ตอนที่ 14 : งานเลี้ยงใต้แสงจันทร์

2306 คำ
หลังจากนั้นยามเซินของทุกวัน ซินอ้ายกับฟางหรูก็จะมาหาซือลี่หยางที่พระตำหนักเฟิงเยว่ เสี้ยมซ้อมการแสดงเริงระบำพื้นเมืองที่มีชื่อว่า ‘หมัวอี๋เชวี่ยเฟย’ ซือลี่หยางไม่มีทางเลือก เพียงทำตามที่พวกนางปรารถนา ขอแค่ไม่เกิดสงครามระหว่างเมียหลวงกับเมียน้อยก็เพียงพอแล้ว นางแค่อยากใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ให้ง่ายขึ้นเท่านั้น แล้วงานเลี้ยงสังสรรค์ที่เฝ้ารอก็มาถึง… นักดนตรีจากกองสังคีตที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านโปร่งสีขาวหลังเวที ยามเมื่อเริ่มบรรเลงบทเพลงหนึ่งดังขึ้น เสียงดนตรีก็เสนาะวิเวก แว่วกังวานไม่ขาดสาย ซือลี่หยางในชุดร่ายรำสีขาวพริ้วไหวแง้มม่านกำมะหยี่สีแดงมองออกไป บรรยากาศหน้าลานพระตำหนักเฉียนเฉียนในยามนี้ครื้นเครงและเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก ที่นั่งตรงกลางคือฮ่องเต้กวังถง องค์ราชันผู้ยิ่งใหญ่ ถัดไปคือหยางฮองเฮาและพระสนมนางใน ทุกคนล้วนสวมเครื่องแต่งกายงามสง่า เครื่องประดับหรูหราที่ประโคมใส่ตัว ส่องแสงระยิบระยับจับตาราวกับกำลังแข่งขันกับดวงดาวที่พร่างพราวอยู่บนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น พริบตาหนึ่งนางกวาดสายตามองหาเยี่ยเทียน เห็นใบหน้านิ่งงันไร้อารมณ์แล้วอดยื่นปากทำหน้าบูดบึ้งออกมามิได้ ชิ! บุรุษเย็นชาผู้นั้นมองไกล ๆ ยังรู้สึกหนาวเหน็บ ตอนข้าออกไปร่ายรำ คงจะเบือนหน้าหนีหรือไม่ก็นั่งหลับเป็นแน่ หลังจากหลุดออกจากห้วงแห่งความคิด นางก็ดึงสายตากลับมาที่เดิม สายลมหนาวเย็นยามราตรีโชยมา ชวนให้รู้สึกประหม่าและหวาดวิตกไม่น้อย นางรู้สึกเหมือนกำลังปลดเปลื้องพันธนาการสิ่งที่เรียกว่า ‘ความกลัว’ ในใจออกไป การร่ายรำคือสิ่งที่นางเคยคิดจะทำตอนเป็นเด็ก แต่เพราะไม่กล้าแสดงออกจึงทำให้นางพลาดหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต และค่ำคืนนี้นางจะกอบกู้มันกลับคืนมา... ขณะครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย ฟางหรูในชุดร่ายรำแบบเดียวกันกับนาง ก็รีบก้าวขายาว ๆ เข้ามาหา พลางกล่าวว่า "ท่านพี่เยว่...หลังจากเพลงนี้บรรเลงจบ ก็ถึงตาเราขึ้นร่ายรำแล้ว ไปเตรียมตัวด้านหลังกันเถิด" ซือลี่หยางพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะละสายตาจากผู้คน หันกายเดินตามฟางหรูออกไป เสียงดนตรีแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ กระทั่งสิ้นสุดลง ขณะที่นักดนตรีสังคีตกำลังขึ้นเล่นเพลงต่อไป ซือลี่หยาง ซินอ้ายและฟางหรูก็เดินออกมายืนเตรียมตัวรอด้านหลังม่านกำมะหยี่สีแดงเรียบร้อยแล้ว ซือลี่หยางสูดลมหายใจลึกสองสามที ก่อนจะย่างเท้าก้าวเล็ก ๆ เดินออกมายืนกลางเวที ซินอ้ายและฟางหรูเยื้องย่างตามหลังนางแล้วจึงไปยืนประกบซ้ายขวา ดนตรีเริ่มบรรเลง ท่วงทำนองขับขาน ร่างกายซือลี่หยางร่ายรำไปตามจังหวะของเสียงเพลง ชายแขนเสื้ออ่อนนุ่มโบกสะบัดราวกับหมู่เมฆ ปิ่นระย้าลายดอกไม้เลี่ยมโมรากระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง ลำแขนอ่อนช้อย ดวงหน้าก้มเงยสลับไปมาตามท่วงท่าที่พริ้วไหวดุจผีเสื้อที่ร่ายบินอย่างสำราญใจ การร่ายรำที่สง่างามและเป็นเอกลักษณ์สะกดสายตาผู้ชมทั่วทั้งลานให้หันมามองที่นางเป็นตาเดียว แม้แต่ฮ่องเต้กวังถงยังเอ่ยปากชมออกมา ครั้งนี้มิใช่ครั้งแรกที่นางขึ้นแสดงการร่ายรำในงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ทว่าความเจิดจรัสของนางที่แผ่กระจายออกมากลับดูแตกต่างกว่าครั้งไหน ๆ และหนึ่งในคนที่คิดเช่นนั้นก็คือ ‘เยี่ยเทียน’ “พระชายาช่างงดงามเหลือเกิน…ข้าอิจฉาท่านพี่นัก” อ๋องสี่โน้มตัวมากระซิบข้างริมหูของเยี่ยเทียน เอ่ยหยอกเย้าพี่ชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เยี่ยเทียนได้ยินคำพูดของอ๋องสี่ชัดเจนทุกคำ ทว่าไม่หันกลับไปเจรจา นัยน์ตาสีดำขลับของเขามีเพียงภาพของซือลี่หยางบนเวทีฉายชัดในแววตา จิตใจจดจ่ออยู่กับทุกท่วงท่าการร่ายรำของนางราวกับต้องมนต์สะกดอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงพิณเร่งเร้าขึ้น ปลายเท้าทั้งสองข้างของซือลี่หยางโลดแล่นเร่งร้อนขึ้นกว่าเดิม กระโปรงผ้าโปร่งสีขาวบริสุทธิ์บานสยาย สะบัดเป็นคลื่นราวกับสายน้ำ ระหว่างที่กำลังหมุนตัวอยู่นั้น สายตาอันแหลมคมของซือลี่หยางก็พลันมองไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับ ‘เผิงฉู่เซียว’ สหายคนสนิทของนางเมื่อตอนที่อยู่ในภพภูมิปัจจุบันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ทันใดนั้นเอง ซือลี่หยางที่ตกตะลึง พลันชะงักงันยืนค้างเติ่งอยู่ท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนทันที ผู้ชมทุกคนต่างพากันจ้องมองและวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความสงสัย ซินอ้ายเห็นเช่นนั้นจึงรีบแก้ไขสถานการณ์ เขยิบกายเข้าไปใกล้นางพลางสะกิดเรียกเบา ๆ "ท่านพี่เยว่ ๆ " นัยน์ตาสีอำพันของซือลี่หยางทอประกายวูบและครองสติได้อีกครั้ง นางหวนกลับมาร่ายรำต่อ ทว่าเพลงนั้นได้บรรเลงจบลงแล้ว ถึงแม้นางจะอยู่ในท่าจบที่ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก แต่รวม ๆ แล้วการแสดงนี้ก็ยังคงงดงามและไร้ที่ติ เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้น ทุกคนชื่นชอบการแสดงของพวกนางเหมือนกับทุกครั้ง ซือลี่หยางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยามนี้นางไม่สนใจอะไรอีกแล้ว สายตาของนางจับจ้องบุรุษที่มีใบหน้าคล้ายกับเผิงฉู่เซียวตาไม่กะพริบ ดูจากการแต่งกายและตำแหน่งที่นั่งแล้ว บุรุษผู้นั้นจะต้องเป็นอ๋องคนใดสักคนหนึ่งในวังหลวง หากฉู่เซียวทะลุมิติมาที่นี่เช่นเดียวกันกับข้าจริง ๆ นั่นก็หมายความว่า ที่ข้าร่ายรำบนเวทีเมื่อครู่ เขาต้องจำได้แน่...ว่าข้าเป็นใคร! "ท่านพี่เยว่...ลงจากเวทีกันเถิด" เมื่อได้ยินเสียงของซินอ้ายดังขึ้นอีกครั้ง นางจึงดึงสายตาที่เหม่อลอยกลับมาและเดินตามซินอ้ายกับฟางหรูลงจากเวที นางย่างกรายอย่างใจลอย อ้อมมานั่งตำแหน่งที่นั่งของตน เยี่ยเทียนชำเลืองหางตามองนางแวบหนึ่ง แล้วพลันชักสายตากลับไปดังเดิม ส่วนซือลี่หยาง แน่แล้วว่ายามนี้นางไม่อาจสลัดความคิดเรื่องการทะลุมิติมาของสหายคนสนิทได้ สายตาเปล่งประกายจึงเอาแต่จ้องมองเขาไม่หยุด แม้ว่าการแสดงบนเวทีจะตื่นตาตื่นใจเพียงใดก็ตาม จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง... จู่ ๆ บุรุษหน้าเหมือนผู้นั้นก็พลันลุกขึ้นยืนจากตั่งที่นั่งและเดินออกไปนอกลานพระตำหนักเฉียนเฉียน ซือลี่หยางที่จับจ้องอยู่นานสองนาน เห็นเช่นนั้นก็รีบลุกตามไปทันทีอย่างไม่ต้องไตร่ตรองให้มากความ ยามนี้โอกาสพิสูจน์ของนางมาถึงแล้ว ซือลี่หยางวิ่งตามบุรุษผู้นั้นเข้าไปในเขตอุทยานต้องห้ามลั่วหยาง กลางพระตำหนักเฉียนเฉียน เงาร่างดำสูงโปร่งโฉบเฉี่ยวไปมาฝีเท้าว่องไวราวกับก้อนเมฆ นางหลบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ สายตาอันแหลมคมกวาดมองฉับไวดุจเหยี่ยว ใช้มือยกชายกระโปรงย่องตะบึงตามไปอย่างไม่กลัวว่าอาภรณ์หรูหราจะถูกกิ่งไม้เกี่ยวฉีกขาด ในที่สุด ฝีเท้าของชายหนุ่มก็หยุดชะงักลง แสงจันทร์สีเงินยวงทาบทับบนร่างสูงตระหง่านโดดเด่น ด้านหลังเห็น เส้นผมสีดำขลับถูกรวบและรัดด้วยเกี้ยวหยกขาว สวมชุดคลุมผ้าแพรชั้นสูงตัวกว้างสีเทา ที่เอวมีผ้าคาดสีดำประณีตเส้นหนึ่ง ดวงตาของซือลี่หยางฉายประกายระริกวูบหนึ่ง นางไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ายามนี้สีหน้าของชายหนุ่มเป็นเช่นไร หรือว่าในใจของเขากำลังคิดสิ่งใดกันแน่ นางค่อย ๆ ย่องเท้าเข้าไปยืนด้านหลังของเขา รวบรวมความกล้าเอ่ยออกไป ทว่ายังไม่ทันอ้าปากเปล่งเสียงออกมา เสียงทุ้มเข้มก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน "ท่านเป็นใคร ไฉนถึงแอบติดตามข้ามา" รู้ว่าข้าตามมาด้วยอย่างนั้นหรือ? เสียงเคร่งขรึมของเขาทำให้นางสะท้านเฮือก เหงื่อผุดซึมเต็มดวงหน้า เอ่ยเสียงติดขัด "ฉะ ฉู่เซียว นี่ซือลี่หยาง...เพื่อนสนิทในค่ายยูโดคนเดียวของนายอย่างไรล่ะ!" วาจาของซือลี่หยางทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจ เขาค่อย ๆ หันหลังกลับไปมอง เมื่อพบว่าเป็นนาง เขาก็เบิกตาอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก "พระชายา..." แท้ที่จริงแล้ว เขาคือ อ๋องหก หรือ หม่าอี้หยวน "ฉู่เซียว…" ซือลี่หยางยังคงเรียกเขาเช่นนั้น ในใจคาดหวังลึก ๆ ว่าอีกฝ่ายจะจำนางได้ ในมุมมองของอ๋องหก เขายังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงได้ตามเขามา ปกติแล้ว นางผู้มีศักดิ์เป็นชายาของรัชทายาท ไม่เคยพูดคุยกับเขา ไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อเขาประสานตากับนาง แม้ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ทว่ากระแสความโศกเศร้าบางอย่างจากกายนางก็ทำให้หัวใจของเขาเฉียบบางไปครึ่งดวง เกิดอะไรขึ้นกับพระชายากันแน่... แล้วนางเอ่ยเรียกชื่อของผู้ใด ? “พระชายาจำข้ามิได้หรือ...ข้าคือ อ๋องหก อย่างไรเล่า” อ๋องหกเอ่ยเสียงราบเรียบ แววตาที่มีประกายแห่งความหวังของซือลี่หยางค่อย ๆ เลือนหายไป ดวงหน้างามฉายแววกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด โครงหน้า รูปร่าง น้ำเสียง ทุกอย่างล้วนเป็นเขาทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุใดกันล่ะ...ถึงจำกันไม่ได้ ? หรือว่าชิ้นส่วนความทรงจำของเขาขาดหายไประหว่างที่ข้ามภพมา “เผิงฉู่เซียว...