เมื่อเข้าเขตเมืองเจิ้งผิง กลิ่นเครื่องหอมอ่อน ๆ ของเครื่องเทศแบบฉบับพื้นเมืองก็คละคลุ้งขึ้นมาแตะที่ปลายจมูกของซือลี่หยางทันที นางชะโงกหน้าออกไปดู สัญชาตญาณของหญิงสาวรู้ทันทีว่า ยามนี้นางได้ถึงเมืองเจิ้งผิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รถม้าเคลื่อนตัวเข้าไปในตลาดหลักของตัวเมือง ผ่านพ่อค้าแม่ค้าที่จัดวางข้าวของเรียงรายเต็มทั้งสองข้างทาง ชาวเมืองเจิ้งผิงเดินสวนกันไปมาประปราย ไม่แน่นขนัดจนเกินไป กระแสผู้คนหลั่งไหลเข้ามาและออกไปราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยว
คาดคะเนจากสายตา เมืองเจิ้งผิง ดูเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มากนัก หากเทียบกับแคว้นฉู่แล้ว นับว่ามีขนาดเล็กกว่าอยู่หลายส่วน
ผู้คนในนี้สวมใส่เสื้อผ้าดูแปลกตาออกไป ชุดคลุมของชาวเจิ้งผิงดูทะมัดทะแมงทั้งบุรุษและสตรี สีสันสบายตาของผ้าต่วนผสมผสานกับผ้าหนังสัตว์ที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากแคว้นต้าฉู่ที่นิยมสวมผ้าไหมแพรพรรณและเครื่องประดับระยิบระยับ เสริมให้อาภรณ์ดูหรูหรากรุยกราย ยิ่งสีสันแสบตามากเท่าใด ยิ่งต้องตาสตรีแคว้นฉู่ทั้งสิ้น
ซือลี่หยางหลับตาสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ลอยมาตามอากาศ หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาแวบหนึ่ง นางที่เป็นนักกีฬายูโด ครั้งหนึ่งเคยนั่งเครื่องบินไปแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนที่ประเทศเกาหลี ทันทีที่เครื่องบินเคลื่อนตัวลงจอดและก้าวขาเข้าสู่สนามบิน กลิ่นแรกที่โชยเข้าสู่ปลายจมูกของนาง ก็คือกลิ่นของโสมอ่อน ๆ
ยามนี้ก็ไม่ต่างกัน ประสาทสัมผัสทางการรับกลิ่น ทำให้มนุษย์จดจำตัวตนของสิ่งนั้นหรือสถานที่นั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี เหมือนกับในยามนี้ที่สมองของนางกำลังจดจำเมืองเจิ้งผิงอยู่
“ถึงแล้วเพคะพระชายา” เสียงร้องเรียกของอิงลั่วทำให้ซือลี่หยางหลุดออกจากห้วงแห่งภวังค์ นางที่กำลังเหม่อลอยรีบใช้มือจัดแจงเสื้อผ้า ก้มตัวก้าวขาออกจากห้องรถม้าทันที
ครั้นเมื่อเงยหน้า กวาดสายตามองทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่งามจากที่ฉายแววเบื่อหน่ายก็เปล่งประกายทันที ครุ่นคิดในใจ พระราชวังเจิ้งผิงแห่งนี้ มิได้มีขนาดเล็กอย่างที่คาดคิด ทว่าใหญ่โตโอ่อ่าไม่ต่างจากวังหลวงในแคว้นต้าฉู่เลยแม้แต่น้อย
ซือลี่หยางเยื้องย่างไปตามทางเดินหินขัด ทว่าก้าวไปเพียงไม่ถึงสามก้าว เสียงเล็กใสก็พลันดังขึ้น
"ท่านอา ท่านอา ท่านอา..."
ฝีเท้านวยนาดของซือลี่หยางหยุดชะงักลง นางหันหลังกลับไปมองตามต้นเสียง แล้วก็พบว่าเสียงนั้นมาจากเด็กน้อยจ้ำม่ำผู้หนึ่งที่กำลังวิ่งกระเตาะกระแตะเข้ามาหา
เด็กน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู ผมสองจุกบนศีรษะยุ่งเหยิงเล็กน้อย อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นชุดหนังสัตว์ประจำพื้นเมืองที่มีขนาดย่อส่วน ในมือเล็กป้อมถือดอกไห่ถังกวัดแกว่งไปมา ขณะกำลังวิ่งก้าวขา ริมฝีปากน้อย ๆ ยังคงเปล่งเสียงคำว่า 'ท่านอา' ออกมาไม่หยุดหย่อน
“ท่านอาอย่างนั้นหรือ…” ซือลี่หยางขมวดคิ้วเอ่ยกับตนเองด้วยสีหน้าฉงน
เด็กน้อยผู้นั้นเบะปาก ทำท่าทางคล้ายจะร่ำไห้ เอ่ยเสียงสั่นเครือ “ท่านอา...ท่านลืมข้าไปแล้วหรือ”
ซือลี่หยางหันหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความงุนงงมองอิงลั่ว ทว่าไม่ช่วยอะไร นางได้แต่ส่งยิ้มแหย ๆ ให้ หลังจากนั้น เด็กน้อยจ้ำม่ำก็เริ่มร้องไห้โยเยเสียงดัง “ท่านอาลืมข้าไปแล้ว...ฮืออ...ท่านอาไม่รักข้าแล้ว”
ซือลี่หยางทำอะไรไม่ถูก รีบคว้าร่างของเด็กน้อยขึ้นมาโอบอุ้ม กล่าวอย่างปลอบโยนว่า "ท่านอาไม่ได้ลืมเจ้า...เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย"
เด็กน้อยหยุดร่ำไห้ทันทีราวกับเสกได้ นางอมยิ้มแก้มป่อง เอนศีรษะน้อย ๆ อิงแอบไปที่อกของซือลี่หยางด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู มือเล็กกลมเอื้อมไปบีบแก้มนางคล้ายกับกำลังมันเขี้ยวใบหน้างามที่เติบใหญ่นี้ เอ่ยเสียงแผ่วเบา "ข้าอยากมีใบหน้างดงามเหมือนท่านอา"
ซือลี่หยางเห็นท่าทางเช่นนั้น อดยิ้มออกมามิได้ นอกจากจะช่างพูดช่างเจรจาแล้ว ผิวพรรณของเด็กน้อยผู้นี้ยังขาวผ่อง นุ่มนิ่มละมุนละไมราวกับสายไหม กลิ่นกายนั้นช่างหอมหวาน นางอยากจะกัดชิมเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“หลันมู่...เจ้าทำตัวงอแงต่อหน้าท่านอาอีกแล้วใช่หรือไม่”
เสียงเข้มดุดังแทรกขึ้นมา ซือลี่หยางตวัดสายตามอง เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าร้อนรนใจ
บุรุษที่กำลังนิ่วหน้าเดินอาด ๆ เข้ามานั้นคือ ไป๋ฉิงหมิง องค์ชายลำดับที่สองแห่งเมืองเจิ้งผิง ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายในสายเลือดของเยว่ชิง เขาแต่งงานมีลูกกับบุตรีเจ้ากรมโยธามานานหลายปี หลันมู่เป็นบุตรคนสุดท้อง นางอายุเพียงสามขวบ ทว่าเฉลียวฉลาดไม่น้อย
“หลันมู่ไม่งอแง...หลันมู่รักท่านอา” เด็กน้อยส่ายหน้ารัว ๆ เอ่ยออดอ้อน พลางเอนศีรษะซบอกซือลี่หยางอีกครั้ง
