ล่วงมาห้าวัน ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง...
ราตรีที่เหมือนทาด้วยน้ำหมึกปกคลุมลงมา ดวงจันทร์กระจ่างอวดโฉมเจิดจ้า รถม้าจากเมืองเจิ้งผิงเร่งรุดมาตามกำหนด ชะงักจอดตรงหน้าประตูใหญ่ของวังหลวงพอดี
หลังจากที่ซือลี่หยางกับอิงลั่วก้าวขาขึ้นรถม้า คนขับก็ไม่รีรอกระตุกบังเ**ยน อาชาสีน้ำตาลเข้มร้องเสียงลากยาว ก้าวกีบม้าวิ่งย่ำไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว
ซือลี่หยางใช้มือเล็กแหวกม่านลูกปัด ชะโงกหน้ามองออกไป
ท่ามกลางม่านหมอกยามราตรี ตรงหน้าประตูใหญ่นั่น ไม่มีองค์รัชทายาท ไม่มีแม้แต่เงาของเขาเลยแม้แต่น้อย เห็นเพียงพระราชวังใหญ่โตโอ่อ่ากำลังเคลื่อนคล้อยและห่างออกไปเรื่อย ๆ นางเหม่อมองครู่หนึ่ง ก่อนจะละสายตากลับมานั่งพิงหลังในห้องรถม้าดังเดิมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
เฮอะ ไม่มาส่งแล้วอย่างไร...ใครเสียใจกัน ?
ไหนหนังสือบอกว่าสตรีเล่นตัวบ้าง มีเสน่ห์อย่างไรเล่า !
รู้อย่างนี้ ข้าเอ่ยปากขอให้องค์รัชทายาทติดตามมาด้วยตั้งแต่แรกเสียก็ดี !
นางถอนหายใจเฮือกยาว ใช้มือม้วนปมด้ายที่ชายเสื้อคลุมผ้าแพรหมุนวนไปมา หัวใจไม่สงบ
เส้นทางสัญจรระหว่างแคว้นฉู่และเมืองเจิ้งผิงยืดยาวพอประมาณ สองสตรีกับอีกหนึ่งบุรุษที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถม้า แน่แล้วว่าชีวิตย่อมไม่ปลอดภัย เดินทางในป่ายามค่ำคืน ไม่ต่างอะไรจากเดินทางในซอยเปลี่ยวที่มืดมิดและเงียบสงัด ด้านหลังพุ่มไม้อาจมีโจรแอบซุ่มอยู่ก็ย่อมได้ หากมีองครักษ์สักคนหนึ่งมาคอยติดตามคุ้มกัน ก็คงจะรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“อิงลั่ว เจ้ากลัวผีหรือไม่” ซือลี่หยางโพล่งถามขึ้นขัดบรรยากาศที่เงียบงัน
อิงลั่วเฮือกสะท้าน ขยับร่างผอมบางเข้าใกล้ซือลี่หยางด้วยความหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ “พระชายา...พูดอะไรยามนี้กันเพคะ”
“เห็นท่าทางของเจ้า ข้าก็ได้คำตอบแล้ว...กลัวอย่างนั้นสินะ” ซือลี่หยางระบายยิ้มบาง ๆ หยอกเย้า เอ่ยถาม “ระหว่างผีกับโจร เจ้ากลัวสิ่งใดหรือ”
อิงลั่วมองทางซ้ายที ทางขวาที กลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่นพลางเอ่ย “หากจะกล่าวตามจริง ก็ต้องกลัวโจรมากกว่าเพคะ เพราะโจรอาจจะทำร้ายเราได้ แต่หากมีภูตผีโผล่มาในยามนี้ หม่อมฉันก็วิ่งหนีป่าราบเหมือนกันเพคะ”
คำตอบใสซื่อไร้เดียงสาของอิงลั่ว ทำให้ซือลี่หยางอดหัวเราะออกมามิได้ กล่าวตอบ “ฮ่า ฮ่า...เจ้าควรกลัวโจรน่ะถูกแล้ว เช่นในยามนี้ที่ต้องเดินทางไกล ภายใต้ความมืดมิดด้านนอกนั้น ไม่รู้เลยว่าจะมีโจรแอบแฝงตัวอยู่หรือไม่”
“จริงอย่างที่พระชายาเอ่ยเพคะ” อิงลั่วพยักหน้ารัว ๆ คิดเห็นตรงกันอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“หากเจ้าหนีได้ ขอให้หนีไปก่อน อย่าได้ห่วงข้า” ซือลี่หยางยิ้มกล่าว
อิงลั่วสั่นศีรษะ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาฉับพลัน “มะ ไม่ได้เพคะพระชายา ชีวิตของหม่อมฉันไม่มีค่าเลย หม่อมฉันพร้อมตายเพื่อพระชายา จะกี่ปีกี่ชาติ หม่อมฉันก็จะขอรับใช้พระชายาด้วยความภักดีเพคะ”
อิงลั่ว...เจ้าไม่รู้อะไรเสียเลย หากเจ้าอยู่ในโลกอนาคต เจ้าก็คงไม่ต้องมารับใช้ผู้ใดแบบนี้ คนหน้าตาสะสวยแถมเก่งอย่างเจ้า คงจะได้ทำงานมีหน้าที่การงานดีเป็นแน่
ในฐานะที่สัมผัสโลกปัจจุบันมาก่อน จึงถือโอกาสเสี้ยมสอนนางอย่างใจเย็น “ชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกล้วนมีค่า ชีวิตเจ้าก็เช่นเดียวกัน จงรักษาชีวิตตัวเองไว้ให้ดี กว่าจะเกิดมาแต่ละชาติยากเย็นรู้หรือไม่”
“แต่บ่าวเต็มใจสละชีวิตเพื่อพระชายานะเพคะ” ดวงตาของอิงลั่วสั่นระริก คล้ายจะร่ำไห้ออกมาเสียให้ได้
ดวงตากระจ่างใสของซือลี่หยางปกคลุมด้วยไอน้ำขมุกขมัว แน่แล้วว่านางรู้สึกซาบซึ้งใจ การที่มีใครสักคนมาบอกว่ายอมตายแทน ย่อมเป็นถ้อยคำที่ตราตรึงใจอยู่แล้ว ทว่าถ้อยคำเหล่านั้นกลับมีกระแสแห่งความโศกเศร้าบางอย่างซ่อนเอาไว้อยู่ เหนือสิ่งอื่นใด นางควรรักชีวิตของตนเอง เสียยิ่งกว่าชีวิตของข้า
ซือลี่หยางบีบมือนางเบา ๆ กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “เอาล่ะ ๆ ขอบใจเจ้ามากนะอิงลั่ว แต่หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า ก็เท่ากับไม่เคารพข้าเช่นกัน”
“พระชายา…” อิงลั่วเอ่ยเสียงลากยาว จ้องมองซือลี่หยางด้วยแววตาโค้งลงเศร้าสร้อย
ถึงแม้เห็นใจทว่าต้องใจแข็ง ถึงเวลาแล้วที่นางต้องเปลี่ยนความคิด หากในภายภาคหน้า นางยอมตายเพื่อข้าจริง ๆ ในปรโลกนั้น ดวงวิญญาณของข้าก็คงจะเศร้าโศกและไม่สงบสุขเป็นแน่
ช่วงสายของอีกวัน ซือลี่หยางที่ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยังพบว่า รถม้ายังคงควบทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่มีท่าทีจะหยุดพัก
นางหรี่ตายิบหยี ค่อย ๆ ยกแขนเสื้อคลุมยาวบดบังดวงตา แสงแดดเจิดจ้าที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ร้อนแรงจนรู้สึกแสบตาไปหมด
“พระชายาตื่นแล้วหรือเพคะ” อิงลั่วเอ่ยปากถามนางทันทีอย่างกระตือรือร้น “หิวหรือไม่เพคะ”
ซือลี่หยางส่ายศีรษะเบา ๆ ย้อนถามด้วยสีหน้าราบเรียบ “ถึงไหนแล้ว...อิงลั่ว”
“ทั้งสองข้างทางมีแต่ป่าเต็มไปหมด หม่อมฉันมองไม่ออกเลยเพคะ ว่ายามนี้เราอยู่ตรงไหนกันแล้ว” อิงลั่วก้มหน้า หลุบตาตอบ
ยังอยู่ในป่าอย่างนั้นสินะ..
ซือลี่หยางใช้มือเล็กแหวกม่านลูกปัด ชะโงกหน้าออกไปดู
แล้วก็จริงอย่างที่อิงลั่วว่า มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้เขียวขจี เถาวัลย์พันระโยงระยางเต็มไปหมด แสงแดดที่เริ่มเจิดจ้าแผดเผา ย้ำเตือนว่ายามนี้ใกล้ถึงเวลาเที่ยงวันเข้าไปทุกที ชะโงกหน้าออกไปเพียงครู่เดียว ก็รู้สึกถึงไอร้อนอ้อยอิ่งที่พุ่งเข้าปะทะใบหน้าจนร้อนผะผ่าวแล้ว
หากอยากรู้ว่าอยู่ที่ใด ผู้ที่สามารถให้คำตอบนางได้ในยามนี้ ก็คงจะมีแค่คนเดียวเท่านั้น
สิ้นสุดความคิด นางจึงใช้กำปั้นทุบไปที่กำแพงห้องโดยสารเสียงดังปัง! ตะโกน ถามคนขับผ่านหน้าต่างช่องเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านในว่า “นี่!! ยามนี้ถึงไหนแล้ว แถวนี้มีลำธารหรือไม่ ไม่พักให้ข้าล้างหน้าล้างตา กินอาหารบ้างเลยหรือ”
คนขับรถม้ากระตุกบังเ**ยนเบา ๆ ชะลอรถม้าเพื่อฟังนางพูดอย่างตั้งใจ “ว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าถามว่า แถวนี้มีลำธารหรือไม่” ซือลี่หยางตะเบงเสียงแหลมถามขึ้นอีกครั้ง
คนขับรถม้าก้มหน้า ส่งเสียงทุ้มตอบกลับมา “ข้างหน้านั้นมีลำธาร อีกประเดี๋ยวก็คงถึงพ่ะย่ะค่ะ”
แสงแดดเจิดจ้าทาบทับดวงหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นเกิดเป็นเงาสะท้อนสีดำจาง ๆ ดวงตาของซือลี่หยางพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดนัก ทว่านางกลับรู้สึกคุ้นเคยกับโครงหน้าของชายขับรถม้าผู้นี้อย่างน่าประหลาด
นางพยายามหรี่ตา เพ่งมองอีกครั้ง มุมด้านข้างของชายผู้นี้ราวกับถูกสลักเสลาด้วยมีด โดยเฉพาะส่วนโค้งเว้าตรงปลายจมูกที่โด่งเป็นสัน นอกจากนั้นองค์ประกอบอื่นของเครื่องหน้าก็คล้ายกับเงาสีดำเรียงต่อกัน หมวกใบใหญ่ที่ปกคลุมปิดใบหน้าลงมา ยิ่งทำให้มองลำบากมากยิ่งขึ้น
อยู่ในวังหลวงเจอบุรุษกี่คนกัน
ข้าคงคิดมากเกินไปกระมัง...
หลังจากดึงสายตากลับมา นางก็ใช้มือปิดหน้าต่างห้องรถม้า เอนร่างบางพิงตั่งนุ่มอย่างผ่อนคลายดังเดิม
อิงลั่วล้วงมือเข้าไปในย่ามสีเลือดหมู ก่อนจะคว้าเอาขนมเปี๊ยะไส้เกาลัดที่จัดเตรียมมา ส่งยื่นให้ซือลี่หยาง พลางเอ่ย “หม่อมฉันทำขนมเก็บไว้สำหรับเดินทาง พระชายาทานรองท้องก่อนนะเพคะ”
ดวงตาของซือลี่หยางเป็นประกาย จ้องมองอิงลั่วราวกับเป็นเทพธิดาลงมาโปรด นางยื่นมือรับและกล่าวขอบคุณอิงลั่วด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ
และใช่! นางหิว…
หิวมากเหลือเกิน
รถม้าแล่นไปได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถึงลำธารที่ชายคนขับรถม้ากล่าวอ้างไว้
ซือลี่หยางและอิงลั่ววิ่งลงจากห้องรถม้า มุ่งหน้าตรงไปที่ลำธาร ไม่รีรอใช้มือวักน้ำมาชโลมใบหน้าอย่างสนุกสนาน สายน้ำเย็นฉ่ำปลุกร่างกายให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง
“เย็น...เย็นสดชื่นเหลือเกิน” ซือลี่หยางหลับตาเอ่ยด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
อิงลั่วหันมาแย้มยิ้มสดใส “ลำธารกลางป่า เย็นสบายที่สุดแล้วเพคะ"
"เจ้าเย็นสบายจริงหรือ...อิงลั่ว" ซือลี่หยางคลี่ยิ้มอ่อนหวานอย่างไม่มีสาเหตุ
อิงลั่วไม่ไว้ใจกับรอยยิ้มนั้นเท่าไรนัก นางค่อย ๆ ร่นเท้าถอยไปด้านหลัง ซือลี่หยางฉวยจังหวะนี้ รีบจ้ำเท้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะใช้มือวักผิวน้ำขึ้นมาสาดใส่ แกล้งหยอกเย้าอย่างสนุกสนาน
“อย่าเพคะพระชายา” อิงลั่วหันหน้าหลบพลางยกมือขึ้นป้อง
ทว่าไม่ทันเสียแล้ว...
คลื่นน้ำเล็กๆ สาดกระเซ็น หยดน้ำนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากท้องฟ้าประดุจผ้าม่านที่ทิ้งตัวลงมา ทั้งสองหัวเราะเริงร่า วิ่งหลบละอองน้ำเหมือนกับเด็กซุกซนก็มิปาน
ถึงแม้จะกำลังเล่นสนุก ทว่าสัญชาตญาณของนักกีฬายูโดที่มีไหวพริบปฏิภาณ ก็ทำให้นางรับรู้ได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องนางอยู่
นางหยุดชะงัก กวาดสายตามองหาจนทั่ว ทว่าไม่มีผู้ใดอยู่แถวนั้น นอกจากชายหนุ่มคนขับรถม้าที่ยามนี้กำลังนอนเอนกายอยู่บนอานม้า
อิงลั่วเห็นเช่นนั้น จึงหันมองตามพลางถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “มีอะไรหรือเพคะพระชายา”
“อิงลั่ว...เจ้าเคยเห็นชายผู้นี้หรือไม่”
อิงลั่วกลอกตาครุ่นคิด ครู่หนึ่งจึงตอบ “ไม่นะเพคะ มีอะไรผิดปกติหรือเพคะพระชายา”
รูม่านตาดำของซือลี่หยางหดลงเล็กน้อย นางสาวเท้ามุ่งตรงเข้าไปหาชายหนุ่มคนขับรถม้า ก่อนจะเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “คนขับรถม้า...เจ้าคือใครกันแน่”
สิ้นเสียง ชายหนุ่มคนขับรถม้าก็ค่อย ๆ ขยับเขยื้อนกายลุกขึ้นนั่ง ใช้มือดึงหมวกลงมาบดบังครึ่งดวงหน้า เอ่ยตอบเสียงเข้มทุ้ม “กระหม่อมเป็นทหารที่ทางเมืองเจิ้งผิงส่งมารับตัวพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร” ซือลี่หยางขมวดคิ้วถาม
ชายหนุ่มคนขับรถม้าเอ่ยช้า ๆ ด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น “กระหม่อมมีหน้าที่ดูแลพระชายาตลอดการเดินทาง หากกระหม่อมจงใจจะทำร้าย ก็คงหาโอกาสทำตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พระชายาทรงวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ฟังเช่นนั้น ซือลี่หยางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหลายส่วน ถึงแม้จะยังรู้สึกไม่ไว้วางใจชายหนุ่มผู้นี้เท่าไรนัก แต่หากนางไล่เขาไป ผู้ใดจะขับรถม้ากันเล่า…
“อิงลั่ว เจ้ายังพอมีขนมเหลืออยู่หรือไม่”
อิงลั่วก้มหน้างุด เอ่ยตอบทันที “มีเหลืออยู่เพคะพระชายา”
“แบ่งให้ชายคนขับรถม้าผู้นี้กินด้วย หากเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา ติดอยู่กลางป่า พวกเราคงแย่กันแน่ ๆ ”
สิ้นประโยค ซือลี่หยางก็พลันหมุนกายหันหลังเดินออกไป อิงลั่วส่งยื่นขนมให้เขาตามคำสั่งการ ก่อนจะรี่วิ่งตามหลังไปติด ๆ
ชายหนุ่มคนขับรถม้าลอบเมียนมองแผ่นหลังแบบบางของซือลี่หยาง ยกยิ้มที่มุมปากเบา ๆ อย่างมีเลศนัย