“ไม่เข้าไปข้างในรึ หรือรอให้ใครมาปรนนิบัติ”
เสียงดุดันดังอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวได้แต่แหงนหน้ามองคนที่อยู่บนหลังม้า เขาเพียงหรี่ตามองนางราวกับเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ แล้วกระตุ้นให้ม้าเข้าไปด้านใน
ชายผู้นี้ปากคอร้ายกาจเสียจริง
หลัวเสี้ยวเวยได้แต่พึมพำกับตนเอง นางกอดห่อผ้าไว้เป็นที่พึ่ง ในใจยังสงสัยว่ามือที่เคยประคองศีรษะนางไว้นั้นเป็นของผู้ใดกัน แต่เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ เข้ามาใกล้รถม้าและเตรียมทยอยขนข้าวของลงจากรถ นางขยับตัวหลบอย่างไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
“สาวใช้คนใหม่รึ”
“เจ้าค่ะ” นางรีบขานรับ ฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่กลับได้สายตาที่จ้องมองราวกับนางเป็นหมูที่ถูกซื้อมาเลี้ยงไว้เป็นอาหาร คนเหล่านั้นต่างมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไล่สายตาขึ้นๆ ลงๆ นางได้แต่ยืนกอดห่อผ้าราวกับใช้มันไว้ป้องกันตัว
“ตัวแค่นี้จะทำงานไหวรึ”
“ตัวแค่นี้นะดีแล้วจะได้กินไม่จุไง”
พวกเขายังพูดวนเวียนอยู่เรื่องเดิม มือไม้ก็ขนข้าวของไม่หยุด นางเกรงว่าจะไม่เป็นที่ต้องการและถูกส่งตัวกลับตั้งแต่วันแรกจึงรีบพูดขึ้น
“ข้ากินไม่เยอะและทำงานหนักได้”
เสียงหวานใสของนางทำให้ผู้อื่นต่างหยุดมือและจ้องนางเป็นตาเดียว หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าตนเองทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่ นางแทบกลั้นหายใจรอ รอให้ใครสักคนพูดสักประโยคขึ้นมาทำลายความเงียบนี้เสีย
“นายท่านมิได้ซื้อตัวเจ้ามาทำงานหนักหรอก ตามข้ามาทางนี้”
หญิงวัยห้าสิบคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พาร่างอุ้ยอ้ายเดินมายังไม่ถึงตัว
นางก็เปลี่ยนใจเป็นกวักมือเรียก หญิงสาวมาใหม่รีบเดินเร็วๆตรงไปหาทันที
“เรียกข้าป้าอิงอู่ก็ได้”
นางแนะนำตัวง่ายๆ แล้วเดินนำไปทางโรงครัว ขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วตวาดเสียงดังไปยังคนที่กำลังแบกกระสอบป่านอยู่
“ข้าวสาลีเอาไว้ทางโน้นซิ”
“ข้าน้อยเสี้ยวเวยเจ้าค่ะ” นางหลุดปากบอกชื่อจริงกับชายคนนั้นไปแล้ว นางจึงใช้ชื่อนี้ไปเลย ดีที่ไม่เอ่ยแซ่ตัวเองออกไปด้วย
“เสี้ยวเวย... ดี เรียกง่ายดี” ป้าอิงอู่ไม่ถามอะไรมาก แม้ร่างจะอุ้ยอ้ายแต่เดินรวดเร็วกระฉับกระเฉง ระหว่างทางเดินผ่านอะไรก็ชี้นิ้วสั่งนางโดยไม่หยุดเดิน
“นั่นเรือนนอนของผู้หญิง เจ้านอนกับข้า”
“เจ้าค่ะ”
“ที่นี่ปกติอาหารมื้อเย็นนายท่านและฮูหยินจะกินอาหารพร้อมคุณชายใหญ่และคุณชายรอง”
“นายท่าน? ที่นี่มีนายท่านกี่คนเจ้าคะ”
“นายท่านหยางต๋าและฮูหยินหยุนผิง คุณชายใหญ่หยางเหลาหู่และคุณชายรองหยางกั๋วชิ่ง คุณชายทั้งสองมีบ่าวชายรับใช้ติดตามตัวอยู่แล้ว เจ้าทำงานทั่วไปแทนพวกข้าก็พอ”
“ทำงานแทนท่าน?”
