บทที่2. สั่งอะไรก็ทำ

1416 คำ
“ว้าย!”  หญิงสาวร้องอย่างตกใจ รีบหมุนตัวมาดู แต่พอเห็นอีกฝ่ายกำลังจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่อยู่  นางรีบก้มหน้างุดลงทันที “เป็นอะไรของเจ้า”   หยางเหลาหู่ยกมือขึ้นกอดอก ก้มมองตัวเองด้วยความแปลกใจ ปกติผู้หญิงคนไหนเห็นเขามีแต่อ่อนระทวยทั้งนั้น  เพิ่งจะมียายเด็กผอมกะหร่องคนนี้ที่เอาแต่ก้มหน้า ดวงตาคมกริบจ้องมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  นางสวมชุดกระโปรงปักลายดอกไม้เล็กๆน่ารัก   ยืนกอดห่อผ้าใบย่อม เขารู้สึกถึงคนที่วิ่งผ่านหน้าห้องของเขาไปพร้อมเสียงพูดคุยที่เขาไม่สนใจ  แต่กลับทำให้ผู้หญิงคนนั้นกระเถิบกายเข้ามาในห้องมากขึ้น ราวกับกลัวคนอื่นจะรู้ว่านางอยู่ตรงนี้ “เสี่ยวหงส่งเจ้ามาใช่ไหม”  เขาถามทำลายความเงียบตรงหน้าทิ้ง “อะ...เอ่อ...”   หญิงสาวเงยหน้ามองเขา อึกอักพูดไม่ออกเหมือนคนเป็นใบ้ “เจ้ามาทำงานเป็นสาวใช้?” “สาวใช้?” แล้วนางก็พูดออกมาจนได้ แล้วก็ทำหน้าอย่างเพิ่งนึกได้ รีบพยักหน้าแรงๆ ทันที “ข้าทำอาหารได้ ทำความสะอาดบ้าน ซักเสื้อผ้าหรือรดน้ำพรวดดินต้นไม้ก็ได้เจ้าค่ะ” “อยากได้แค่คนทำความสะอาดบ้านกับทำอาหาร ซ่อมเสื้อผ้า แต่รดน้ำพรวนดินคงไม่เหมาะกับเด็กอย่างเจ้า” เขากวาดตามองหญิงสาวเบื้องหน้า ประเมินด้วยสายตา “อายุเท่าไหร่แล้ว” “สิบเจ็ดแล้ว”  นางทำตาดุใส่ แต่ประโยคของหญิงสาวทำให้เขาหัวเราะพรืดออกมา “ตัวเล็กเหมือนเด็ก ที่บ้านเจ้ายากจนกินไม่อิ่มหรือไร” “ก็ท่านมันตัวโตเป็นยักษ์เองนี่”   นางเผลอโต้เถียงเขา แต่พอรู้ตัวก็หุบปาก หยางเหลาหู่รู้สึกชอบใจ ไม่ค่อยมีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเขาบ่อยนัก เอาเถอะ ขุนให้อ้วนอีกนิดคงพอมีแรงทำงานได้    “อยู่กินที่บ้านข้า ยังไงไม่อดมื้อกินมื้อหรอก ขอแค่ทำงานเต็มกำลังของเจ้าก็พอ หากไม่ไหวส่งกลับอย่างเดียว” “ได้”   นางพยักหน้ารับแล้วอดเหลือบมองไปทางประตูไม่ได้ “เจ้าเตรียมข้าวของมาแล้วใช่ไหม”  เขามองไปที่ห่อผ้าใบย่อมของนาง “เจ้าค่ะ ไปได้เลย”  นางรีบพูดเหมือนกลัวเขาเปลี่ยนใจ “ดี ข้าก็ไม่อยากเดินทางกลางคืน”   เขาพยักหน้า “ช่วยถือของให้ข้าด้วย” “เจ้าค่ะ” สั่งอะไรก็ทำ หยางเหลาหู่นึกในใจ  เห็นหญิงสาววางห่อผ้าของตัวเองแล้วเดินไปเก็บเสื้อของเขาที่วางทิ้งไว้บนที่นอน นางบรรจงพับแล้ววางใส่ห่อผ้าของเขาอย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว  เขามองเพลินจนลืมไปว่าตัวเองต้องรีบเดินทางแล้วเช่นกัน “เจ้าชื่ออะไร” “เสี้ยวเวย” หญิงสาวตอบแล้วก็สะดุ้งเหมือนคิดอะไรได้ แต่แสร้งทำเป็นนิ่งเฉย “แล้วนายท่านล่ะเจ้าคะ จะให้ข้าเรียกว่าอะไร” “หยางเหลาหู่”  เขาเอ่ยแล้วก็เห็นนางจัดเก็บเสื้อผ้าของเขาเรียบร้อย นางคว้าห่อผ้าของตนเองมากอดแนบอก อีกมือถือห่อผ้าให้เจ้านายอีก “จ้องข้าทำไม”  หยางเหลาหู่เห็นการทิ้งระยะห่างของนางที่มีต่อเขาก็รู้สึกพอใจ อย่างน้อย  นางไม่ได้แสดงการยั่วยวนเขาเหมือนเช่นผู้หญิงคนก่อน  แม้การพบกันแค่อึดใจตัดสินคนไม่ได้ แต่เขารู้สึกพอใจกับการทำตามคำสั่งของนาง   หลัวเสี้ยวเวยแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่  กระนั้นก็อดกังวลคนที่ตามมาจับตัวนางไม่ได้  ไม่เอาล่ะ ยังไงครั้งนี้นางไม่ยอมถูกส่งไปขายตัวใช้หนี้  ถึงลุงจางฉวนและป้าสะใภ้เคยเลี้ยงดูนางมาอย่างไร แต่ให้ตอบแทนบุญคุณเช่นนี้นางยอมทำไม่ได้  นางได้แต่ขอโทษลุงจางฉวนในใจ ขอไปตายเอาดาบหน้า ยอมถูกตราหน้าเป็นคนอกตัญญู แต่นางไม่คิดจะขายตัวเป็นอนุให้ใครทั้งนั้น หญิงสาวถือห่อผ้าตัวเองและถือห่อสัมภาระให้เขา แต่เพราะนางตัวเล็กจึงดูขัดหูขัดตา  ชายหนุ่มเป็นฝ่ายคว้าห่อผ้าของนางและของเขามาถือให้เสียเอง “นายท่าน! ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้” นางพูดขึ้นแล้วก้าวเร็วๆ ตามร่างสูงที่ก้าวช้าแต่ก้าวได้ยาวกว่านางนัก    “รู้แล้ว เจ้ามีสัมภาระอะไรอย่างอื่นอีกไหม?” “ไม่มี แต่ข้าเป็นสาวใช้นะเจ้าคะ”  นางทำให้เขาไม่พอใจและถูกถีบตัวส่งกลับตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มหรือเปล่านะ     “รู้แล้ว แล้วรู้ไว้ด้วยว่าที่ทำให้นี่ไม่ได้เต็มใจ แต่ข้ากำลังรีบ”  หยางเหลาหู่พูดเสียงเรียบ อดเหลือบตามองคนตัวเล็กไม่ได้  แค่เดินตามยังหอบแล้วจะมีแรงทำงานบ้านไหวไหม? หญิงสาวก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาใครและกลัวใครจะเห็นนางเข้า  เขาพานางมายังด้านนอก มีรถม้าสามคันและคนจำนวนหนึ่งที่ทำราวกับรอชายผู้นี้อยู่นานแล้ว เขาเหวี่ยงห่อผ้าเข้าไปในรถม้า ทำให้หญิงสาวรู้ว่านางต้องขึ้นรถม้าคันนี้ แต่เพราะไม่มีเก้าอี้หรือบันไดสำหรับปีนขึ้นรถม้า นางไม่มีปัญญาปีนขึ้นเอง เขย่งจนสุดปลายเท้าอยู่หลายทีก็ไม่อาจพาตัวเองเข้าไปด้านในได้สำเร็จ  เขาส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด  จำใจจับเอวของหญิงสาวยกนางขึ้นตัวลอย ส่งนางเข้าไปในรถม้าได้อย่างง่ายดาย “ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลัวเสี้ยวเวยทำหน้าไม่ถูก จึงพูดแก้เก้อออกไป  “รถม้าของนายท่านสูงไปนะ” “รถม้าของข้าผิดซินะ” “ขออภัยที่ตัวข้าเล็กไปหน่อย” “ทั้งตัวเล็กและขาสั้นด้วย” “ปาก...”  ปากคอเราะร้าย  นางยั้งปากได้ทัน  ทำให้ได้แต่ค้อนขวับเข้าให้  “เจ้าพูดอะไร” “เปล่าเจ้าค่ะ”  “งั้นเราไปเถอะ” “อืม”    หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างลืมตัว ไมได้สนใจสายตาดุดันของ หยางเหลาหู่  เขาอ้าปากจะพูดตำหนินาง แต่หญิงสาวกลับมุดเข้าไปด้านในหาที่ให้ตัวเองได้นั่งรวมอยู่กับข้าวของหลายอย่างที่เขาซื้อกลับไปตามรายการของหยางกั๋วชิ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแน่  หลัวเสี้ยวเวยได้แต่ถอนหายใจ  ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น แต่ต่อไปนี้ขอลิขิตชีวิตตัวเองเถอะนะ! อาจเป็นเพราะความกังวลและเคร่งเครียดสะสมมานาน  ทำให้หญิงสาวเผลอหลับไปในรถม้า   รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนรถม้าโคลงไปโคลงมา อาจเพราะถนนขรุขระ นางสะลึมสะลือตื่นไม่เต็มตา แต่รู้สึกว่ามีมือใหญ่ประคองศีรษะไม่ให้ไปกระแทกกับผนังของรถม้า มือหยาบกระด้างนั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ทว่านางไม่อาจฝืนตื่นได้ จึงปล่อยให้ตัวเองหลับตาอยู่อย่างนั้นจนรถม้าผ่านทางขรุขระ  มือนั้นจึงถอยห่าง  นานเพียงใดไม่อาจรู้ได้จนเมื่อรถม้าหยุดนิ่งสนิท นางจึงลืมตาพร้อมกับได้ ยินเสียงเรียกจากบุรุษหนุ่มผู้นั้น เมื่อนางงัวเงียโผล่หน้ามาทางช่องหน้าต่าง เห็นเพียงพยักหน้าให้เหมือนบอกว่าถึงแล้ว   หลัวเสี้ยวเวยนั่งปรับสติตัวเองอยู่ครู่ใหญ่  นางเดินทางร่วมสิบวัน  นอนอยู่บนรถม้า จอดพักเป็นระยะๆ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะไปที่ใด และไม่แน่ใจว่ามือใหญ่ที่ยื่นมาคอยประคองศีรษะนางไว้นั้นเป็นความจริงหรือเพียงแค่ความฝัน   นางยกมือลูบเส้นผมของตัวเอง ใช้ปลายนิ้วแทนหวีแล้วคว้าห่อผ้ามากอดไว้   หญิงสาวค่อยๆ ก้าวลงจากรถม้า ไม่รู้ใครเอาเก้าอี้มาวางไว้ให้นางได้ลงมาอย่างง่ายดาย ไม่ต้องกลิ้งลงมาให้เป็นที่ขบขันตั้งแต่วันแรกที่มาถึง   เมื่อออกมานอกรถม้าและยืนได้มั่นคงแล้ว นางเห็นป้ายป้อมพยัคฆ์ทมิฬโดดเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือศีรษะ   นางมิใช่ชาวยุทธและไม่ได้เป็นคุณหนูตระกูลหลัวอีกแล้ว นางจึงมิรู้ว่าป้อมพยัคฆ์ทมิฬแห่งนี้โด่งดังเพียงใด  กล่าวให้ถูกนางมิรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใดด้วยซ้ำ  หากแต่การเดินทางยาวนานสิบวันนี้  อย่างน้อยทำให้นางมั่นใจว่า ที่นี่ไกลห่างจากบ้านลุงจางฉวน  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม