ตอนที่ 29 : จดหมายจากเมืองเจิ้งผิง

2092 คำ
"มีจดหมายจากเมืองเจิ้งผิงมาที่พระตำหนักเฟิงยวี่พ่ะย่ะค่ะ" จินเฮ่าเอ่ยพลางก้มศีรษะส่งยื่นจดหมายให้ผู้เป็นนายด้วยท่าทางนอบน้อม เยี่ยเทียนขณะกำลังน้าวคันธนูไปที่ผลท้อบนศีรษะของขันที เมื่อได้ยินคำกล่าวรายงานของจินเฮ่า เขาก็พลันชะงักค้าง ปรายตามองและถาม "เจ้าแน่ใจหรือ...ว่าเป็นจดหมายมาจากเมืองเจิ้งผิง" "กระหม่อมตรวจสอบ ต้นสายปลายทางมาจากเมืองเจิ้งผิงจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ" จินเฮ่าประสานมือกล่าว เมื่อฟังจบ มือหนาของเยี่ยเทียนก็พลันปล่อยลูกธนูพุ่งไปข้างหน้า ชั่วพริบตาเดียว ปลายแหลมของหัวธนูก็ปักลงตรงกลางผลท้อพอดี ขันทีที่รับหน้าที่เป็นเป้า แขนขาสั่นเทาไม่หยุด แทบจะปัสสาวะราดออกมาเสียตรงนั้น เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปด้านข้าง รับจดหมายมาถือครองไว้ ความหวาดหวั่นโถมทับจิตใจอย่างยั้งไม่อยู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องครักษ์คว้าเอาจดหมายของนางมาให้เขาอ่าน ก่อนที่จะส่งต่อไปยังเจ้าของจดหมาย ก่อนหน้านั้นนางไม่น่าไว้ใจ ย่อมไม่ผิดหากเขาจะทำเช่นนั้น แต่บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป...แม้กระทั่งจิตใจของเขาที่มีต่อนาง ทว่าจดหมายที่ห่างหายไปนานก็วนกลับมาหาดังเดิม เนื้อความด้านในของจดหมายที่ส่งมาจากเมืองเจิ้งผิง ทุกครั้งจะพรรณนาถึงบทความรักที่บุรุษมีต่อสตรีซึ่งเป็นชายาของเขาจนสุดหัวใจ ความเจ็บปวดนั้นเรื้อรังฝังรากลึกมายาวนาน กัดกินจิตใจทีละเล็กทีละน้อย จดหมายฉบับแรกทำให้เขารู้ว่านางสวมหมวกเขียว ฉบับต่อ ๆ ไปจึงจำต้องฝืนอ่านด้วยความเจ็บช้ำระกำใจ เขาไม่เลือกทำลาย ตัดสินใจส่งต่อและเฝ้าจับตาดูนางอย่างระมัดระวังแทน ยามนี้ก็เช่นเดียวกัน… มือของเยี่ยเทียนที่สั่นเครือเล็กน้อย ค่อย ๆ คลี่กระดาษออก ก่อนจะเลื่อนสายตาอ่านตัวอักษรที่ปรากฏเบื้องหน้า ทว่าเมื่ออ่านจนจบ ใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายก็พลันฉายแววประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ในเนื้อความนั้นมิได้เขียนเชิงความสัมพันธ์ฉันชู้สาว มิได้กล่าวถึงนามของเยี่ยเทียนหรือราชนิกุลคนใดในราชสำนักแคว้นต้าฉู่และไม่ได้ลงรายละเอียดลึกมากนัก ทว่าเป็นเพียงข้อความธรรมดา ๆ ที่มีเนื้อความสำคัญเพียงว่า ล่วงเข้าวันที่เก้าเดือนสิบ ปรารถนาเรียกตัวเยว่ชิงกลับไปเยี่ยมเยียนวังเจิ้งผิงด้วยความคะนึงหา เรียกตัวนางกลับไปวังเจิ้งผิงอย่างนั้นหรือ ? เจ้าเมืองเจิ้งผิงเรียกตัวนางกลับไปเพราะเหตุใดกันแน่ ? “ส่งให้นาง!” เยี่ยเทียนหันไปสั่งการเสียงเข้มดุดันทันที หลังจากที่ออกมาจากห้วงแห่งความคิด จินเฮ่ารีบปราดเดินเข้าไปรับจดหมาย ก่อนจะก้าวขายาวมุ่งหน้าไปยังตำหนักเฟิงยวี่ตามคำสั่งการ ที่ พระตำหนักเฟิงยวี่ "นี่คืออะไร" ซือลี่หยางขมวดคิ้วถามด้วยความเคลือบแคลงสงสัย