“อยากได้หญิงรับใช้ทำงานบ้าน ไม่ใช่หญิงบำเรอ”
บุรุษหนุ่มโวยวายอยู่ในห้องพักของโรงเตี้ยม เดินทางแรมรอนมาสองเดือนจะได้กลับบ้านเสียที ยังต้องมาหัวเสียเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก นี่เห็นเขาว่างมากหรือไรต้องเพิ่มปัญหามาให้ก่อนเดินทางกลับเช่นนี้
เดินทางคุ้มกันสินค้าก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว ยุ่งยากต้องซื้อข้าวของกลับไปอีก รายการยาวเป็นหางว่าวกว่าจะได้ครบตามที่ต้องการ และหนึ่งในรายการที่ต้องซื้อคือ “สาวใช้” หนึ่งคน เขาสั่งกับเสี่ยวหงไว้แล้ว แม้รู้ ‘เสี่ยวหง’ ช่ำชองเรื่องใดก็เถิด แต่เพราะในเมืองนี้เขามิรู้ว่าจะไหว้วานใครหาหญิงสาวสักคนไปเป็นสาวใช้ จึงจำเป็นต้องให้เสี่ยวหงจัดการให้ มันเป็นรายการแรกที่เขาสั่งออกไปและเป็นรายการที่สุดท้ายที่เขาต้องเก็บขึ้นรถม้า ทว่ามันกลับเป็นรายการที่ยุ่งยากเมื่อเขามารับหญิงรับใช้จากเสี่ยวหง แต่กลับได้หญิงสาวแต่งกายน้อยชิ้นและพยายามเย้ายวนชวนเขาขึ้นเตียงเพื่อตรวจสอบสินค้า
เขายังคงโวยวายซ้ำยังผลักไสให้หญิงนางนั้นออกจากห้อง ปากตะโกนเรียกหาเสี่ยวหงทันที นางจึงได้ยืนตัวสั่นงันงกเช่นนี้
หยางเหลาหู่ คุณชายใหญ่แห่งป้อมพยัคฆ์ทมิฬ บุรุษอายุยี่สิบสองเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่กำยำ โครงหน้าคมคาย คิ้วเข้มเป็นระเบียบ ริมฝีปากหยักสวยกำลังเม้มแน่นสะกดโทสะในใจ
ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ มีกิจการหลายอย่างหนึ่งนั้นคือสำนักคุ้มภัย-คุ้มกันสินค้า เขาเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก แทบทุกที่เขาล้วนเคยย่ำผ่าน ชื่อเสียงของคุณชายหยางเหลาหู่น่าเกรงขามเพียงใดใครๆ ต่างรู้ดี นั้นทำให้กิจการของเขาดียิ่ง และมีน้องชายอย่างหยางกั๋วชิ่งที่คอยวางแผนซื้อขายจัดการเรื่องบัญชีต่างๆ เมื่อใดที่เดินทางคุ้มกันสินค้าไปเมืองหนึ่ง ขากลับจะได้สินค้ามีชื่อเสียงของเมืองนั้นกลับมาขาย มิได้มีการกลับบ้านมือเปล่าสักคราวเดียว เช่นครั้งนี้ที่เขามาเมืองเยว์และกลับเมืองจูโจวบ้านเกิด
“เจ้าค่ะๆ นายท่านอย่างเพิ่งโกรธ ข้าน้อยจะรีบหาหญิงรับใช้ให้ท่าน”
เสี่ยวหงกลัวจนตัวสั่น ไม่คิดว่าเขาต้องการ ‘สาวใช้’ จริงๆ หลายครั้งที่ชายผู้นี้มาและให้หาหญิงงามหรือนางรำไปรับรองผู้อื่นนั้น นางรับงานอย่างแข็งขันไม่มีขาดตกบกพร่อง นายท่านผู้นี้แม้ใบหน้าบึ้งตึงขึงขัง แต่จ่ายเงินให้ครบถ้วนไม่มีต่อรอง บางครั้งให้พิเศษเพิ่มเป็นน้ำใจ นางจึงถือว่าเขาเป็นลูกค้าชั้นดีของนาง
“ขออภัยนายท่าน” นางพยายามใช้เสียงอ่อนหวานของตนให้เป็นประโยชน์
“ข้าไม่อยากได้คำขอโทษ อยากได้สาวใช้ทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว!”
“อีกสักสองสามวันได้ไหมเจ้าคะ ข้าน้อยจะหาสาวใช้จริงๆให้” อยากได้คนที่เป็นงานก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย
“ข้ากลับวันนี้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เอา แล้วอย่าหวังว่าจะได้เงินจากข้าอีกไม่ว่ากรณีใดก็ตาม”
“คุณชายหยางโปรดใจกว้างให้โอกาสข้าน้อยเถิดเจ้าค่ะ” ลูกค้ากระเป๋าหนักเช่นนี้ นางต้องรั้งไว้สุดกำลัง
“ข้าให้อีกครึ่งชั่วยาม เจ้ารู้ว่าข้าพูดคำไหนคำนั้น ออกไปได้แล้ว ไป!”
อย่างไรเขาก็ต้องหาสาวใช้กลับไปให้ได้ ถ้าไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่อง
แค่นี้ ขบวนเดินทางที่เตรียมจะกลับแล้วนั้นคงได้เดินทางไปนานแล้ว
“เจ้าค่ะๆ” นางพูดขึ้นทั้งที่ปากคอสั่น
ผู้ชายคนนี้แม้จะอายุเพียงยี่สิบต้นๆ แต่ดูน่าเกรงขาม และชื่อเสียงความโหดเหี้ยมเอาแต่ใจก็ดังกระฉ่อนพอๆ กับความร่ำรวยของเขาเองด้วย เสี่ยวหงปากคอสั่นแล้วรีบวิ่งออกไปทันที
หยางเหลาหู่ได้แต่สูดลมหายใจลึก แม้เขาเคยให้เสี่ยวหง จัดหาหญิงสาวมาปรนเปรอเป็นครั้งคราว ตามประสาชายหนุ่มที่ยังมิได้แต่งงาน แต่ครั้งนี้เขาต้องการ ‘หญิงรับใช้’ จริงๆ เสี่ยวหงกลับส่งหญิงบำเรอมาแทน
เหตุที่ต้องหาหญิงรับใช้ไกลบ้านเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเพราะเขาเองรำคาญหญิงสาวที่เข้ามาวุ่นวายในชีวิต หลายครั้งหลายคราวที่รับสาวใช้มาทำงานในบ้าน แต่ละคนล้วนอยากเลื่อนจากสาวใช้มาเป็นอนุหรือภรรยา ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาเอง น้องชายหรือแม้กระทั้งบิดาของเขาซึ่งมีมารดาของเขาเป็นเพียงภรรยาเอกคนเดียว เขาจึงขับไล่หญิงรับใช้ไปหมด เหลือเพียงหญิงรับใช้ที่รุ่นใหญ่ที่แก่ชราลงไปทุกวัน เรี่ยวแรงไม่ค่อยมีซ้ำอาหารที่เคยถูกปากก็รสชาติเปลี่ยนไป ครั้นจะจ้างพ่อครัวใหม่ก็เห็นสีหน้าหมองเศร้าของแม่ครัวคนเก่าคนแก่ที่ใจสลายเพราะตกลำดับขั้นแล้ว เขาจำใจต้องกินอาหารรสชาติย่ำแย่นั้น
“ควรมีสาวใช้มาคอยดูแลงานในบ้าน”
“บ่าวผู้ชายมันทำงานไม่ได้หรือไง”
“บางอย่างมันก็ต้องใช้ผู้หญิงทำ” หยางกั๋วชิ่งส่ายหน้าไปมา “เดินทางคราวนี้ก็หาซื้อสาวใช้มาสักคน”
“แถวบ้านเราไม่มีรึ” ซื้อของมาค้าขายวุ่นวายมากพอแล้ว ไยต้องหาซื้อสาวใช้มาอีก คนมิใช่สิ่งของ ถึงมีแข้งมีขาแต่ก็ลำบากที่ต้องคอยดูแลระหว่างเดินทาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่นิยมรับงานคุ้มครอง ‘คน’ นัก
“ชื่อเสียงท่านไม่มีผู้ใดกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงแล้ว”
“ข้า?”
“นายท่านโหดเหี้ยมทำสาวใช้ร้องไห้กระเจิดกระเจิง มีใครกล้ามาเป็นสาวใช้ที่นี่”
“แค่ร้องไห้! ข้ามิได้หักแขนขานางเสียหน่อย นางบังอาจยั่วยวนแม้กระทั้งท่านพ่อ ข้าไม่สั่งโบยนางก็ดีเพียงใดแล้ว”
“เอาเถอะๆ อย่างไรก็หาสาวใช้มาช่วยแบ่งเบาภาระป้าอิงอู่กับบรรดาสาวใช้รุ่นป้า”
หยางเหลาหู่และหยางกั๋วชิ่งเป็นถึงคุณชายของตระกูลหยาง ทว่าบิดามารดาทั้งสองอบรมเลี้ยงดูพวกเขามิให้ถือตนว่าเหนือผู้อื่น หญิงรับใช้อายุมากเหล่านี้ บางคนทำงานมาตั้งแต่บิดาของพวกเขายังไม่แต่งเป็นภรรยาด้วยซ้ำ จึงอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว คนที่เหลืออยู่นี้ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เขาจึงเลี้ยงดูให้อยู่ต่อไปแม้ทำอะไรไม่ได้มากแล้วก็ตาม
ชายหนุ่มได้แต่เดินวนไปมาอย่างหงุดหงิด หันกลับไปเปลี่ยนเสื้อ
ตัวนอกหยิบเสื้อคลุมสีน้ำเงินครามสีประจำของป้อมพยัคฆ์ทมิฬมาสวม พลางสำรวจดูกระบี่ประจำกาย
หลังจากที่เขาตัดสินใจสืบทอดกิจการของบิดาด้วยวัยเพียงสิบหกนั้น เขาทำงานหนัก เรียนรู้งานอย่างขันแข็ง เสียสละตัวเองไม่ได้เที่ยวเล่นสนุกเหมือนผู้อื่น แต่มันคุ้มค่ากับตัวเลขในบัญชีและทรัพย์สมบัติในห้องคลังที่เพิ่มขึ้น เรื่องคิดคำนวนเขาไม่คล่องแคล่วเท่าหยางกั๋วชิ่ง แต่เรื่องวรยุทธรวมทั้งพละกำลังเขาเก่งกาจกว่านัก ทั้งสองพี่น้องช่วยกันสองแรงแข็งขัน ทำให้กิจการต่างๆ ที่เคยซบเซาอยู่พักใหญ่กลับมาดีขึ้นตามลำดับ จนสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลหยางรุ่นที่สามโด่งดังอีกครั้ง
เขาบำรุงปรับปรุงความเป็นอยู่ของป้อมพยัคฆ์ทมิฬ สิ้นเงินและเวลาไปหลายปีแต่นับว่าคุ้มค่า ไม่มีจุดใดที่หลังคารั่วอีก ทุกคนในป้อมได้กินอิ่มนอนหลับอย่างไร้กังวล แต่เมื่ออายุมาถึงปีที่ยี่สิบก็ถูกบิดามารดารบเร้าให้แต่งงานมีหลานเสียที เดิมทีเขามีคู่หมั้นคู่หมายแต่ตายไปก่อนที่เขาจะได้พบหน้า เขายุ่งเรื่องกิจการคุ้มกันสินค้า มิไว้ใจผู้อื่นให้เดินทางแทนเขา และบรรดาลูกค้าเชื่อใจเขาแต่เพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยได้อยู่ป้อมฯ นัก ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น น้องชายของเขา-หยางกั๋วชิ่งก็ถูกมารดาขู่เข็นเรื่องให้แต่งภรรยาเช่นกัน แต่ยังทำเป็นหูทวนลมกับสิ่งที่ได้ยิน
ด้วยประสาทสัมผัสที่ไวเป็นพิเศษตามประสาคนฝึกวรยุทธ เขารู้สึกได้ว่ามีมีคนเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มหมุนตัวไปดูก็ต้องขมวดคิ้ว
หญิงสาวร่างเล็กยืนแอบที่หลังบานประตู โดยที่ยังแง้มหน้าโผล่ดูด้านนอก
“เจ้าทำอะไรนะ!”