“น้องข้า...หลันมู่กวนเจ้าแล้ว” ฉิงหมิงเอ่ยด้วยสีหน้าวิตกกังวล ในแววตาทอประกายมีคำขอโทษฉายอยู่ในนั้น
เมื่อคาดเดาส่งเดชในใจว่าเขาจะต้องเป็นพี่ชายของเยว่ชิง ซือลี่หยางจึงยิ้มบาง เอ่ยลื่นไหลไปตามน้ำ “ไม่เป็นไรเพคะท่านพี่ ข้าก็คิดถึงนางเหมือนกัน”
“เจ้าเดินทางมาไกล เหน็ดเหนื่อยหรือไม่” ฉิงหมิงถาม
เยว่ชิงไม่ตอบอะไร เพียงส่ายศีรษะเบา ๆ เท่านั้น
“เราไปที่ท้องพระโรงกันเถิด ท่านแม่น่าจะอยู่ที่นั่น” สิ้นประโยค ฉิงหมิงก็พลันยกร่างน้อย ๆ ของหลันมู่ในอ้อมอกของซือลี่หยางส่งให้แม่นม ก่อนจะหันหลังก้าวขายาว เดินนำทางพวกนางเข้าไปด้านในเขตพระราชวังใหญ่
เขามุ่งหน้าไปยังพระตำหนักที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ทุกย่างก้าว บ่าวรับใช้นางกำนัลที่เดินผ่านไปมา ต่างหยุดชะงักและก้มศีรษะแสดงความเคารพด้วยความนอบน้อม ซือลี่หยางค่อย ๆ ก้าวขาเดินขึ้นบันไดหยกขาว เพียงไม่นานก็ถึงหน้าท้องพระโรงแล้ว
“เยว่ชิง…นั่นเจ้าหรือ”
สุ้มเสียงแหบพร่าพุ่งเข้าสู่โสตประสาท ซือลี่หยางหันศีรษะเล็กมอง สังเกตเห็นสตรีสูงวัยในชุดสีแดงสดปักเลื่อมลายหงส์ บนศีรษะประดับด้วยมงกุฏทองคำระย้า กำลังเยื้องย่างเข้ามาหาด้วยท่วงท่าสง่างามสูงส่ง
นางคือ ไป๋อิ๋นฮุ่ย มารดาของเยว่ชิง อีกทั้งยังเป็นมารดาของปวงประชาในใต้หล้า เคียงคู่เจ้าเมืองนามว่า ไป๋ผู่อี๋ ดูแลชาวเมืองเจิ้งผิงให้สงบสุขเรื่อยมา
“ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้ากลับมาเยี่ยมเยียนบ้านเมืองของเรา เจ้าอยู่ที่แคว้นต้าฉู่สุขสบายดีหรือไม่” นัยน์ตาของอิ๋นฮุ่ยสั่นระริก นางโผกอดบุตรสาวด้วยความห่วงใยและคะนึงหาสุดประมาณ
ซือลี่หยางชะงักงันไปชั่วครู่ ไม่นานสีหน้าก็กลับเป็นปกติ "สะ สบายดีเพคะท่านแม่"
อิ๋นฮุ่ยคลายกอดออก จ้องมองบุตรสาวด้วยแววตารักใคร่ หยาดน้ำอุ่นร้อนรื้นชื้นที่ขอบตา "เจ้าสบายดีข้าก็โล่งใจ...แต่เหตุใดเจ้าถึงไม่ส่งจดหมายมาแจ้งเสียก่อนว่าจะเดินทางมา ข้าจะได้จัดเตรียมทุกอย่างล่วงหน้าเอาไว้ให้"
ซือลี่หยางนิ่งอึ้งไปพลางตรึกตรองคิดอย่างสงสัย วาจาของนางไฉนถึงได้ดูประหลาดพิกลนัก ในเมื่อจดหมายนั่นเชื้อเชิญให้นางมาเยี่ยมเยียนเมืองเจิ้งผิง แล้วเหตุใดเล่า นางถึงได้กล่าวออกมาราวกับว่า ไม่รู้เรื่องใดเกี่ยวกับจดหมายเลยแม้แต่น้อย
"ท่านแม่...ไม่ได้เขียนจดหมายเชิญข้ามาที่นี่อย่างนั้นหรือ” ซือลี่หยางกะพริบตาถามด้วยความสงสัย
สิ้นสุดคำพูด ใบหน้าของอิ๋นฮุ่ยที่เปรมปรีดิ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นความฉงนงงงวยทันที
“ข้าเปล่า” อิ๋นฮุ่ยตอบพลางส่ายศีรษะเบา ๆ ขณะที่กำลังยืนงุนงงอยู่นั้น เสียงใสหวานปานเครื่องดนตรีสวรรค์ก็โพล่งเอ่ยขึ้น ตอบคำถามที่ค้างคาใจพวกนางอย่างกระจ่างแจ้ง
"เป็นหม่อมฉันที่เขียนจดหมายไปหาท่านพี่เองเพคะ"
ที่มาของเสียงนั้นมาจากสตรีร่างบางอรชรอ้อนแอ้นที่กำลังเดินชดช้อยเข้ามาในท้องพระโรงด้วยฝีเท้าเบาหวิว
นางมีนามว่า เจินเหม่ย เป็นองค์หญิงลำดับที่สองและเป็นน้องสาวคนสนิทที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับเยว่ชิงราวกับฝาแฝด
ซือลี่หยางสะดุดตานางตั้งแต่แรกพบ
นางสวมเสื้อบุซับในตัวบางสีขาวนวล ท่อนล่างเป็นกระโปรงทรงจีบรอบสีแดงผลท้อ ทรวดทรงอรชรอ้อนแอ้นเปี่ยมเสน่ห์ ดูบอบบางอ่อนช้อยเหมือนไร้กระดูกอยู่สามส่วน ต่างหูหยกสีขาวบนติ่งหูส่ายไหวเล็กน้อยยามเคลื่อนไหว ดวงตามีประกายใสกระจ่างประดุจบ่อน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ดูสง่างามชวนมองยิ่ง
“เป็นเจ้าเองหรือ...เจินเหม่ย” อิ๋นฮุ่ยหันไปยิ้มเอ่ย
“เพคะท่านแม่ เป็นหม่อมฉันเองที่เขียนจดหมายไปหาท่านพี่ นี่ก็เริ่มเข้าเดือนหนาวแล้ว หม่อมฉันอดใจคิดถึงท่านพี่ไม่ไหว หม่อมฉันบุ่มบ่ามเกินไป...ท่านแม่โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ" เจินเหม่ยหลุบตา มีสีหน้าสำนึกผิด
ซือลี่หยางได้ยินเช่นนั้น รีบเอ่ยแย้ง "ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย ดีเสียอีก ได้มาพักผ่อนบ้าง ข้าก็คิดถึงที่นี่เช่นกัน"
แล้วกำแพงในใจก็ถูกทลายลง เจินเหม่ยคลี่ยิ้มสดใส เดินเข้าไปเกาะแขนพี่สาว ทำท่าทางกระเง้ากระงอด "โธ่...ท่านพี่ ข้าคิดว่าท่านพี่จะโกรธข้าเสียแล้ว"
ซือลี่หยางเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าของนางชัดเจนเต็มสองตาก็ครานี้ ใบหน้าพริ้มเพราผุดผาด เนตรงามกลมสวยประดุจลูกแก้วอัญมณีที่วาวใส นางรู้สึกถูกชะตากับเจินเหม่ยผู้นี้เหลือเกิน
"เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว...ข้าจะโกรธเจ้าลงได้อย่างไรเล่า" ซือลี่หยางยิ้มหัวเราะอย่างผ่อนคลาย
อิ๋นฮุ่ยหันไปเอ่ยกับเจินเหม่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจินเหม่ย พี่สาวเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย เจ้าพานางไปพักผ่อนที่ตำหนักก่อนเถิด”
“เพคะท่านแม่” ใบหน้าของเจินเหม่ยประดับยิ้ม นางย่อเข่าคำนับ ก่อนจะจูงมือซือลี่หยางเดินออกไปจากท้องพระโรงด้วยท่าทางสนิทสนม
ณ ตำหนักที่สี่ ที่ประทับเก่าขององค์หญิงเยว่ชิง หรือตัวของนางในยามนี้...
ในตำหนักเงียบสงัด นอกจากซือลี่หยางกับเจินเหม่ย ก็มีเพียงนางกำนัลกับขันทีที่ยืนเฝ้าหน้าตำหนักอย่างสงบเสงี่ยม
ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเกาะกุมจิตใจ เสียงร้องของฝูงนกกาที่โผบินเหนือศีรษะ ขับเน้นให้สถานที่แห่งนี้ดูเหว่ว้าน่าประหลาด ซือลี่หยางสอดส่ายสายตาสำรวจมองรอบ ๆ อย่างตั้งใจ ถึงแม้ที่นี่จะคล้ายตำหนักร้าง ทว่ากลับสะอาดเอี่ยมอ่อง พื้นกระเบื้องสีดำขลับที่เรียงต่อกัน ยามเมื่อต้องแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านเข้ามาในพระตำหนัก ช่างดูเปล่งประกายระยิบระยับจับตายิ่ง
“ท่านพี่พักผ่อนเถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวใช้ยกสำรับอาหารมาให้” เจินเหม่ยยิ้มละไมกล่าว
“ขอบใจเจ้ามากนะเจินเหม่ย” ซือลี่หยางอมยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่งามจับจ้องไปที่เจินเหม่ยด้วยความรักใคร่เอ็นดู ครู่หนึ่งจึงถาม “ชีวิตเจ้าในวังเจิ้งผิงเป็นอย่างไรบ้างหรือ”
เจินเหม่ยคลี่ยิ้มและกะพริบตา “ข้าสุขสบายดี เมืองเจิ้งผิงเงียบเหงาเสมอ เมื่อท่านพี่ไม่อยู่”
วาจาของนางทำให้ซือลี่หยางไม่อาจข่มกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ได้ “เจินเหม่ย เจ้าช่างพูดช่างเจรจายิ่งนัก”
เจินเหม่ยระบายยิ้มอ่อนจางที่มุมปาก ก่อนจะโผกายเข้าไปกอดพี่สาว กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ท่านพี่รู้หรือไม่ ทุกครั้งที่เมียนมองมาที่ตำหนักสี่ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ข้าไม่นึกถึงท่านพี่” นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ท่านพี่เคยบอกกับข้าว่า ความรักของท่านเปรียบดั่งรสชาติที่ขมเฝื่อน หาได้หวานล้ำเหมือนกับคู่รักทั่ว ๆ ไป องค์รัชทายาททำร้ายท่านพี่หรือไม่ ข้าสงสารท่านพี่เหลือเกิน”
ซือลี่หยางตะลึงงันไปชั่วอึดใจ ถ้อยคำของเจินเหม่ยกำซาบไปถึงกระดูก สะท้านไปทั้งหัวใจ นางรับรู้ถึงความเจ็บปวดและความห่วงใยของน้องสาวที่ส่งผ่านมาราวกับมีกระแสสื่อสารบางอย่าง
หากแต่ความจริงมิใช่! องค์รัชทายาทไม่เคยทำร้ายนางแม้แต่ครั้งเดียว เจินเหม่ยผู้นี้คงจะเป็นห่วงพี่สาวของนางมากเกินไปแล้ว
สิ้นสุดความคิด ซือลี่หยางก็ค่อย ๆ ใช้มือลูบหลังเจินเหม่ยเบา ๆ พลางตอบเสียงค่อย “ที่แคว้นต้าฉู่ข้ามีความสุขดีและองค์รัชทายาทก็ดูแลข้าเป็นอย่างดี เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย"
ฉับพลันนั้น ความอึมครึมราวกับเมฆหมอกก็ปกคลุมทั่วทั้งตำหนัก
"ท่านพี่...มีความสุขจริง ๆ อย่างนั้นหรือ" น้ำเสียงของเจินเหม่ยเปลี่ยนไปพร้อมกับใบหน้าถอดสี
ซือลี่หยางค่อย ๆ คลายกอดออก จ้องมองเจินเหม่ยด้วยแววตาสับสนระคนประหลาดใจ คำพูดของนางคล้ายกับมีอะไรบางอย่างเก็บซ่อนเอาไว้ น้ำเสียงที่กดต่ำชวนให้รู้สึกน่าหวาดหวั่น ตรงข้ามกับรูปลักษณ์อ่อนหวานของนางอย่างสิ้นเชิง
"เจินเหม่ย...เจ้าเป็นอะไรไป" นางมุ่นคิ้วถาม
เจินเหม่ยหวนกลับมามีรอยยิ้มเจิดจ้าสดใสอีกครั้ง "ข้าแค่เป็นห่วงท่านพี่เท่านั้น…ท่านพี่พักผ่อนเถิด ไว้ข้าจะมาหาท่านพี่ใหม่"
ซือลี่หยางส่งเสียงอืมพลางผงกศีรษะตอบรับเบา ๆ
ดวงตาของเจินเหม่ยโค้งลงทอยิ้ม ก่อนที่นางจะสะบัดชายกระโปรงที่ยาวระพื้น ม้วนกายเดินออกไป
ขณะทอดมองร่างแบบบางเลือนหาย จู่ ๆ จิตใจของซือลี่หยางก็พลันรู้สึกโหวงหวิวว่างเปล่า ราวกับเกลียวคลื่นที่หมุนวนไร้ทิศทาง ครุ่นคิดใคร่ครวญในใจ
เจ้าถามข้าว่า มีความสุขจริง ๆ หรือไม่
เจินเหม่ย...เจ้าต้องการจะพูดอะไรกับข้ากันแน่ ?