หลัวเสี้ยวเวยออกจะงุนงงเล็กน้อย นางควรรับใช้ใคร? นายท่านใหญ่ คุณชายของบ้านหรือรับใช้ป้าอิงอู่ผู้นี้
“คุณชายใหญ่มิได้บอกเจ้ารึ” ป้าอิงอู่ทำเสียงไม่พอใจในคอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก “เอาเถอะ ทำตัวดีๆ จะได้อยู่นานๆ ที่นี่ไม่มีอะไรมาก ทุกคนอยู่กันแบบครอบครัวเดียวกัน”
“เจ้าค่ะ”
นางเพิ่งมาถึง แต่ไม่มีใครคิดให้นางพักผ่อน นางเดินมาถึงครัวได้กลิ่นหอมกรุ่นทำให้ความอ่อนล้าจางหาย หลายคนยุ่งกับการเตรียมอาหาร
“เจ้ากินโจ๊กร้อนๆ สักถ้วยแล้วค่อยทำงาน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หญิงสาวยิ้มออกมาได้ นางวางห่อผ้าอย่างระวังแล้วรีบเดินไปหยิบชามตักโจ๊กตามทิศทางที่ป้าอิงอู่ชี้นิ้ว นางเดาว่าที่ให้นางคอยช่วยงานป้าอิงอู่ก็เพราะเห็นแต่นางชี้นิ้วสั่งคนนั้นคนนี้ แต่เอาเถอะ นางชินแล้ว
หญิงสาวตักโจ๊กเปล่าเข้าปาก นางแปลกใจกับรสชาติที่สัมผัสอยู่บ้าง ลองตักชิมไปอีกคำก็รู้สึกเช่นเดิม ทว่าเมื่อกวาดสายตามองผู้อื่นเห็นต่างคนต่างก้มหน้ากินโจ๊กของตัวเอง ไม่มีท่าทีผิดปกติแม้จะเป็นโจ๊กเปล่าก็ควรมีความกลมกล่อมมิใช่รึ? นางได้แต่ครุ่นคิดในใจแต่ก็ตักโจ๊กส่งเข้าปากตัวเอง ความอุ่นร้อนที่ผ่านลงคอไปยังกะเพาะทำให้นางรู้สึกดีขึ้น
ลอบกวาดตามองไปรอบๆ เห็นบ่าวชายหลายคนต่างวัยกัน แต่บ่าวหญิงกลับมีแต่คนอายุมากแล้วทั้งนั้น ไม่มีหญิงรับใช้วัยเดียวกับนางเลย
คนผู้นั้นคงเป็นคุณชายใหญ่ซินะ หญิงสาวถามตัวเองนึกถึงชายที่นางเจอในห้องคราวนั้น ดีจริงที่ตลอดการเดินทางไม่มีใครถามอะไรนางเป็นพิเศษ นอกจากถามเรื่องชื่อแล้วก็ไม่สอบถามอะไรอีก นางเองไม่กล้าถามด้วยซ้ำว่าที่นี่อยู่ที่ใด
ออกจากบ้านลุงจางฉวนได้แล้ว ที่เหลือนางต้องพาชีวิตตัวเองไปข้างหน้าด้วยสองขาและสองมือของตัวเอง นางไม่อยากหวนคิดถึงอดีต ตั้งแต่ลืมตาจนอายุสิบสาม ชีวิตนางมิเคยได้รับความลำบาก นางเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคนในตระกูล เป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวยที่แสนน่ารัก นางฝึกหัดขีดเขียนได้ตั้งแต่ยังเด็ก ร่ายรำท่องโคลงกลอนกับบิดาอย่างเพลิดเพลิน ชีวิตเรียกว่าไม่รู้จักคำว่าทุกข์จนกระทั้งคืนนั้น คืนที่คฤหาสน์หลังงามลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง
“เวยเอ๋อร์ หนีไป ไปหาลุงจางฉวน อย่าคิดแก้แค้น รักษาชีวิตไว้ จงมีชีวิตอยู่ต่อไป”
คำสั่งเสียสุดท้ายของท่านแม่พาให้นางวิ่งจากมาไม่กล้าหันกลับไปมองด้านหลัง นางเคยไปเยี่ยมเยือนบ้านลุงจางฉวนทุกปีเพราะอยู่ถัดไปอีกหมู่บ้านหนึ่งเท่านั้น ทว่าการเดินทางของเด็กอายุสิบสามและเดินทางด้วยสภาพจิตใจบอบช้ำใช้เวลาร่วมห้าวันจึงไปถึง
ลุงจางฉวนและป้าสะใภ้หลินถิง ภายนอกดูเป็นคนดีโอบอ้อมอารี
เห็นนางมาในสภาพน่าเวทนาก็โอบกอดและดูแลอย่างดี ท่านลุงกับท่านป้าให้เหตุผลว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นทางการประกาศแล้วว่าครอบครัวของนางตายหมดรวมทั้งตัวนางเอง ทั้งสองจึงให้นางอยู่ในบ้านสกุลจางในฐานะหญิงรับใช้เพื่อปกปิดร่องรอยของนางเอง ทว่านางกลับได้ทำงานทุกอย่างในบ้านลุงจางฉวนเช่นเดียวกับหญิงรับใช้จริงๆ
ลุงจางเป็นญาติทางมารดา แม้ลำดับญาติจะเป็นเพียงญาติห่างๆ แต่มีบ้านอยู่ใกล้กันเพียงคนละหมู่บ้าน ลุงจางเป็นเพียงเศรษฐีจางที่กินเงินเก่า ภายนอกเป็นเศรษฐีมั่งคั่งภายในกลวงว่างเปล่า ลูกสาวแต่งเข้าสกุลอื่นไปแล้ว ลูกชายเสเพลผลาญเงินเล่นไปวันๆ แม้เคยเกาะแกะนางอยู่บ้างแต่ไม่เคยล่วงเกิน อาจเพราะว่าอย่างไรก็ยังนับว่าเป็นคนสายเลือดเดียวกันอยู่บ้าง ทำให้นางอยู่รอดปลอดภัย
นางไม่รู้จักใครเป็นพิเศษ ไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของนางนั้นเป็นมาอย่างไร ไม่อาจสืบเสาะค้นหาความจริงในข้อนั้นได้ ลุงจางฉวนกับป้าสะใภ้เกลี้ยกล่อมให้นางไม่คิดสืบหาถึงเหตุร้ายในคืนนั้น แม้แต่ป้ายวิญญาณของบิดามารดาหรือเรื่องศพก็ไม่ได้ไปจัดการ เพราะนางคือคนที่ตายไปแล้ว
ผ่านมาสี่ปีที่นางอยู่ในฐานะสาวใช้ นางควรลืมไปแล้วว่านางเคยเป็นคุณหนูหลัวเสี้ยวเวย ใช่...นางควรลืมมันไป ถ้า...ถ้านางเลิกฝันร้ายเสียที
นางมักจะฝันถึงช่วงเวลาที่ตนเองถูกจับกดน้ำ ความหวาดกลัว ความเยียบเย็นของกระแสน้ำ หัวใจที่กำลังจะหยุดเต้นและสติที่กำลังจะหลุดลอย ก่อนที่นางจะผวาเฮือกขึ้นมาสูดอากาศอีกครั้ง
หญิงสาวเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง หลายคืนที่นอนในรถม้า นางไม่รู้ว่าตัวเองฝันถึงคืนนั้นหรือไม่ แม้มีคนเดินทางร่วมกันหลายสิบชีวิต แต่นางได้ยึดครองนอนในรถม้าเพียงผู้เดียว นางกลัวว่าตนเองเผลอร้องละเมอในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป
สี่ปีมันเหมือนยาวนานและแสนสั้นในคราวเดียว
สี่ปีที่ลุงจางฉวนกับป้าสะใภ้ใช้มันเป็นข้ออ้าง ขายนางเป็นอนุให้เพื่อนเศรษฐีของลุงจาง ทั้งคำอ่อนหวานหว่านล้อมจนกลายเป็นขู่บังคับให้นางเป็นอนุ หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็งยืนกรานที่จะไม่ยอมใช้หนี้บุญคุณด้วยการเป็นอนุอย่างเด็ดขาด
“เจ้าอายุขนาดนี้แล้ว ตบแต่งไปเป็นอนุก็ดีมากเพียงใดแล้ว”
“ให้ข้าทำอย่างอื่นมิได้หรือ? ไยต้องขายข้าเป็นอนุ”
“เจ้ามันคนอกตัญญู!”
หลังจากถูกด่าประนามอยู่ครึ่งเดือน ป้าสะใภ้ใช้ไม้อ่อนกับนางบอกเล่าถึงสถานะการเงินที่ย่ำแย่ของครอบครัว
“เจ้ามีฝีมือเรื่องเย็บปักถักร้อย เพื่อนป้าเปิดร้านเสื้อผ้าในเมืองหลวงเวลานี้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเจ้ากับป้าไปพบนางเสียหน่อย เจ้าเอาตัวอย่างงานของตนไปด้วย เผื่อรับงานเล็กน้อยๆ พอเป็นรายได้”
ครานั้นนางไม่เห็นความเจ้าเล่ห์ของป้าสะใภ้ คิดไปเองว่าคงถอดใจเรื่องขายนางเป็นอนุไปแล้ว นางจึงเก็บตัวอย่างผ้าปักของนางใส่ห่อผ้า ติดตามป้าสะใภ้ไปที่โรงเตี้ยม แม้นึกประหลาดใจที่ไม่ได้ไปบ้านเพื่อนของป้าสะใภ้ แต่ก็ยอมนั่งรอจนกระทั้งเศรษฐีหยงเต๋อพาร่างอ้วนกลมเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว ไปเถิดเสี้ยวเวย กลับบ้านกับข้า”
“ท่าน!ท่านพูดเรื่องอันใดกัน!”
“ลุงกับป้าสะใภ้ของเจ้าทำสัญญาขายตัวเจ้าให้ข้าแล้ว”
เศรษฐีหยงเต๋อโบกกระดาษสัญญาในมือไปมา นางนิ่งงันไป ถูกหลอกแล้ว? จะทำอย่างไรดี เห็นเศรษฐีหยงเต๋อเข้ามาหมายจะโอบกอด นางหมุนตัวหลบแล้วส่งยิ้มหวาน
“ท่านเศรษฐีอย่าใจร้อน โปรดรอข้าสักประเดี๋ยวเถิด ข้าตื่นเต้นดีใจจนอยากไปห้องน้ำสักครู่”
“เช่นนั้นรีบไปรีบมา ข้าจะรอตรงนี้”
“อืม”
นางพยักหน้ารับด้วยท่าทีเอียงอายอ่อนหวาน กอดห่อผ้าตัวเองแน่น เดินออกมาได้พ้นสายตาคนพวกนั้น นางรีบวิ่งทันที แต่เพราะนางวิ่งได้ไม่เร็วอย่างที่คิดและคนของเศรษฐีหยงเต๋อเฝ้าจับตามองนางอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่านางกำลังหลบหนีก็เร่งรีบวิ่งตามนางมาทันที นางเห็นประตูห้องหนึ่งแง้มอยู่จึงรีบเข้ามาหลบซ่อน รอจังหวะหาทางออกจากที่นี่
ทว่ากลับพบบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่ หน้าตาดุดันแถมปากคอร้ายกาจอีกต่างหาก
“เสี่ยวหงส่งเจ้ามาใช่ไหม” เขาถามและไม่รอคำตอบ “มาทำงานเป็นสาวใช้?”
เพราะรู้ว่าด้านนอกกำลังตามหานางอยู่ ในเวลาขับขันนางไม่อาจคิดหาทางออกอื่น ได้แต่พร่ำขอโทษที่สวมรอยเป็นผู้อื่น พยักหน้ารับสมอ้างเป็นหญิงรับใช้ที่เขาต้องการ ยิ่งเห็นว่าเขาเร่งรีบเดินทาง นางยิ่งรีบติดตามเขาโดยไม่ถามอะไรสักคำ ขอให้ไปพ้นสถานที่แห่งนั้นได้ นางยอมไปตายเอาดาบหน้า
เวลานี้นางก็มาอยู่ที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬแล้ว
หญิงสาวกินโจ๊กจนหมดชาม นางต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ คุณหนูหลัวเสี้ยวเวยตายไปตั้งแต่สี่ปีก่อน ไม่มีลุงจางฉวนกับป้าสะใภ้จอมหลอกลวง ตอนนี้นางเป็นเพียง ‘เสี้ยวเวย’ สาวใช้ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ
แต่ก่อนอื่น เห็นทีงานแรกของนางคือปรับปรุงรสอาหารให้ดีกว่าน้ำล้างชามเสียแล้ว