นายข้ามภพมาอยู่ในร่างของอ๋องหกที่มีเกียรติสูงส่งขนาดนี้เชียวหรือ ผิดกับฉันที่เป็นองค์หญิงพระชายาที่มีแต่ความทุกข์ใจ ในวังต้องห้ามแห่งนี้ แม้แต่หายใจยังทำได้ลำบาก” ซือลี่หยางพูดพร่ำระบายความในใจไม่หยุด อ๋องหกไม่รู้ว่าที่นางพูดนั้นหมายถึงสิ่งใด วาจานั้นดูเพ้อพก ไม่มีหลักความจริงเลยแม้แต่น้อย หรือว่าท่านพี่เยี่ยจะทำร้ายนางจนเสียสติ หลังจากคิดใคร่ครวญในใจ เขาก็รีบเอ่ยเสนอความช่วยเหลือทันที “พระชายา หากไม่ไหว ยามนี้กลับตำหนักเถิด ข้าจะไปส่งท่านเอง” ไม่รอให้พูดจบ ซือลี่หยางก็โผกายเข้าไปสวมกอดอ๋องหกทันที บรรยากาศเงียบงันฉับพลัน ดวงตาของอ๋องหกขยายเบิกกว้าง เผลอไผลกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่า เขาเป็นบุรุษจิตใจอ่อนโยน ไม่ชอบทำร้ายจิตใจผู้ใด แน่แล้วว่าเขาไม่ผลักไสนาง ถึงแม้ว่าการกระทำครั้งนี้จะเป็นเรื่องไม่ถูกไม่ควรก็ตาม ซือลี่หยางโอบรัดเขาแน่นขึ้น ความคิดถึงพลันเอ่อล้น นางร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่เหนียมอาย ภายใต้อาภรณ์ผ้าแพรของอ๋องหก มีหยาดน้ำตาของนางไหลซึมเป็นด่างดวง อ๋องหกทำอะไรไม่ถูก จึงลูบหลังเบา ๆ และปลอบประโลมนางด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม "พระชายา...อย่าร้องไห้อีกเลย" ซือลี่หยางค่อย ๆ คลายกอดออกมา เอ่ยกลั้วเสียงสะอื้น "นะ นาย...นายจำไม่ได้จริง ๆ " "กระหม่อมไม่รู้ว่าพระชายาหมายถึงสิ่งใด" ดวงตาของอ๋องหกเป็นประกาย พยายามเข้าใจนางอย่างสุดความสามารถ ดวงตาและริมฝีปากของซือลี่หยางโค้งลงเศร้าสร้อย ถ้อยคำและท่าทางของอ๋องหกในยามนี้ทำให้นางกระจ่างชัดแล้ว เขาไม่ใช่เผิงฉู่เซียว เป็นเพียงใครสักคนหนึ่งในดินแดนแห่งนี้ที่นางไม่รู้จักและมีใบหน้าเหมือนกับสหายของนางเพียงเท่านั้น เมื่อไม่ใช่...ก็คือไม่ใช่! นางก็ไม่ดันทุรังสืบความต่อไปอีก แต่ทว่าอ๋องหกผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่งอย่างที่ท่านผู้เฒ่าวิเศษกล่าวไว้ ไม่แน่! หากสานสัมพันธ์ต่อไป บุรุษผู้นี้อาจจะช่วยนางได้ คิดได้เช่นนั้น ซือลี่หยางก็พลันสูดจมูก ยกชายเสื้อขึ้นปาดเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ รีบปรับเปลี่ยนอิริยาบถเป็นสำรวม ก้มเอ่ยอย่างนอบน้อม "ท่านอ๋อง ที่หม่อมฉันพูดเพ้อเจ้อและล่วงเกินพระองค์ไป...โปรดให้อภัยด้วย" อ๋องหกรีบยกมือห้ามกล่าวอย่างร้อนรนใจ "ไม่เป็นไร...ข้าเข้าใจ แม่นมของข้าก็เคยเป็นเช่นนี้ พระชายาอย่าได้กังวลไป" นางกล่าวต่อด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ช่วงนี้หม่อมฉันพบว่าตัวเองสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เลยทำบางอย่างไปไม่ยั้งคิด" "นี่ก็ดึกแล้ว ข้าว่าพระชายาควรกลับไปพักผ่อน" อ๋องหกเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เช่นนั้น...หม่อมฉันขอตัวลาก่อนเพคะ" ซือลี่หยางย่อกายคำนับ ก่อนจะม้วนตัวสาวเท้าเดินออกไป อ๋องหกทอดสายตามองเงาร่างของนางเดินห่างหายลับไปในเงามืด นัยน์ตาสีดำขลับแวววับดุจดวงดาวเปี่ยมไปด้วยความสงสัย จากตำแหน่งที่พวกเขายืนสนทนา ห่างออกไปไม่กี่จั้ง พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่า มีสายตาเคร่งขรึมเปี่ยมด้วยเปลวเพลิงคู่หนึ่งคอยจับจ้องอยู่เนิ่นนาน หลังจากที่เห็นภาพทั้งสองโอบกอดกัน เงาตะคุ่มด้านหลังพุ่มไม้นั้นก็พลันสั่นไหว ลมหายใจร้อนระอุอัดแน่นไปด้วยความขุ่นเคือง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม