คืนที่สิบเดือนสี่ อ๋องหกและอ๋องสิบสามออกมาร่ำสุราที่โรงน้ำชาก๋วงสือ
สองมือที่ประคองจอกสุรากำแน่น ทว่าจิตใจของอ๋องหกกลับลอยละล่องอยู่เหนือชั้นเมฆ ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ความคิดในหัววนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ในคืนวันงานเทศกาลซีซี พระชายาไป๋เยว่ชิงกับวาจาที่แปลกประหลาดของนาง ทำให้เขาบังเกิดความสงสัย เคลือบแคลงในใจไม่น้อย
อ๋องสิบสามที่ยามนี้กำลังเปรมปรีดิ์กับสุราหมักเลิศรสในมือจนใบหน้าแดงก่ำ เมื่อชำเลืองตาเห็นพี่ชายกำลังเหม่อลอย จึงโพล่งถามอย่างสงสัย "ท่านพี่เป็นอะไรไป สุราร้านนี้ไม่ถูกปากท่านอย่างนั้นหรือ"
อ๋องหกนิ่งเงียบไป เนิ่นนานจึงตอบ "ข้าอิ่มเอมกับรสของสุรา แต่ในใจกลับว้าวุ่น"
"ไฉนในใจท่านพี่ถึงว้าวุ่น สตรีงามใดทำท่านเป็นเช่นนี้หรือ" อ๋องสิบสามเอ่ยถามพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
อ๋องหกส่ายศีรษะเบา ๆ ด้วยสายตาเหม่อลอย เขาว่ากันว่า เวลาล้วงความลับ ให้ล้วงตอนที่อีกฝ่ายกำลังเมามายและไม่ได้สติ คิดเช่นนั้น เขาจึงลองเอ่ยถาม "อ๋องสิบสาม...เจ้าเคยพูดคุยกับพระชายาไป๋เยว่ชิงหรือไม่”
ดวงตาหยาดเยิ้มดุจน้ำเชื่อมของอ๋องสิบสามช้อนมองอ๋องหก ก่อนจะย้อนถาม “พระชายาไป๋เยว่ชิง...พระชายาของท่านพี่สามหรือ”
อ๋องหกผงกศีรษะอย่างจริงจัง กล่าวตอบว่าใช่!
อ๋องสิบสามยกมือกุมหว่างคิ้ว พยายามนึกคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น... “ข้าเคยเดินเฉียดนาง แต่ไม่เคยพูดคุยกับนางแม้แต่ครั้งเดียว นางดูงดงามสมคำร่ำลือ ทั้งกิริยาท่าทาง ทั้งการวางตัว อ่อนช้อยและสง่างาม ยิ่งตอนในวันงานเทศกาลซีซีนั่นด้วย บนเวทีนั่น ข้าไม่อาจละสายตาจากนางได้เลย ไฉนท่านพี่สามถึงได้มีวาสนานัก หากข้าได้นางเป็นชายา ข้าคงจะพานางออกไปอวดโฉมตั้งแต่เช้ายันค่ำ ว่าแต่...ไฉนท่านพี่ถามถึงนางเล่า? "
อ๋องหกที่สนิทสนมและไว้เนื้อเชื่อใจอ๋องสิบสามมากที่สุด ไม่ลังเลที่จะเล่าให้ฟัง “พระชายามาหาข้า ถามว่าข้าจำนางได้หรือไม่ ข้าดูสีหน้าท่าทางของนางแล้ว ข้ารู้สึกเหมือนกับว่านางกำลังต้องการความช่วยเหลืออะไรบางอย่างจากข้าอยู่”
เขามิได้เล่าทุกอย่างจนหมด เพียงต้องการปกป้องนาง หากรู้ว่านางกอดเขา อ๋องสิบสามจะต้องมองนางไม่ดีเป็นแน่
อ๋องสิบสามจมอยู่ในความคิด หัวคิ้วรูปดาบขมวดมุ่น “หรือว่า...จะเป็นเพราะท่านพี่สาม ข่มขู่ทำร้ายนาง”
“คราแรกข้าก็คิดเช่นเจ้า แต่ข้าควรจะช่วยเหลือนางอย่างไรดีจึงจะเหมาะสม”
อ๋องสิบสามที่สติเริ่มหลุดลอย ยกไหสุรากระดกดื่มอีกหลายอึก ในที่สุดสุราก็หมดเกลี้ยง เขาจึงยกมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้มาหาและสั่งสุราเพิ่ม "เสี่ยวเอ้อร์…เอาสุราแบบนี้มาเพิ่มอีกสองไห"
"ขอรับนายท่าน" เสี่ยวเอ้อร์รับคำสั่ง มือขยุกขยิกเขียนอะไรบางอย่างใส่กระดาษ ก่อนจะก้าวขายาว ๆ เดินออกไป
"นี่เจ้า...ฟังข้าอยู่หรือไม่อ๋องสิบสาม" อ๋องหกเอ่ยเสียงเข้มดุดันขึ้น
เมื่อรู้ว่าพี่ชายไม่ค่อยสบอารมณ์ อ๋องสิบสามผู้เมามายจึงรีบตอบทันที “ท่านพี่...ข้าว่าท่านคิดมากเกินไป พระชายาอาจต้องการผูกมิตรกับท่านก็เป็นได้ อีกอย่าง ท่านกับท่านพี่สามก็ปรองดองกันดีมิใช่หรือ ถึงแม้รัชทายาทจะเป็นคนแปลกประหลาด แต่ก็คงไม่ใจร้ายย่ำยีนาง”
อ๋องหกนึกคิดตามแล้วจึงพยักหน้า เขาเชื่อคำพูดของน้องชาย ทว่าในใจกลับส่งเสียงต่อต้านออกมาเป็นระลอก “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด แล้วเจ้าคิดว่า...”
ยังไม่ทันได้เอ่ยคำใดต่อ อ๋องสิบสามก็ฟุบหน้าหลับไม่ได้สติอยู่บนโต๊ะเสียแล้ว
อ๋องหกส่ายหน้าอย่างระอา อ๋องสิบสามเมาหลับกลางโรงน้ำชาเป็นรอบที่ล้าน เมื่อนึกว่าตนเองจะต้องแบกน้องชายกลับ เขาก็นั่งกุมขมับด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายทันที
กล่าวถึง ซือลี่หยาง หลังจากที่พบกับอ๋องหก บุรุษที่มีรูปโฉมเหมือนสหายเก่าโดยบังเอิญ นางก็ไม่อาจเก็บงำความตื่นเต้นดีใจนั้นเอาไว้เพียงผู้เดียวได้ รีบบอกกล่าวให้บ่าวใช้คนสนิทฟังทันที
“นี่...อิงลั่ว! เมื่อวานข้าแอบไปพบบุรุษผู้หนึ่งมาด้วย”
เสียงกระตือรือร้นของผู้เป็นนาย ทำให้อิงลั่วอยากรู้อยากเห็น "บุรุษผู้นั้นคือผู้ใดเพคะ หรือว่า…" เอ่ยจบ นางก็ยกมือปิดปาก มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เอ่ยต่อ "พระชายาเกิดต้องตาบุรุษผู้ใดขึ้นมาจึงตัดสินใจนัดพบ หากเรื่องนี้ถึงหูองค์รัชทายาท พระชายาตายแน่ ๆ เพคะ”
คำพูดของอิงลั่วทำให้ซือลี่หยางรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อคืนก่อนนางลุกจากที่นั่งและวิ่งตามอ๋องหกออกไป โดยที่ไม่ได้ปริปากบอกรัชทายาทเลยสักคำ เขาจะสงสัยข้าหรือไม่นะ...แต่คงจะไม่! คนเย็นชาเช่นนั้น จะมาสนใจอะไรกับข้า คงดีใจที่ข้าไปอยู่ไกล ๆ เสียมากกว่า
“ตะ ตายอะไรของเจ้า ข้ายังเล่าไม่จบ ข้าไม่ได้แอบไปหาบุรุษแปลกหน้าเพื่อพลอดรักกันเสียหน่อย เจ้าพูดเกินจริงอย่างนี้ข้าเสียหายรู้หรือไม่" ซือลี่หยางยู่หน้าบูดบึ้ง
อิงลั่วรีบก้มคำนับและกล่าวขอโทษนางทันที "หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ พระชายาลงโทษหม่อมฉันที่ล่วงเกินด้วยเพคะ"
“ลุกขึ้นเถิด...ข้าหยอกเย้าเจ้าเล่นก็เท่านั้น” ซือลี่หยางยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเล่าต่อ “แท้ที่จริงแล้ว ข้าแอบตามเขาไปในขณะที่ทุกคนกำลังชมการแสดงอยู่ บุรุษผู้นั้นมีหน้าตาเหมือนกับสหายของสหายข้าอีกภพภูมิหนึ่งราวกับเป็นคนคนเดียวกัน”
“จริงหรือเพคะ!” อิงลั่วเบิกตากว้างโต ในฐานะผู้ฟังนางรู้สึกตื่นตะลึงระคนประหลาดใจยิ่งนัก
ซือลี่หยางทุบกำปั้นในฝ่ามือเบา ๆ เดินวนไปมาพลางกล่าว “ตอนแรกข้าก็ไม่อยากเชื่อ แต่ยิ่งข้าเพ่งมองใบหน้าบุรุษผู้นั้นมากเท่าไร ข้าก็ยิ่งมั่นใจมากเท่านั้น”
“แล้วบุรุษผู้นั้นคือผู้ใดกันเพคะ เป็นขุนนาง ขันทีหรือว่าเป็นเสนาบดี เผื่อว่าหม่อมฉันรู้จักและสามารถช่วยพระชายาได้บ้าง”
ซือลี่หยางส่ายศีรษะ กล่าวตอบสั้น ๆ ว่า “ไม่ใช่ทั้งสิ้น”
“แล้วคือผู้ใดในวังหลวงกันเพคะ” อิงลั่วกะพริบตาด้วยความสงสัยใคร่รู้
ซือลี่หยางกล่าวตอบเสียงหนักแน่น “บุรุษผู้นั้นคือ อ๋องหก”
ดวงตากลมโตของอิงลั่วพลันสว่างจ้า เผลอหลุดปากเสียงดัง “อะ อ๋องหกหรือเพคะ”
“ใช่! อ๋องหก เจ้าช่วยอะไรข้าได้หรือไม่”
อิงลั่วมีสีหน้าสลด กล่าวตอบเสียงติดขัด “เช่นนั้น...หม่อมฉันก็คงจะช่วยอะไรพระชายาไม่ได้มากเพคะ หม่อมฉันเป็นแค่บ่าวต่ำต้อย เข้าวังมาพร้อมกับพระชายา ขนาดหน้าตาของอ๋องหก หม่อมฉันยังไม่เคยมีวาสนาได้เห็นเลยเพคะ ได้ยินเพียงสมญานามว่าเป็นองค์ชายแห่งสายน้ำ ไม่ค่อยแย้มสรวลกับผู้ใดเพียงเท่านั้น”
ซือลี่หยางยิ้มน้อย ๆ “ใครว่าเจ้าช่วยข้าไม่ได้กันเล่า เจ้าอยู่ในวังมานานกว่าข้า เจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ ว่าตำหนักของอ๋องหกอยู่ที่ใด”
อิงลั่วกลอกตานึกคิด เพียงครู่หนึ่ง นางก็นึกออก “อ๋องหกอาศัยอยู่ในจวนนอกวังเพคะพระชายา”
“นอกวังหรอกหรือ เช่นนั้นก็ไม่ยากนะสิ” ซือลี่หยางฉีกยิ้มกว้าง ตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง
“ไม่ยากก็จริง แต่จะรอดพ้นจากสายตาขององค์รัชทายาทไปได้อย่างไรเพคะ”
“รอดพ้นยาก แต่ใช่ว่าจะไม่มีทาง องค์รัชทายาททำเหมือนกับข้าเป็นนักโทษ ที่มีตำหนักเฟิงยวี่เป็นคุกคุมขัง ตั้งแต่เห็นหน้าอ๋องหก จากที่ไม่เชื่อมั่นก็เริ่มมีความหวัง ข้าเชื่อว่าเราจะต้องมีบางอย่างเชื่อมโยงกันและอ๋องหกจะต้องช่วยข้าได้”
“หากเป็นเช่นนั้น พระชายาจะออกไปอย่างไรละเจ้าคะ” อิงลั่วขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
“หนีออกไปอย่างไรล่ะ”
อิงลั่วเบิกตากว้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแตกตื่น “อะ อีกแล้วหรือเพคะ!!!"
เมื่อได้ข้อสรุป สุดท้ายแล้วซือลี่หยางก็เลือกทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ นางไม่อาจปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไปได้โดยไร้ประโยชน์ ความหวาดกลัวที่เกาะกุมจิตใจ ยามนี้หลงเหลือเพียงความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวที่ผุดขึ้นมาแทนที่ เมื่อไม่พยายาม ชีวิตก็ต้องวนเวียนอยู่ในพระราชวังต้องห้ามที่วุ่นวายนี้ และนางจะต้องหาทางหนีออกไปให้จนได้
ซือลี่หยางสวมชุดนางกำนัล ก้มหน้าย่างเท้าเดินออกไปจากตำหนักเฟิงยวี่ เลียนแบบสีหน้าท่าทางที่อ่อนน้อมและสงบเสงี่ยมของอิงลั่วได้อย่างสมบูรณ์แบบ นางเดินขนาบข้างกำแพงสีแดงสดที่สูงชันและทอดยาวราวกับหางมังกรที่เชื่อมต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด
หัวหน้าขันทีสวมชุดทางการสีแดงเลือดหมูผู้หนึ่งหยุดตรงหน้านาง เพ่งพิศอย่างสงสัย เอ่ยถามเสียงขรึม “เจ้าเป็นนางกำนัลจากสำนักใด”
ซือลี่หยางก้มหน้างุด กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ควบคุมอาการประหม่าได้ จึงเอ่ยออกไป "ข้าเป็นนางกำนัลดูแลพระชายาที่ตำหนักเฟิงยวี่ กำลังจะไปเบิกอาภรณ์ที่ห้องเครื่อง ท่านมีอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ"
ริ้วรอยพับย่นตรงหว่างคิ้วของหัวหน้าขันทีค่อย ๆ จางหายไป แน่แล้วว่า...นางกำนัลในวังหลวงมีมากมายราวกับฝูงมด คัดเลือกทุกปี กระจายตัวอยู่ทุกหนแห่ง เขาไม่อาจจดจำทุกคนได้หมด เพียงสุ่มเลือกนางกำนัลที่เดินผ่านมาเพื่อข่มขู่ก็เท่านั้น "เช่นนั้น...เจ้าก็ไปเถิด"
ซือลี่หยางในคราบนางกำนัลย่อตัวคำนับหัวหน้าขันทีอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเดินย่างกรายไปต่อ ภายใต้อาภรณ์สีขาวนวล ร่างเบาสั่นเทาด้วยความประหม่าอย่างควบคุมไม่ได้ หากเมื่อครู่นางโดนจับได้ คงอับอายขายขี้หน้า คนที่จ้องเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันข้า คงจะประโคมข่าวร้าย ๆ ไม่หยุด
เดินคิดไปพลาง ๆ ในที่สุดก็เข้าใกล้ประตูซีหวาที่มีทหารยืนเฝ้ายามอยู่
หากเดินผ่านประตูนี้ไป นางก็จะเป็นอิสระและหารถม้านั่งไปจวนอ๋องหกได้ไม่ยาก แต่ที่ยากก็คือระหว่างทางเดินนั้นค่อนข้างโล่งเป็นจุดสนใจได้ง่ายและกำลังมีเสลี่ยงของพระสนมกุ้ยเฟยเคลื่อนตัวผ่านมา พระสนมคุ้นเคยและเห็นนางอยู่บ่อย ๆ นั่นมันเสี่ยงเกินไป!
นางกวาดสายตามองรอบ ๆ พยายามคิดหาหนทางแก้ไข ซ้ายสุดของสายตานั้นมีราชอุทยานแห่งหนึ่ง ที่ปิดเอาไว้เพื่อรอการซ่อมแซมบูรณะ หากเดินลัดเลาะเข้าไป ท้ายที่สุดแล้ว ปลายทางก็ถึงประตูซีหวาได้เหมือนกันอยู่ดี
คิดได้เช่นนั้น ดวงตาสีอำพันของซือลี่หยางก็เป็นประกายระยับ นางเลือกเข้าไปในราชอุทยานที่ค่อนข้างมีต้นไม้รกร้าง เสียงสวบสาบที่เผลอไปเหยียบกิ่งไม้ใบไม้เข้าดังขึ้นเป็นระยะ
รอบแรกเงียบสงัด ได้ยินเพียงแต่เสียงสายลมพัดผ่านและเสียงกิ่งเหมยที่พร้อมใจกันโอนเอนไปมา แต่พอย่างก้าวไปได้สักพัก นางก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างคล้ายกับฝีเท้าคน ลางสังหรณ์วาบขึ้นในใจตั้งแต่ชั่ววินาทีนั้น ตัวนางแข็งทื่อ สองมือกำแน่น กลั้นใจหันหลังกลับไป
เป็นเขา...องค์รัชทายาท!
“เจ้าจะออกไปไหน”
เสียงเข้มดุของเยี่ยเทียนทำเอานางผวาเฮือกในใจจนก้าวเท้าเซซวน เขาลากฝีเท้าหนักอึ้งเข้าใกล้นาง สายตาคมกริบดุดันที่จ้องมองนาง แฝงแววโหดเหี้ยมอำมหิตอยู่ในนั้น
"ขะ ข้า...ข้าอึดอัด ข้าจะออกไปนอกวังบ้างไม่ได้หรือ” ซือลี่หยางกล่าวเสียงติดขัด
เยี่ยเทียนมีสีหน้าถมึงทึง มืดมนดุจม่านดำ พอเห็นหน้านางแล้ว ภาพพลอดรักของนางกับอ๋องหกในคืนวันก่อนนั้น ก็พลันหวนเข้ามาในหัวสมองอย่างควบคุมไม่อยู่
เขารู้สึกโกรธแค้นจนแทบคลุ้มคลั่ง เขารู้ว่านางจะออกไปไหนและเขาจะไม่มีวันปล่อยนางออกไปเป็นแน่!
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นชายาของข้า แล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างนั้นสินะ” เยี่ยเทียนตวาดลั่นน้ำเสียงดุดัน แววตาที่จ้องเขม็งเยียบเย็นยิ่งกว่าสายลมเดือนหนาวเสียอีก
ซือลี่หยางสะดุ้งเฮือกอกสั่นขวัญแขวน ความเดือดดาลในใจของนางเปี่ยมล้นไม่ต่างกัน เขากล้าดีอย่างไรมาตวาดใส่นาง กล้าดีอย่างไรมาวางท่าข่มเหงเช่นนั้น นางกัดฟันเอ่ยด้วยโทสะว่า “ข้าเกลียดท่าน!” ก่อนจะกระทืบเท้าเดินออกไป
เยี่ยเทียนทอดสายตามองเงาร่างบางห่างหายออกไป ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า วาจานางแปรเปลี่ยนเป็นเข็มแหลมเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาทิ่มแทง เขารู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจไม่น้อย