หลังจากที่ชำเลืองตามองเห็นอิงลั่วกำลังยื่นกระดาษจดหมายฉบับหนึ่งให้นาง "จดหมายเพคะพระชายา" อิงลั่วหลุบตาตอบอย่างนอบน้อม ซือลี่หยางชะงักเข็มปักผ้าในมือ ขมุบขมิบปากบ่นอุบอิบ "ข้ารู้ว่าจดหมาย แต่จดหมายของใคร ส่งมาจากที่ใด" อิงลั่วเอ่ยเล่าอย่างรวบรัด "วันนี้หลังจากที่หม่อมฉันกลับมาจากเบิกถ่านไฟและเครื่องหอมกฤษณา หน้าประตูตำหนักเฟิงยวี่ มีขันทีผู้หนึ่งยืนทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ หม่อมฉันจึงเข้าไปถาม แล้วก็ได้จดหมายฉบับนี้มาให้พระชายาเพคะ" ขนตาหนางอนของซือลี่หยางกระพือขึ้นลงอย่างเชื่องช้า เนิ่นนานจึงยื่นมือไปรับกระดาษเซวี่ยเถา อิงลั่วแอบหรี่ตามอง ลุ้นไปด้วยว่าจดหมายนั้นมีเนื้อความว่าอย่างไร ซือลี่หยางอ่านถ้อยคำสั้น ๆ ในกระดาษจดหมาย หัวใจเปี่ยมไปด้วยความฉงน กลับเมืองเจิ้งผิง? เมืองเจิ้งผิง คือเมืองเกิดของเยว่ชิงมิใช่หรือ แต่ข้าจะกลับไปทำไม ในเมื่อกลับไปก็ไร้ประโยชน์ สู้ข้าอยู่ที่ตำหนักเฟิงยวี่อย่างสงบสุขไม่ดีกว่าหรือ อิงลั่วคาดเดาสีหน้าของนายหญิง ไม่รั้งรอถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น "จดหมายเขียนว่าอย่างไรบ้างเพคะพระชายา" ซือลี่หยางเงยหน้าขึ้นมาตอบ "จดหมายเขียนว่า ให้ข้ากลับไปเยี่ยมเยียนที่เมืองเจิ้งผิง" สิ้นประโยคของซือลี่หยาง ใบหน้าของอิงลั่วก็พลันเปลี่ยนเป็นสีซีดขาวราวกับเต้าหู้ ครั้นเมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ซือลี่หยางจึงมุ่นคิ้วถาม "อิงลั่ว...เจ้าเป็นอะไรไป" อิงลั่วมีท่าทีอึกอักพลางตอบ "มะ หม่อมฉันว่าพระชายาอย่ากลับไปเลยเพคะ" "เจ้าก็เกิดที่เมืองเจิ้งผิงมิใช่หรือ เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น" "ครั้งที่แล้ว พระชายาบอกหม่อมฉันว่า พระชายาตั้งใจจะกลับไปที่เมืองเจิ้งผิง แต่ก็มาเกิดเรื่องไม่ดีเข้าเสียก่อน ก็ที่...พระชายาตื่นขึ้นมากลางป่าอย่างไรละเพคะ" อิงลั่วตัวสั่นเป็นลูกนก เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำสอง หัวใจจึงหวาดวิตกอย่างควบคุมไม่อยู่ ซือลี่หยางขบคิดใคร่ครวญในใจ ก่อนจะยื่นจดหมายที่ประคองในฝ่ามือส่งให้อิงลั่วอ่านอีกครั้ง เอ่ยถาม "เจ้าคิดว่าผู้ใดส่งมา" อิงลั่วยื่นมือรับ จดจ่อสายตาอยู่กับเนื้อหาในจดหมาย เนิ่นนานจึงเงยหน้าขึ้นมาตอบ "ในท้ายของจดหมายมีสัญลักษณ์สีแดงประจำราชสำนักปรากฏอยู่ หม่อมฉันคิดว่า น่าจะเป็นเจ้าเมืองเจิ้งผิงเพคะ" "บิดาของเยว่ชิงหรือ...เช่นนั้นข้าก็ไปได้สิ!" "ตะ แต่พระชายาอย่าไปเลยเพคะ" อิงลั่วโบ้ยมือพัลวัน พยายามห้ามปรามนายหญิงของตนอย่างสุดความสามารถ ซือลี่หยางขมวดคิ้วน้อย ๆ ด้วยความไม่เข้าใจ "ที่เจ้ายั้งข้า เพราะเจ้ากำลังคิดว่า ...จดหมายนี่เป็นต้นตอการตายของเยว่ชิงใช่หรือไม่" อิงลั่วไม่ได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ถึงกับปฏิเสธ ถึงแม้จะมีสัญลักษณ์ประจำเมืองเจิ้งผิงเด่นชัดในจดหมายก็ตาม "หม่อมฉันเห็นพระชายาได้รับจดหมายและเขียนส่งกลับไปเมืองเจิ้งผิงหลายครา ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่รู้ต้นตอของเรื่องทั้งหมด แต่เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ก็ทำให้หม่อมฉันอดเป็นห่วงพระชายาไม่ได้เพคะ" สิ้นสุดคำพูด แทนที่ซือลี่หยางจะรู้สึกหวาดกลัว ทว่าวาจาน่าฉงนเหล่านั้นกลับทำให้นางรู้สึกสงสัยใคร่รู้มากยิ่งขึ้น เยว่ชิงเคยได้รับจดหมายและเขียนตอบกลับเมืองเจิ้งผิงบ่อยครั้ง นางถูกลอบฆ่า ข้าตื่นขึ้นมากลางป่า ความจริงคืออะไรกันแน่? หรือว่า...แท้ที่จริงแล้วคนปองร้ายเยว่ชิง จะเป็นคนที่เมืองเจิ้งผิงอย่างที่อิงลั่วเข้าใจ เพราะเชื่อในสัญชาตญาณอันแรงกล้าของตนเอง ยามนี้นางจึงรู้สึกฮึกเหิมราวกับกำลังสวมวิญญาณนักสืบอยู่ก็มิปาน จากตอนแรกที่ไม่อยากกลับ ตอนนี้เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น "ข้าจะไปเยี่ยมเยียนเมืองเกิดของเยว่ชิงและจะไปสืบหาความจริงบางอย่าง ถือว่าได้กลับไปพักผ่อนด้วยก็แล้วกัน" "สะ สืบหาความจริงเรื่องอันใดเพคะ" อิงลั่วเบิกตาโพลง หัวใจหล่นวูบตกลงไปกองกับพื้น ซือลี่หยางฉีกยิ้ม "ก็เรื่องเยว่ชิงอย่างไรเล่า ...อย่างน้อยข้าก็ได้พยายามทวงความเป็นธรรมให้นาง ถึงแม้จะคว้าน้ำเหลวก็ตาม ข้าจะไม่ยอมแพ้เป็นแน่" อิงลั่วนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ นางรู้ดี หากนายหญิงน้อยผู้นี้ปรารถนาสิ่งใดแล้ว นางย่อมไม่อาจขัดขวางได้ และเมื่อขัดขวางไม่ได้ ขอเพียงติดตามไปเพื่อปกป้องก็เพียงพอ "เช่นนั้น...หม่อมฉันขอติดตามไปด้วยนะเพคะ" ณ ตำหนักบูรพา เยี่ยเทียนยกมือไพล่หลัง ทอดสายตามองภาพวาดนกกระเรียนที่แขวนอยู่เบื้องหน้า คาดเดาส่งเดชในใจ ซือลี่หยางคงกำลังแอบลักลอบหนีออกไปจากวังหลวง คำนวณจากระยะเวลา ป่านนี้นางคงไปถึงหน้าประตูใหญ่ซีหวาแล้ว ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น... “ท่านพี่เพคะ” เสียงใสหวานที่คุ้นเคยดังแทรกเข้ามาในห้วงแห่งความคิด เยี่ยเทียนหันหลังกลับไปมองทันทีด้วยใบหน้าตื่นตระหนก แล้วก็เป็นนางจริง ๆ ...ร่างบางอรชรเยื้องย่างเข้ามาหาเขาด้วยท่วงท่าสง่างามและสำรวม “จะ เจ้า...ยังอยู่อีกหรือ? " เยี่ยเทียนหลุดปากถามด้วยสีหน้าเหม่อลอย ดวงตากระจ่างคมกริบมิอาจเก็บซ่อนความรู้สึกสับสนระคนประหลาดใจเอาไว้ได้เลยแม้แต่น้อย "ยังอยู่...ผู้ใดอยู่ ผู้ใดไปเพคะ" ซือลี่หยางทวนคำถามของเขาอีกครั้ง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความงุนงงเหลือประมาณ เยี่ยเทียนกระแอมเสียงในลำคอ ก่อนจะกลับมาทำสีหน้าแย้มยิ้มเป็นปกติ "ข้าหมายถึง...เจ้ามีเรื่องอันใดกับข้าอย่างนั้นหรือ" ซือลี่หยางยิ้มบางตอบ “หม่อมฉันมีความประสงค์จะกลับไปเยี่ยมเยียนเมืองเจิ้งผิงสักพัก จึงมาบอกให้ท่านพี่รับรู้ก่อนเพคะ” ถ้อยคำของนางที่เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดแกมบังคับ หาใช่คำขอร้องหรือวิงวอนแต่อย่างใด นางจงใจจะมาบอกกล่าวเขาเพียงเท่านั้น และไม่ว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่ นางก็ยืนยันจะไปอยู่ดี เยี่ยเทียนนิ่งอึ้งไปหลายอึดใจ นัยน์ตาสีอำพันทอประกายคล้ายกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พอนางสะกิดและร้องเรียกชื่อ เขาก็กลับมามีสติอีกครั้ง กล่าวตอบเสียงตะกุกตะกัก “ขะ ข้าไม่ให้ไป” “องค์รัชทายาทจับไข้หรือเพคะ เหตุใดถึงมีอาการผิดแปลกไป” ซือลี่หยางขมวดคิ้วแน่น จ้องมองเขาด้วยสีหน้าห่วงใย “...ให้หม่อมฉันเรียกหมอหลวงมาดูอาการที่ตำหนักบูรพาดีหรือไม่” นางแสร้งกล่าวเปลี่ยนประเด็น แท้ที่จริงแล้วนางได้ยินคำพูดของเขาชัดเจนทุกถ้อยคำ “ข้าเปล่า…ข้าไม่ได้เป็นอะไร ข้าแค่…" เขานิ่งเงียบ อึกอักไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบ "เมื่อคืน...ข้าแค่นอนไม่หลับ” ซือลี่หยางหรี่ตามอง ขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย มีท่าทางคล้ายกับไม่อยากจะเชื่อคำพูดเขาเท่าไรนัก เยี่ยเทียนก้มหน้าหลบเลี่ยงสายตา เพราะถูกคาดคั้นจึงสติหลุดลอย หวนกลับมาถามอีกครั้ง “เมื่อครู่ เจ้าบอกว่า…” ซือลี่หยางคลี่ยิ้มงามและกะพริบตา “กลับเมืองเจิ้งผิงเพคะ” “หากข้าไม่ให้ไป เจ้าจะว่าอย่างไร” เยี่ยเทียนเลิกคิ้วถาม จ้องมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เมื่อก่อนท่านพี่ไม่เคยแม้แต่จะถามหม่อมฉันด้วยซ้ำว่าคิดเห็นเช่นไร แต่ยามนี้กลับแตกต่าง ท่านพี่ของหม่อมฉันจิตใจอ่อนโยนขึ้นตั้งเยอะเลยนะเพคะ” สุ้มเสียงอ่อนหวานและรอยยิ้มงดงามตราตรึงใจประหนึ่งบุปผาที่ผลิบานงดงามในฤดูวสันต์ ทำให้เยี่ยเทียนคล้ายกับถูกต้องมนตรา นางช่างมีอานุภาพกับจิตใจเขาเหลือเกิน จากที่มีเพลิงไฟเล็ก ๆ ก่อขึ้น จู่ ๆ ก็ดับมอดลงอย่างน่าประหลาด นี่นางกำลังชมชอบข้าอยู่อย่างนั้นหรือ…? ริมฝีปากบางของซือลี่หยางกระดกขึ้น หรี่ตายิ้ม ในที่สุดองค์รัชทายาทก็ตกหลุมพรางของนางจนได้ ระยะเวลาที่ล่วงมา ไม่สูญเปล่า...นางรู้ว่าต้องปฏิบัติกับเขาเช่นไร นางรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี เยี่ยเทียนกะพริบตาปริบ ๆ แม้จะอ้าและหุบปากอย่างเก้อกระดากอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำใจเอ่ยปฏิเสธกับนางได้เลยแม้แต่น้อย ในที่สุดก็จนใจกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ระวังตัวดี ๆ ก็แล้วกัน” ซือลี่หยางกระโดดกอดเยี่ยเทียนแน่นอย่างหลุดสำรวม กระซิบเสียงแผ่วเบาเย้ายวนข้างริมหูเขาเบา ๆ ว่า “ขอบพระทัยเพคะ” เยี่ยเทียนกลืนน้ำลายอย่างประหม่า ขณะที่ใบหน้ากำลังแดงก่ำ ปฏิกิริยาร่างกายแสดงออกตรงกันข้ามกับเสียงของหัวใจ เขากล่าวต่อว่าตนเองในใจซ้ำ ๆ ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ นี่ข้าพูดอะไรออกไป...ข้าปล่อยให้นางกลับเมืองเจิ้งผิงไปอย่างง่ายดายอย่างนั้นหรือ?
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม