่าวแทบอยากจะหาอะไรมาปิดหูเสียเดี๋ยวนี้
“อาตงไม่ได้บาดเจ็บหนักขนาดนั้น ว่าแต่คุณหนูฟ่านมาที่นี่ทำไมครับ สถานพยาบาลแห่งนี้ ไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้ามาวุ่นวายได้”
“นี่นายตำหนิฉันเหรอ แล้วยังไง ฉันเป็นลูกสาวนายพลฟ่าน จะไปที่ไหนก็ได้ อีกอย่างนะ ฉันจะบอกว่าต่อไปนี้ พี่ฮั่นตงจะต้องดูแลฉันและคอยขับรถให้ฉันเท่านั้น”
“คงไม่ได้หรอกครับคุณหนูฟ่าน หน้าที่ผมคือรั้วของชาติ ไม่ใช่คอยดูแลใคร” หลี่ฮั่นตงตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา เพราะความเย็นชาและไม่สนใจใครของเขานี่แหละ คล้ายกับจะโดนใจของคุณหนูฟ่านมากนัก เธอตามตื๊อเขาไม่หยุด
“และที่สำคัญ เรื่องนี้ไม่รู้ว่าคุณหนูทราบแล้วหรือไม่ว่าผมแต่งงานแล้วครับ และไม่คิดจะทำลายความรู้สึกของภรรยาโดยการนอกใจ หรือการมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวคนอื่น”
แม้จะไม่ได้รักภรรยาก็ตาม แต่เพราะแต่งงานจนมีลูกแล้ว เขาจึงไม่คิดจะทิ้งขว้างโจวเพ่ยชิง หรือต่อให้ไม่มีลูก เขาก็พร้อมที่จะอยู่ดูแลและอยู่กินฉันสามีภรรยาเช่นเดิม จนกว่าเธอจะเจอคนใหม่และขอหย่ากับเขาเอง
“หมะ หมายความว่ายังไง พี่แต่งงานแล้ว ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ”
คุณหนูฟ่านตื่นตระหนกตกใจไม่น้อย เมื่อรู้ว่าผู้ชายที่เธอหมายปองนั้นมีครอบครัวแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนจริง ๆ
“ทำไมผมต้องโพนทะนาเรื่องส่วนตัวให้คนนอกรับรู้ด้วยล่ะ”
สายตาคมเข้มตวัดมองอย่างไม่พอใจ ไม่ใช่เขาต้องการปิดปังเรื่องแต่งงานแล้ว แต่เขามองว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องบอกใครต่อใครว่าเขาแต่งงานแล้วต่างหาก
“แล้วยังไงคะ ฉันเป็นถึงลูกสาวท่านนายพล พ่อฉันสามารถสั่งปลดพี่ได้ พี่กล้าปฏิเสธฉัน?”
แล้วยังไง ในเมื่อเธอชอบ เธอต้องการ อำนาจของพ่อเธอคงช่วยเธอได้ อีกทั้งเมียพี่ฮั่นตงเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จะมาสู้อะไรเธอได้ เธอเป็นถึงลูกสาวนายพลเชียวนะ
“คุณหนูฟ่านครับ ทำตัวแบบนี้ท่านนายพลทราบหรือไม่ว่าลูกสาวสุดที่รักคิดจะแย่งชิงสามีคนอื่น” หว่านซีห่าวพูดขึ้นอีก
เรื่องที่หลี่ฮั่นตงมีภรรยาแล้วเขาพอจะรู้ แต่ไม่คิดจะเปิดเผยกับใคร และคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน เขาเองก็แต่งงานแล้ว นอกจากสหายที่สนิท คนอื่นก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน
“นายลุกขึ้นเถอะ ฉันง่วงแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางของสหายและคุณหนูฟ่านคล้ายจะมีปากสียงกัน หลี่ฮั่นตงจึงเดินมาที่เตียงนอน เมื่อสหายลุกขึ้น จึงล้มตัวนอนและไม่สนใจใครอีก
นี่จึงทำให้คุณหนูฟ่านสะบัดหน้าเดินจากไปด้วยความขุ่นใจ
“เดี๋ยวเย็นฉันจะมาหาใหม่ นายนอนพักเถอะ”
จากนั้นหว่านซีห่าวขอตัวไปทำงานและจะกลับอีกครั้งเย็นนี้